“เสรีภาพกับการเชื่อฟัง”
วีดีโอ ข่าวเปิดห้างวันแรก….อัดอั้น เราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องป้องกันการติดเชื้อและแพร่ระบาดของโรค จึงต้องหลีกเลี่ยงที่แออัด ที่คนๆมาก แต่ข่าวนี้ ได้ทำให้เห็นความน่าตกใจว่า คนไปยืนออกกันเพื่อจะเข้าห้างวันแรกของการผ่อนปรน คลายล็อค ในขณะที่ทางการก็เตือนว่า ระวัง อย่าการ์ดตก คือให้รักษาระยะห่าง แต่คลายล็อควันแรก ดูเหมือนทุกคนลืมการเชื่อฟังคำเตือน และใช้เสรีภาพสบายๆตามใจไปเลย
เสรีภาพ กับการเชื่อฟัง ไปด้วยกันได้ไม๊ หรือ หากจะมีเสรีภาพ การเชื่อฟังก็จะหายไป
การเชื่อฟังคืออะไร หลายคนอาจตีความว่า การเชื่อฟังคือการหมดเสรีภาพ การเชื่อฟังคือการถูกบังคับ การเชื่อฟังเป็นเรื่องของคนโง่ ใช่หรือ?
ฟิลิปปี 2:5-9 5 จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์6 ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้7 แต่ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์8 พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน9 เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงยกพระองค์ขึ้นสูงสุด และประทานพระนามเหนือนามทั้งหมดแก่พระองค์
พระคัมภีร์ฟิลิปปีตอนนี้ได้ยกตัวของพระเยซูคริสต์เจ้า ผู้ทรงเป็นพระเจ้า และทรงยอมถ่อมและเชื่อฟัง สุดท้ายพระเจ้าพระบิดาได้ยกพระเยซูคริสต์ขึ้นสูงสุด และพระนามของพระองค์เหนือนามทั้งปวง แปลว่า พระเยซูคริสต์ทรงไปถึงจุดสูงสุดที่พระองค์จะทำอะไรก็ได้ตามพระทัยของพระองค์ นี่อาจเป็นคำที่สอดคล้องกับคำตรัสของพระเยซูคริสต์ในพระมหาบัญชาของพระองค์
มัทธิว 28:18-20 18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว19 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”
การที่จะทำอะไรก็ได้ หมายถึง สิทธิ์อำนาจสูงสุด พระมหาบัญชของพระเยซูคริสต์ในตอนนี้ คือคำสั่งให้สาวก(ศิษย์)ของพระองค์ ออกไปสร้างสาวกของพระเยซู ให้ดำเนินชีวิตตามที่พระเยซูทรงดำเนิน เพื่อจะมีเสรีภาพ และการเชื่อฟังอย่างที่พระองค์ใช้ที่นำไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต คือสามารถทำอะไรก็ได้ และนอกจากจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้ว ตัวเองก็ยังพบกับความพอใจที่แท้จริงด้วย
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ความพอใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของ ค่านิยม คำสอน ปรัชญาอะไรก็ตาม มันมักเติมไม่เต็ม ไม่หยุดที่ความพอใจนั้น มีแต่จะยิ่งโหยหา และไขว่คว้าหาความพอใจเพิ่มขึ้น (เหมือนบ่อน้ำในจิตใจของหญิงสะมาเรีย หรือถุงหนังเก่าที่ฉีกขาด มีรูรั่ว ไม่สามารถบรรจุน้ำองุ่นใหม่ให้เต็มได้)
ดูเหมือน เราจะถูกหลอกให้มีความพอใจกับคำว่า เสรีภาพ และไม่พอใจกับคำว่า เชื่อฟัง และทำให้สองอย่างนี้ ไปด้วยกันไม่ได้ แต่…น่าสนใจว่า พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงคำว่าเสรีภาพไว้หลายที่ เช่น
2โครินธ์ 3:17 17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น
คริสเตียนเป็นผู้ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย นั่นแปลว่า เราไปไหน ไปกับพระวิญญาณ เรามีเสรีภาพด้วย อาเมน แล้วทำไม คำว่าเสรีภาพ ยังถูกกล่าวถึงอีกในพระคัมภีร์อีกตอนว่า
กาลาเทีย 5:13 13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านก็เพื่อให้มีเสรีภาพ อย่าเอาเสรีภาพของท่านเป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด
1เปโตร 2:16 16 จงดำเนินชีวิตอย่างคนมีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพนั้นเป็นข้ออ้างเพื่อทำความชั่ว แต่จงดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า
คำว่า “อย่า” “แต่อย่า” และ “จง” หมายถึง ให้เชื่อฟัง ข้าพเจ้าขอใช้คำว่า เสรีภาพที่จะเชื่อฟัง เสรีภาพที่จะทำตามสิ่งที่ดี สิ่งที่ดียอดเยี่ยม ซึ่งเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า จนถึง มีเสรีภาพที่จะมอบถวายชีวิตของเราให้เป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ ที่ทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย
1ซามูเอล 15:22 22 และซามูเอลกล่าวว่า “พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามาก เท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้
การไม่เชื่อฟังของซาอูล มาจากการไม่มีเสรีภาพที่จะเชื่อฟัง และถูกความกลัว (ประชาชน)
และแน่นอนว่า พวกเราในเวลานี้ ย่อมปรารถนา ที่จะให้คนรอบข้างเราเชื่อฟังทางการ มากกว่า การใช้เสรีภาพ ละเมิดกฏระเบียบเกี่ยวกับสาธาณสุข ซึ่งหมายถึง ความปลอดภัยของตัวเราเอง และคนที่เรารักทุกคน
นี่อาจเป็นคำตอบที่ว่า ทำไม พระคัมภีร์จึงย้ำเรื่องการเชื่อฟัง เป็นหัวใจสำคัญ เพราะการเชื่อฟังคำสอน คำเตือน การทรงนำของพระเจ้า จากพระวิญญาณของพระองค์ จะนำเราไปสู่สวัสดิภาพที่แท้จริง พระคัมภีร์เยเรมีย์ได้กล่าวว่า
เยเรมีย์ 29:11-14 11 พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า12 แล้วเจ้าจะทูลขอต่อเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า13 เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า14 พระเจ้าตรัสว่า เราจะให้เจ้าพบเรา และเราจะให้เจ้ากลับสู่สภาพดี…
รากศัพท์ฮีบรูคำว่า สวัสดิภาพ แปลว่า ปลอดภัย อยู่ดีมีสุข เป็นมิตร มีสวัสดิการ (การช่วยเหลือ) มีสุขภาพที่ดี เจริญรุ่งเรือง และมีความสงบสันติ
ทั้งหมดนี้ ที่สำคัญ คำว่า กลับสู่สภาพดี รากศัพท์ฮีบรู แปลว่า เปลี่ยนจากสภาพเชลย (ทาส) ให้กลับเป็นไท
นี่เป็นพระสัญญาที่พระเจ้าทรงให้ไว้กับชนชาติอิสราเอลทางเชื้อสาย และเราทั้งหลายที่เป็นอิสราเอลฝ่ายวิญญาณด้วย พระเจ้าได้ทำให้อิสราเอลทางเชื้อสายที่เป็นชนชาติที่เรียกตนเองว่า ผู้ถูกทำให้กระจัดกระจายไป Diaspora ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ของชนชาตินี้ ตลอดระยะเวลาหลายพันปี ต้องตกเป็นทาสให้กับหลายอาณาจักร หลายแผ่นดินที่เปลี่ยนไปหลายยุคหลายสมัย จนถึงอาณาจักรไรซ์ของฮิตเล่อร์ ที่ทำให้ชนชาติอิสราเอล (ยิว) กระจัดกระจายไปทั่วโลก
เยเรมีย์ 29:14 14 พระเจ้าตรัสว่า เราจะให้เจ้าพบเรา และเราจะให้เจ้ากลับสู่สภาพดีและรวบรวมเจ้ามาจากบรรดาประชาชาติและจากทุกที่ที่เราขับไล่เจ้าให้ไปอยู่นั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ และเราจะนำเจ้ากลับมายังที่ซึ่งเราเนรเทศเจ้าให้จากไปนั้น
วันนี้ มีอิสราเอลบนแผนที่โลก และคนยิวกำลังทยอยกลับสู่ดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ให้กับพวกเขา
เราทั้งหลายเป็นอิสราเอลฝ่ายวิญญาณ เราได้รับพระสัญญานี้ด้วยเช่นกัน ในมิติฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าทรงปลดปล่อยเราจากความเป็นทาส ให้เราเป็นไท มีเสรีภาพ เพื่อจะเชื่อฟัง และรับมรดกแผ่นดินในพระสัญญาของพระเจ้าด้วยเช่นกัน
เยเรมีย์ 29:11-14 11 พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า12 แล้วเจ้าจะทูลขอต่อเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า13 เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า14 พระเจ้าตรัสว่า เราจะให้เจ้าพบเรา และเราจะให้เจ้ากลับสู่สภาพดี…
สาระที่สำคัญที่สุด ไม่ได้อยู่ที่แค่แผนสวัสดิภาพ อนาคต หรือความหวัง หรือการกลับสู่สภาพดี แต่สาระที่สำคัญที่สุด อยู่ในข้อ 12-13
12 แล้วเจ้าจะทูลขอต่อเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า13 เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า
นี่ระดับ level ของความเสรีภาพและการเชื่อฟัง ที่เราควรจะมี แต่มันได้หายไป ตั้งแต่มนุษย์คู่แรก อาดัมและเอวา ได้ล้มลงในความบาป หากเราย้อนกลับยังสวนเอเดน เมื่อครั้งที่ก่อนที่มนุษย์คู่แรกจะล้มลงในความบาป ด้วยการไม่เชื่อฟัง พวกเขามีเสรีภาพ กับทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง และแม้แต่กับพระเจ้าพระผู้สร้างของเขา
ปฐมกาล 3:8-10 8 เวลาเย็นวันนั้น เขาทั้งสองได้ยินเสียงพระยาห์เวห์พระเจ้าเสด็จดำเนินอยู่ในสวน ชายนั้นกับภรรยาของเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นไม้กลางสวน ให้พ้นจากพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้า9 พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเรียกชายนั้นและตรัสถามเขาว่า “เจ้าอยู่ที่ไหน?”10 ชายนั้นทูลว่า “ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ในสวนก็กลัว เพราะข้าพระองค์เปลือยกายอยู่ จึงได้ซ่อนตัวเสีย”
เสรีภาพกับการเชื่อฟังของมนุษย์คู่แรกหายไป กลายเป็นความกลัว
2โครินธ์ 3:17 17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น
ดังนั้น ความหมายของพระคัมภีร์โครินธ์ตอนนี้ คือ พระวิญญาณของพระเจ้าอยู่กับใคร คนนั้น มีเสรีภาพจากความกลัว
ความกลัวของคนในยุคนี้ ถูกแปลงให้เป็นภาษาพูด ภาษาท่าทาง อาการ การแสดงออกมาหลายรูปแบบ เพื่อกลบเกลื่อนความกลัว ที่จะพบกับความจริง
กับความจริงของพระเจ้าหรือเปล่า ความจริงของพระเจ้าที่จะทำให้เราพบว่า เราอ่อนแอ และเราต้องการพระเจ้า และพบความจริงว่า เราเป็นทาส เรายังไม่ได้เป็นไทที่แท้จริง เรายังถูกอะไรบางอย่างผลักดันให้เราเป็นไปตามกระแส…. เรายังโหยหา ความสมบูรณ์แบบตามค่านิยม และหลักปรัชญาของโลก เราเคยถามตัวเองหรือไม่ว่า เรากำลังถูกใครหลอก หรือเรากำลังหลอกตัวเราเองหรือไม่
เสรีภาพและการเชื่อฟัง แท้จริง จะขาดกันไม่ได้ แต่ต้องไปด้วยกัน
ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาบ้านเมือง สงคราม เกิดจากการโหยหาเสรีภาพ และการปฏิเสธการเชื่อฟังอยู่หรือเปล่า?
ฟิลิปปี 2:5-9 5 จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์6 ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้7 แต่ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์8 พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน9 เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงยกพระองค์ขึ้นสูงสุด และประทานพระนามเหนือนามทั้งหมดแก่พระองค์
พระเยซูคริสต์ทรงเชิญชวนคนมากมายให้ดำเนินตามพระองค์ นั่นคือเส้นทางแห่งเสรีภาพ และการเชื่อฟังที่นำพระองค์ไปสู่จุดสูงสุดของการมีเสรีภาพ ที่จะทำอะไร ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า พระเจ้าจึงทรงยกพระองค์ขึ้นสูงสุด และประทานพระนามเหนือนามทั้งหมดแก่พระองค์
ยอห์น 14:12-14 12 “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราจะกระทำกิจการซึ่งเราได้กระทำนั้นด้วย และเขาจะกระทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปถึงพระบิดาของเรา13 สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายจะขอในนามของเรา เราจะกระทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร14 สิ่งใดที่ท่านขอในนามของเรา เราจะกระทำสิ่งนั้น
แปลว่า ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดจะมาจำกัดผู้ที่มีเสรีภาพกับการเชื่อฟัง (อย่างพระเยซูคริสต์) ในชีวิตของคนๆนั้น ที่ดำเนินชีวิตในเส้นทางเดียวกันกับพระองค์
เสรีภาพกับการเชื่อฟัง ควรอยู่ในเวลาเดียวกัน ที่เดียวกัน ไม่ใช่ข้ออ้างว่า เวลานี้ มีเสรีภาพ ขอไม่เชื่อฟัง หรือ การเชื่อฟัง ทำให้ไม่มีเสรีภาพ นั่นเป็นการหลอกลวงที่มาจากมารซาตาน ที่ต้องการขัดขวางไม่ให้เราเดินในทางเดียวกันกับพระเยซูคริสต์
พ่อแม่ลูก ควรมีเสรีภาพในการเชื่อฟัง และฟังกันและกัน ทุกสังคม แม้แต่คริสตจักรควรมีเสรีภาพที่จะเชื่อฟังผู้นำ และฟังกันและกันด้วยเหตุด้วยผล มิฉะนั้น มันจะกลายเป็นการพยายามที่จะเอาชนะกันด้วยอัตตา และทิฐิมานะที่เป็นเหตุผลจอมปลอม อ.เปาโลได้เขียนจดหมายสองโครินธ์เพื่อเตือนคริสเตียนเมืองโครินธ์ให้ใช้เสรีภาพกับการเชื่อฟังคู่กัน….
2โครินธ์ 10:3-5 3 เพราะว่า ถึงแม้ว่าเราดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายมนุษย์ แต่เราก็ไม่ได้สู้รบตามแบบมนุษย์ทั่วๆ ไป4 เพราะว่าอาวุธของเราที่ใช้สู้รบไม่ใช่แบบมนุษย์ แต่เป็นฤทธานุภาพจากพระเจ้าที่จะทำลายป้อมปราการได้ คือทำลายเหตุผลปลอมทั้งหลาย 5 และความเย่อหยิ่งทุกรูปแบบที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และจะยึดกุมความคิดทุกประการให้มาเชื่อฟังพระคริสต์6 และเราพร้อมจะลงโทษทุกคนที่ไม่เชื่อฟัง เมื่อพวกท่านเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แล้ว
อาวุธที่อ.เปาโลได้กล่าวถึงนี้ ก็คือ เสรีภาพจากการดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ เท่านั้นที่จะทำลายเหตุของการไม่เชื่อฟัง และนำกลับไปสู่การเชื่อฟังพระเจ้า และดำเนินชีวิตไปตามความรู้ของพระเจ้า และหยุดเหตุผลจอมปลอม ทิฐิมานะทั้งหลาย อาเมน