“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…มีพระคุณมากเพียงพอ” 

คำว่า “เพียงพอ” (enough,sufficiency) ทำให้เราต้องวิตกกังวลกับอะไรบ้าง  ถ้ามีไม่เพียงพอกับความต้องการของเรา เช่น  ไม่มีเวลาพอ เราก็นั่งไม่ติด ถ้าไม่มีความสามารถพอ เราก็จะไม่ทำอะไรเลย ไม่เริ่มต้นสักที  ถ้าไม่ดีพอ เราก็จะมองโลกในแง่ร้ายตลอดเวลา  หรือถ้ามีไม่พอ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนมากมายวิตกกังวล คือ เรื่องเงิน ก็ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นอัมพาตไปหมด ไม่ขยับ ไม่ทำอะไรเลย อย่างที่เรามักได้ยินคำว่า ติดลบ หรือเกินงบประมาณ  คำที่เรามักได้ยินบ่อยๆคือ  “เรามักจะไปดูที่สิ่งที่เราขาด แต่ไม่ค่อยจะได้ดูสิ่งที่เรามี”  ตัวอย่างที่มักจะยกขึ้นมาคือ ภาพของน้ำครึ่งแก้ว  แต่วันนี้ ข้าพเจ้าอยากจะเอาภาพของพระคุณพระเจ้าที่ทรงเตรียมไว้สำหรับเรานั้น ไม่ใช่แค่น้ำครึ่งแก้ว แต่เป็นภาพของน้ำที่ล้นแก้ว และล้นตลอดเวลา ซึ่งหมายถึงพระคุณของพระเจ้าที่ทรงมีไว้สำหรับเรา

ยอห์น1:16 16 และ​เรา​ทั้ง​หลาย​ได้รับ​จาก​ความ​บริบูรณ์​ของ​พระ​องค์ เป็น​พระ​คุณ​ซ้อน​พระ​คุณ​  (Grace for Grace)

เพราะฉะนั้น อย่าให้เราคิดถึงแต่น้ำครึ่งแก้วที่เรามักถูกสอนให้คิดว่า อย่าไปคิดส่วนที่ขาดไป แต่ให้คิดแต่ว่า ที่มีอยู่ก็เพียงพอแล้ว ในความเป็นจริง และในทางปฏิบัติ และในภาวะจำเป็นบางอย่าง อาจใช่ เราอาจจะมีทรัพยากรบางอย่าง เงินบางจำนวน คือน้ำครึ่งแก้วที่มี เป็นส่วนเหลือเพื่อจะนำมาต่อยอด  แต่สำหรับพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่ส่วนเหลือที่เราจะเอามาต่อยอด  พระคุณของพระเจ้ามีมากเหลือล้น ที่เรียกว่า พระคุณซ้อนพระคุณ เป็นพระคุณที่มีมากเพียงพอ สำหรับเส้นทางที่เรากำลังเดินไปสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ พระคุณของพระเจ้ามีมากเพียงพอที่เราจะดำเนินชีวิตต่อไปได้  เราสามารถอยู่ได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า

ความหมายของคำว่า พระคุณ ในรากศัพท์ภาษากรีกในพระคัมภีร์ คำว่า คาริส  แปลว่า สามารถยอมรับได้ Acceptable (หรืออีกสำนวน ที่ใช้ คือได้รับในสิ่งที่ไม่สมควรได้รับ) พระคัมภีร์เรียกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำกับเราทุกคนว่า พระคุณ

โรม5:6-8 6 ขณะ​เมื่อ​เรา​ยัง​ขาด​กำลัง ​พระ​คริสต์​ก็​ได้​ทรง​สิ้น​พระ​ชนม์​เพื่อ​ช่วย​คน​บาป​ใน​เวลา​ที่​เหมาะสม​7 ไม่​ใคร่​จะ​มี​ใคร​ตาย​เพื่อ​คน​ตรง แต่​บาง​ที​จะ​มี​คน​อาจ​ตาย​เพื่อ​คน​ดี​ก็​ได้​ 8 แต่​พระ​เจ้า​ทรง​สำแดง​ความ​รัก​ของ​พระ​องค์​แก่​เรา​ทั้ง​หลาย คือ​ขณะที่​เรา​ยัง​เป็น​คน​บาป​อยู่​นั้น ​พระ​คริสต์​ได้​ทรง​สิ้น​พระ​ชนม์​เพื่อ​เรา​

การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เพื่อไถ่บาปเรา ในขณะที่บาปทำให้เราต้องรับการพิพากษาลงโทษ คนไทยเรียกว่า กฎแห่งกรรม ที่ต้องชดใช้ และในกฎแห่งกรรมในนิยามของพระคัมภีร์คือ ไม่มีใครสามารถจะชดใช้ได้หมด คนไทยเราจึงต้องสะสมบุญ หรือบารมีให้มีมากเพียงพอสำหรับเส้นทางชีวิตของตนเอง (ซึ่งมีคนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่า จะไปจบที่ตรงไหน) รู้แต่ว่า ต้องทำให้มีมากเพียงพอ  จะได้ไม่ขาด  เราคริสเตียนไทย ที่เติบโตมากับอิทธิพลทางด้านความคิดนี้ จะเอาวิธีคิดนี้มาใช้ในการดำเนินชีวิตคริสเตียน ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า นี่คือสปิริตของความขาดแคลน และทำให้เราบิดเบือนมุมมองความเข้าใจในเรื่องพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อเราตัวเราเอง  และยังทำให้เรานำไปใช้กับคนรอบข้าง ด้วยความรู้สึกว่า ยังไม่ดีพอ ยังไม่มีความสามารถพอ ยังไม่น่ารักพอ ยังไม่พอ ไม่พออีกหลายแง่มุมที่เรามองเห็น….และค้นพบความขาดแคลนในตัวคน

ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าต้องเดินทางด้วยการขับรถยนต์ในประเทศอิสราเอล ข้าพเจ้าเช่ารถเสร็จ  ก็ถามเจ้าหน้าที่บริษัทรถเช่าว่า อีกไกลไม๊กว่าจะพบปั๊มน้ำมัน เขาตอบว่าไม่มีระหว่า่งทาง แต่จะเติมได้อีกทีเมื่อถึงอีกเมือง แต่เจ้าหน้าที่รถเช่าบอกว่า น้ำมันในถังเพียงพอไปถึงเมืองปลายทางที่ข้าพเจ้ากำลังจะไป  เราก็วิตก ว่า เขาจะรู้ไม๊ว่า ฉันกำลังจะไปไหน ฉันกำลังจะขับรถเลียบทะเลตาย (Dead Sea)ไปจนถึงสุดชายแดนติดกับชายแดนอียิปต์  พอขับรถออกจากกรุงเยรูซาเล็มก็ไม่เห็นมีปั๊มน้ำมันเลย สองข้างทางเป็นทะเลทราย  ขับไปมองเกท์น้ำมันไป  เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ว่า ประเทศอิสราเอลเล็ก และเส้นทางที่ข้าพเจ้าไป ประมาณ 314 กม. แต่ละเมืองจะมีปั๊มน้ำมัน แต่ระหว่างเมืองไม่มีปั๊มน้ำมัน คนในพื้นที่ จะรู้ว่า น้ำมันนี้มันเพียงพอสำหรับการเดินทางในอิสราเอล เขารู้ว่า ระหว่างเมืองมีปั๊มน้ำมัน แม้ระหว่างทางจะไม่มีปั๊มน้ำมันก็ตาม นี่เป็นนิสัยการใช้ปั๊มน้ำมันที่แตกต่างจากบ้านเรา  บ้านเรามีปั๊มน้ำมันมากมายทุกที่ หาได้ง่าย สะดวก อาจทำให้คนไทยมีนิสัยหนึ่งคือไม่วางแผนการเติมน้ำมัน น้ำมันใกล้หมดตอนไหน ก็คิดจะเติมตอนนั้น   เพราะเราคิดว่า บ้านเรามีปั๊มน้ำมันมากเพียงพอที่เราจะหาเติมที่ไหนก็ได้ แต่ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า สำหรับพระคุณของพระเจ้าที่มีมากเพียงพอ  อย่างล้นเหลือนี้ อาจจะเกิดภาวะที่ไม่เพียงพอสำหรับคริสเตียนบางคน  พระเยซูคริสต์เจ้าทรงยกคำอุปมาเพื่อปิดจบคำสอนเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า  ในหนังสือมัทธิว 25:1-13 1 “เมื่อ​ถึง​วัน​นั้น แผ่นดิน​สวรรค์​จะ​เปรียบ​เหมือน หญิง​พรหมจารี​สิบ​คน​ถือ​ตะเกียง​ของ​ตน ออกไป​รับ​เจ้าบ่าว​2 เป็น​คน​โง่​ห้า​คน เป็น​หญิง​มี​ปัญญา​ห้า​คน​3 ฝ่าย​คน​โง่​นั้น​เอา​ตะเกียง​ของ​ตน​ไป แต่​หา​ได้​เอา​น้ำ​มัน​ไป​ด้วย​ไม่​4 คน​ที่​มี​ปัญญา​นั้น​ได้​เอา​น้ำ​มัน​ใส่​กา​ไป​กับ​ตะเกียง​ของ​ตน​ด้วย​5 เมื่อ​เจ้าบ่าว​ยัง​ช้า​อยู่ ​ก็​พา​กัน​ง่วง​เหงา​และ​หลับ​ไป​6 ครั้น​เวลา​เที่ยง​คืน​ก็​มี​เสียง​ร้อง​มา​ว่า ‘เจ้าบ่าว​มา​แล้ว จง​ออกมา​รับ​ท่าน​เถิด’7 พวก​หญิง​พรหมจารี​เหล่า​นั้น​ก็​ลุก​ขึ้น​ตกแต่ง​ตะเกียง​ของ​ตน​8 พวก​ที่​โง่​นั้น​ก็​พูด​กับ​พวก​ที่​มี​ปัญญา​ว่า ‘ขอ​แบ่ง​น้ำ​มัน​ของ​ท่าน​ให้​เรา​บ้าง ตะเกียง​ของ​เรา​จวน​จะ​ดับ​อยู่​แล้ว​’9 พวก​ที่​มี​ปัญญา​จึง​ตอบ​ว่า ‘น่า​กลัว​น้ำ​มัน​จะ​ไม่​พอ​สำหรับ​เรา​และ​เจ้า จง​ไป​หา​คนขาย ซื้อ​สำหรับ​ตัวเอง​จะ​ดีกว่า’10 เมื่อ​กำลัง​ไป​ซื้อ​นั้น​เจ้าบ่าว​ก็​มาถึง ผู้​ที่​พร้อม​อยู่​แล้ว ​ก็​ได้​ไป​กับ​ท่าน​ใน​การ​เลี้ยง​เนื่อง​ใน​งาน​สมรส​แล้ว​ประตู​ก็​ปิด​11 ภายหลัง​หญิง​พรหมจารี​อีก​ห้า​คน ​ก็​มา​ร้อง​ว่า ‘ท่าน​เจ้า​ข้าๆ ขอ​เปิด​ให้​ข้าพเจ้า​เข้า​ไป​ด้วย’12 ฝ่าย​ท่าน​ตอบ​ว่า ‘เรา​บอก​ความ​จริง​แก่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า เรา​ไม่​รู้จัก​ท่าน’13 เหตุ​ฉะนั้น จง​เฝ้า​ระวัง​อยู่ เพราะ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ไม่​รู้​กำหนด​วัน​หรือ​โมง​นั้น​

ขนมธรรมเนียมประเพณีการแต่งงานในยุคสมัยของพระเยซูนั้น จะมีการรอคอยขบวนแห่ของเจ้าบ่าวเพื่อมารับเจ้าสาว หญิงพรหมจารีสิบคน คือกลุ่มคนที่รอคอยการมาของเจ้าบ่าว คล้ายๆกับเพื่อนเจ้าสาวที่มาคอยกั้นประตูเจ้าบ่าว เพื่อเรียกค่าผ่านประตู อะไรทำนองนั้น แต่ธรรมเนียมยิวอาจแตกต่างที่ เมื่อเจ้าบ่าวมา หญิงพรหมจารีจะได้เข้าประตูไปพร้อมกับเจ้าบ่าวเพื่อไปรับเจ้าสาวด้วย  เนื้อเรื่องในคำอุปมาของพระเยซูได้กล่าวถึง หญิงพรหมจารีสิบคน ห้าคนโง่ ห้าคนฉลาด จะมีห้าคนโง่ที่ไม่ได้เข้าประตูไปกับเจ้าบ่าว เพราะมัวแต่ไปหาซื้อน้ำมัน ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ไม่น่าจะมีหญิงพรหมจารีที่เตรียมรอรับเจ้าบ่าวจะทำอย่างนั้น เพราะโดยธรรมเนียม คนยิวจะรู้ดีว่า นี่คือการเล่าเรื่องที่ออกมาในเชิงที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ และในความเป็นจริง ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้กับการรอคอยเจ้าบ่าว แต่พระเยซูทรงยกเรื่องนี้เพื่อเปรียบเทียบ คนที่รอคอยการมาของแผ่นดินสวรรค์ กลับกลายเป็นคนที่กำลังทำสิ่งที่ไม่ควรจะให้เกิดขึ้นได้  คนยิวในยุคนั้นฟัง ก็จะเจ็บใจแทน  และน่าจะสมทบร่วมกับพระเยซูว่า คนๆนั้น ช่างโง่จริงๆ ช่างไม่รู้ธรรมเนียมเสียจริง

ความหมายของพระเยซูก็คือ การบอกว่า จะมีคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตอย่างคนที่ปฏิบัติตรงกันข้ามกับเป้าหมายที่ตนเองกำลังมุ่งหน้าไป  เหมือนคนที่บอกว่า กำลังไปทิศเหนือ แต่มุ่งหน้าลงทิศใต้  หรือกำลังประกาศว่าโลกนี้เป็นที่อยู่เพียงชั่วคราว แต่ดำเนินชีวิตราวกับว่าจะอยู่กับโลกนี้ตลอดไปหรืออีกภาพ คือโลกนี้เต็มไปด้วยความมืด แต่กลับดำเนินชีวิตที่ไม่ใช้แสงสว่างที่พระเยซูให้มา สำหรับการนำทางชีวิต กลับดำเนินชีวิตเหมือนคลำทาง เหมือนคนตาบอด นี่คือความหมายของคำว่า มีตะเกียงแต่ไม่มีน้ำมันเพียงพอที่จะให้แสงสว่างนำทาง

มัทธิว 5:14-16  14“ท่าน​ทั้ง​หลาย​เป็น​ความ​สว่าง​ของ​โลก นคร​ซึ่ง​อยู่​บน​ภูเขา​จะ​ปิดบัง​ไว้​ไม่ได้​15 เมื่อ​จุด​ตะเกียง​แล้ว ไม่​มี​ผู้ใด​เอา​ถัง​ครอบ​ไว้ ย่อม​ตั้ง​ไว้​บน​เชิง​ตะเกียง จะ​ได้​ส่อง​สว่าง​แก่​ทุก​คน​ที่​อยู่​ใน​เรือน​นั้น​16 ท่าน​ทั้ง​หลาย​ก็​เหมือนกับ​ตะเกียง จง​ส่อง​สว่าง​แก่​คน​ทั้ง​ปวง เพื่อ​ว่า​เมื่อ​เขา​ได้​เห็น​ความ​ดี​ที่​ท่าน​ทำ เขา​จะ​ได้​สรรเสริญ​พระ​บิดา​ของ​ท่าน ผู้​ทรง​อยู่​ใน​สวรรค์

พระเยซูทรงตรัสถึงสาวกของพระองค์ (คริสเตียน) เป็นเหมือนตะเกียงที่ถูกจุดขึ้นแล้ว  ทำหน้าที่ส่องสว่าง พระเยซูทรงทำให้ชีวิตของผู้ที่เชื่อให้พระองค์ได้รับพระคุณของพระเจ้า พระคุณได้ทำให้เราสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ เป็นคนใหม่ เราถูกทำให้สามารถทำความดี และเปลี่ยนเป็นคนดีได้โดยพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าได้ประทานความชอบธรรมใหม่ให้กับเรา ไม่ใช่ด้วยความดีของเราเอง ทุกวันนี้ เราทำดี ไม่ใช่เพื่อเสริมบารมีของเรา แต่เราทำดีเพื่อตอบแทนพระคุณของพระเจ้า ยิ่งเราได้รับพระคุณของพระเจ้ามากเท่าไร เรายิ่งตระหนักว่า เราต้องตอบแทนพระองค์ด้วยการทำดี และนี่คือน้ำมันที่ทำให้ตะเกียงที่ถูกจุดขึ้นในชีวิตของเราส่องสว่างจ้ามากขึ้นและมากขึ้น

ไม่ใช่เพราะทำดีและคนอื่นชมเรา เราจะพบว่า คนที่ทำดี และเอาแตรเป่านำหน้า ตะเกียงของคนๆนั้น ดูจะมืดมัวลง เพราะมันมาจากกิเลศตัณหาปราราถนาลาภยศสรรเสริญ พระเยซูจึงสอนคำอุปมาเรื่องคนตาบอดนำทางคนตาบอด ก็คือคนที่ใช้ความปรารถนาของเนื้อหนังเป็นเหตุของการทำดี ตะเกียงของคนๆนั้น มันมืดมัว มันไม่มีน้ำมันมากเพียงพอในช่วงเวลาของการรอคอยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์  เพราะเป็นการใช้ตะเกียงที่มีแสงสว่างน้อยนิด มันไม่พอสำหรับการเดินในเส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์เจ้าที่แท้จริง เรื่องราวของหญิงพรหมจารีที่รอคอยเจ้าบ่าวจึงเป็นบทสรุปการเดินทางชีวิตของคริสเตียนทุกคน

 1.อย่ามีชีวิตที่จำกัดพระคุณแค่ตนเอง

​3 ฝ่าย​คน​โง่​นั้น​เอา​ตะเกียง​ของ​ตน​ไป แต่​หา​ได้​เอา​น้ำ​มัน​ไป​ด้วย​ไม่

พฤติกรรมของหญิงโง่ห้าคน คือเอาตะเกียงที่มีแสงสว่างเพียงน้อยนิดไปเพื่อจะมีส่วนในงานแต่งงาน แต่ไม่เอาน้ำมันไปด้วย เปรียบเหมือนกับคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตที่มีแสงสว่างความรู้เรื่องของพระเจ้าเพียงน้อยนิด และดำเนินชีวิตที่ได้รับพระคุณพระเจ้าแค่รู้ว่า ตนเองได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้า เฉพาะเวลามีปัญหาก็พอแล้ว   เหมือนกับคนขับรถที่เติมน้ำมันแค่พอไปให้ถึงที่หมายระยะสั้น แค่ไปถึง

มีคริสเตียนไม่น้อยที่มาหาพระเยซูเพียงเพื่อ ให้พระองค์ตอบความปรารถนาของตนเองเรื่องหน้าที่การงาน เรื่องการเรียน เรื่องคู่ครอง เรื่องสุขภาพร่างกาย  เพื่อเยียวยาจิตใจ  พอได้สมความปรารถนาตนเองแล้ว ก็ขอเป็นคริสเตียนที่อยู่กับพระพรที่ได้รับแค่นั้นพอ  ความจริงแล้ว พระคุณที่พระเจ้าทรงประทานไว้ให้กับเรานั้น มีมากมาย เพียงพอ  บทเรียนที่เราได้เรียนพระคัมภีร์ในอธิษฐานรุ่งอรุณ

เรื่องปีสะบาโต ที่ปลดปล่อยทาสให้เป็นไทในปีที่เจ็ดของการเป็นทาส ในการปลดปล่อยนั้น ให้เจ้านายมอบอาหาร สัตว์เลี้ยง สำหรับอนาคตให้กับทาสที่ได้รับอิสระ เพื่อเขาจะมีเพียงพอที่จะไปใช้ชีวิตอิสระได้  และโมเสสก็เตือนคนอิสราเอลในเวลานั้นว่า จงอย่าลืม เมื่อครั้งที่พระเจ้าทรงทรงนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ พระเจ้าให้คนอิสราเอลมีทรัพย์สินติดไม้ติดมือออกมาอย่างมากมย ไม่ได้ออกมามือเปล่า แต่พระเจ้าทรงทำให้ชาวอียิต์มีความเอ็นดูต่อคนอิสราเอล และให้ข้าวของเงินทองเครื่องนุ่งห่มมากมาย  และนี่คือวิธีคิดของพระเจ้าที่มีต่อการปลดปล่อยคนให้มีเสรีภาพจากความเป็นทาส  เช่นเดียวกัน วันนี้ เราทั้งหลายเป็นคนที่พระเจ้าทรงปลดปล่อยเราออกจากความเป็นทาสของความมืด พระเยซูทรงทำให้เราเป็นตะเกียง เป็นภาชนะรับพระคุณของพระเจ้า คือโอกาสใหม่ๆที่เกิดขึ้นกับชีวิต จงเป็นตะเกียงที่ส่องสว่าง คือเป็นภาชนะที่มีพระคุณมากเพียงพอ อย่าดำเนินชีวิตอย่างคนที่ขัดสน ขาดแคลนพระคุณของพระเจ้าในชีวิต   มีคำหนึ่ง ที่กล่าวว่า  ให้เราส่งต่อพระคุณของพระเจ้าไปให้กับผู้อื่น คือเราได้รับพระคุณจากพระเจ้า (ได้รับสิ่งที่ไม่สมควรได้รับ) เราก็ควรจะให้พระคุณของพระเจ้ากับคนอื่นด้วยการ ให้สิ่งที่คนๆนั้นไม่สมควรได้รับ   เช่น   ไม่สมควรได้รับการให้อภัย ไม่สมควรได้รับความช่วยเหลือ ไม่สมควรได้รับความรัก ไม่สมควรได้รับอะไรอีกละ ที่เรามักจะมีเงื่อนไขว่า เขาไม่ดีพอ ไม่น่ารักพอ หรือน่ารังเกียจ  หญิงพรหมจารีโง่ มีตะเกียง แต่ไม่เอาน้ำมันไปด้วย ตะเกียงของหญิงโง่ห้าคนนี้  มีความสว่างที่ริบหรี่มาก แค่พอตัว ไม่สามารถเพิ่มความสว่างของตะเกียงได้ เหมือนกับความดีของคนบางคนที่ทำได้อย่างจำกัด   เรามักมีเงื่อนไข และเหตุผลมากมายที่จะเดินในหลักกิโลเมตที่สอง

มัทธิว 5:41 41 ถ้า​ผู้ใด​จะ​เกณฑ์​ท่าน​ให้​เดินทาง​ไป​หนึ่ง​กิโลเมตร ​ก็​ให้​เลย​ไป​กับ​เขา​ถึง​สอง​กิโลเมตร​

คนที่ไม่สามารถทำได้มากกว่าที่ตนเองตั้งเงื่อนไขไว้ เพราะไม่มีน้ำมันสำรอง คือพระคุณที่มีมากเพียงพอนั่นเอง

2.จงขยายชีวิตให้คู่กับพระคุณที่มากเพียงพอ

4 คน​ที่​มี​ปัญญา​นั้น​ได้​เอา​น้ำ​มัน​ใส่​กา​ไป​กับ​ตะเกียง​ของ​ตน​ด้วย

จะเห็นว่า นอกจากตะเกียงจะเป็นภาชนะสำหรับบรรจุน้ำมันแล้ว หญิงพรหมจารีที่ฉลาดได้ขยายพื้นที่บรรจุน้ำมันเพิ่มขึ้น ที่เรียกว่า กาน้ำมัน  นี่คือภาพที่พระเยซูกำลังบอกกับเราทั้งหลายว่า  ชีวิตของเราต้องขยายพื้นที่บรรจุพระคุณของพระเจ้า เพื่อให้แสงสว่างของชีวิตมีมากขึ้น มิใช่ส่องแค่นำทางตนเองอย่างเดียว

มีคนส่งบทความหนึ่งมาให้กับข้าพเจ้า เป็นเรื่องราวของการเดินทางของคนในยุคนี้ว่า  กำลังเดินอยู่ในความมืด และเดินชนกันไปมา กระทบกระทั่งกันในเส้นทางแห่งการเดิน และมีคนตาบอดคนหนึ่ง  ถือตะเกียงจุดแสงสว่างไว้ และคนที่เดินไปใกล้ก็ถามคนตาบอดนั้นว่า คุณมีตะเกียงแล้ว ทำไมไม่เดิน ทำไมหยุดอยู่กับที่ คนตาบอดนั้นก็ตอบว่า เขาไม่รู้จะเดินไปอย่างไร ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน คนที่มาใกล้เขาก็ประหลาดใจ แล้วตะเกียงที่คุณถืออยู่จะมีประโยชน์อะไรกับคนตาบอดอย่างคุณ คนตาบอดนั้นก็ตอบว่า อย่างน้อย ตะเกียงนี้มีไว้เพื่อจะให้คนอื่นไม่เดินมาชนข้าพเจ้าไง  ดูเหมือนตะเกียงไม่ได้เป็นประโยชน์อย่างที่ควร  พระเยซูคงเสียพระทัยมากกับคริสเตียนมากมายที่เอาตะเกียงที่พระองค์จุดไว้ในชีวิตของเราไปใช้เพื่อแค่นั้น ความจริง พระเยซูต้องการให้เราเป็นเหมือนหญิงฉลาดห้าคนที่ ขยายพื้นที่ชีวิตของตนเอง ด้วยมีกาใส่น้ำมันสำรองเพื่อจะส่องสว่างนำทางคนอื่นมากมายให้พบกับพระเจ้า และทำให้คนมากมายไปถึงความรู้สึกที่พบกับทางออกของชีวิตของพวกเขาด้วยเช่นกัน

3.มีสิ่งที่บั่นทอน(โลกไม่ได้สวยงามตลอดเวลา)

5 เมื่อ​เจ้าบ่าว​ยัง​ช้า​อยู่ ​ก็​พา​กัน​ง่วง​เหงา​และ​หลับ​ไป​6 ครั้น​เวลา​เที่ยง​คืน​ก็​มี​เสียง​ร้อง​มา​ว่า ‘เจ้าบ่าว​มา​แล้ว จง​ออกมา​รับ​ท่าน​เถิด’7 พวก​หญิง​พรหมจารี​เหล่า​นั้น​ก็​ลุก​ขึ้น​ตกแต่ง​ตะเกียง​ของ​ตน​8 พวก​ที่​โง่​นั้น​ก็​พูด​กับ​พวก​ที่​มี​ปัญญา​ว่า ‘ขอ​แบ่ง​น้ำ​มัน​ของ​ท่าน​ให้​เรา​บ้าง ตะเกียง​ของ​เรา​จวน​จะ​ดับ​อยู่​แล้ว​’9 พวก​ที่​มี​ปัญญา​จึง​ตอบ​ว่า ‘น่า​กลัว​น้ำ​มัน​จะ​ไม่​พอ​สำหรับ​เรา​และ​เจ้า จง​ไป​หา​คนขาย ซื้อ​สำหรับ​ตัวเอง​จะ​ดีกว่า’10 เมื่อ​กำลัง​ไป​ซื้อ​นั้น​เจ้าบ่าว​ก็​มาถึง ผู้​ที่​พร้อม​อยู่​แล้ว ​ก็​ได้​ไป​กับ​ท่าน​ใน​การ​เลี้ยง​เนื่อง​ใน​งาน​สมรส​แล้ว​ประตู​ก็​ปิด

แสงสว่างของตะเกียงจะลดทอนลงไปกับระยะเวลา  คือสิ่งที่พระเยซูกำลังบอกว่า อย่าท้อใจ  เพราะโลกนี้มืด และสภาพแวดล้อม ระยะเวลา เป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งคนฉลาดและคนโง่ ต้องตอบสนองคล้ายกัน คือเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า และรู้สึกอ่อนแอ  เหมือนคนที่มึนงง (ง่วงเหงา และหลับไป) เหมือนคนที่จะขาดสติก็มี  มีคำพูดที่กล่าวว่า บางทีการเผชิญกับปัญหาต่างๆก็เป็นเหมือนกับนักมวยถูกชกจนเห็นดาว มึนไปหมด  คนฉลาดกับคนโง่ที่พระเยซูทรงยกตัวอย่างนี้ ไม่ได้หมายถึง เรื่องความแตกต่างเรื่องสติปัญญา ความรู้ หรือ การศึกษา

เราได้เห็นข่าวสดที่ผ่านมาไม่นานของการตายของคนระดับด็อกเตอร์สามคน ด็อกเตอร์คนหนึ่งแก้ปัญหาด้วยวิธีฆ่าด็อกเตอร์สองคน  สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมของเรากำลังบอกอะไรบางอย่างว่า การศึกษาสูงๆไม่ได้ทำให้คนฉลาดเลย  ดังนั้น คนของพระเจ้า จงตระหนักว่า เราอยู่ในโลกนี้ที่เป็นความมืด มีสิ่งมืดๆมากมายมาบั่นทอนชีวิต และทำให้มึนงงได้  จงระวัง ชีวิตให้ดี จงให้พระคุณของพระเจ้ามีมากเพียงพอในกาน้ำมัน (พื้นที่สำรอง)

เหตุการณ์บางอย่าง ปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเราที่มันมากเกินกว่าปกติ บางทีอาจจะกำลังทำให้เราค้นพบว่า เรายังไม่มีพื้นสำรองสำหรับพระคุณซ้อนพระคุณที่จะบรรจุไว้ในใจเรา ในอารมณ์ความรู้สึกของเรา  คนไทยใช้คำว่า เผื่อใจ  สำหรับสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดไว้ แต่สำหรับเรา คือการเผื่อใจไว้สำหรับที่จะให้พระคุณ การให้อภัย ใจกว้างขวางมากขึ้นอีก  เมื่อถึงเวลาที่พระเยซูมา เราจะได้มีแสงสว่างพอที่จะมองเห็นการเสด็จมาของพระองค์  และพร้อมไปกับพระองค์ ไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ด้วยการมองเห็นตนเองน่าสงสาร

ที่หญิงพรหมจารีฉลาดแนะนำให้หญิงโง่ไปหาซื้อน้ำมัน  นักวิชาการพระคัมภีร์ ตีความว่า คือการประชดประชัน ที่บอกว่า น้ำมันที่จะใช้สำหรับตะเกียงส่วนตัว ต้องไปซื้อเอา แต่น้ำมันที่จะมีสำหรับคนอื่น พระเจ้าจะประทานให้ฟรีๆ

สมเหตุสมผล เพราะตะเกียงที่ถูกจุดขึ้นในชีวิตของคริสเตียน เกิดจากการที่ชีวิตของเราถูกซื้อด้วยราคาแพง ด้วยการตายบนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ เป็นจุดเริ่มต้นแห่งพระคุณซ้อนพระคุณ แต่คริสเตียนที่ใช้พระคุณเพียงเพื่อตนเองเท่านั้น คือการใช้หมดไป ที่อ.เปาโลใช้คำว่า สักแต่รับพระคุณ

2โครินธ์6:1 1 ​ใน​เมื่อ​เรา​ทำงาน​ร่วมกับ​พระ​คริสต์​แล้ว เรา​จึง​ขอ​วิงวอน​ท่าน​ว่า อย่า​สัก​แต่​รับ​พระ​คุณ​ของ​พระ​เจ้า​เท่านั้น​

ความหมายของเปาโลก็คือการมีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์  การมีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์ ก็คือการมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น เหมือนที่พระคริสต์สละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา คนที่มีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง เป็นคนที่ไม่พร้อมสำหรับการเสด็จมาของพระเยซู  ที่น่าสนใจว่า คำตอบที่หญิงพรหมจารีโง่ได้รับคือคำว่า เราไม่รู้จักเจ้า

11 ภายหลัง​หญิง​พรหมจารี​อีก​ห้า​คน ​ก็​มา​ร้อง​ว่า ‘ท่าน​เจ้า​ข้าๆ ขอ​เปิด​ให้​ข้าพเจ้า​เข้า​ไป​ด้วย’12 ฝ่าย​ท่าน​ตอบ​ว่า ‘เรา​บอก​ความ​จริง​แก่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า เรา​ไม่​รู้จัก​ท่าน’

มัทธิว 7:21-23 21 “มิใช่​ทุก​คน​ที่​เรียก​เรา​ว่า ‘พระ​องค์​เจ้า​ข้า ​พระ​องค์​เจ้า​ข้า’ จะ​ได้​เข้า​ใน​แผ่นดิน​สวรรค์ แต่​ผู้​ที่​ปฏิบัติ​ตาม​พระ​ทัย​พระ​บิดา​ของ​เรา ผู้​ทรง​สถิต​ใน​สวรรค์​จึง​จะ​เข้า​ได้​22 เมื่อ​ถึง​วัน​นั้น​จะ​มี​คน​เป็น​อัน​มาก​ร้อง​แก่​เรา​ว่า ‘พระ​องค์​เจ้า​ข้า ​พระ​องค์​เจ้า​ข้า ข้า​พระ​องค์​กล่าว​พระ​วจนะ​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์ และ​ได้​ขับ​ผี​ออก​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์ และ​ได้​กระทำ​การ​มหัศจรรย์​เป็น​อัน​มาก​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์ มิใช่​หรือ’23 เมื่อ​นั้น​เรา​จะ​ได้​กล่าว​แก่​เขา​ว่า ‘เรา​ไม่​เคย​รู้จัก​เจ้า​เลย เจ้า​ผู้กระทำ​ความ​ชั่ว จง​ไป​เสีย​ให้​พ้น​หน้า​เรา’

หญิงพรหมจารีโง่ห้าคน อาจเป็นภาพของคนที่กำลังรับใช้พระเจ้า ทำนู่นนี่นั่นมากมาย อาจเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา อาจเป็นศาสนาจารย์ ครูสอน ผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ แต่สิ่งที่พวกเขาทำที่เรียกว่า รับใช้พระเจ้า ไม่ได้ทำให้พระเจ้าทรงยอมรับพวกเขา  สิ่งที่ทำให้พระเจ้ายอมรับเรา คือ พระคุณ…..ไม่ใช่ความสามารถ ความเก่ง ผลงานมากมาย แต่เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ  เรายังคงรับใช้พระเจ้า ตามบทบาทที่พระเจ้าทรงประทานให้ แต่เราต้องไม่ลืม พระคุณของพระเจ้า คือสิ่งที่เราต้องใช้ในเส้นทางแห่งการไปสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์

4.พระคุณมีมากเพียงพอ คือคำตอบสุดท้าย

มัทธิว 25:4146   41 ​พระ​องค์​จะ​ตรัส​กับ​บรรดา​ผู้​ที่​อยู่​เบื้อง​ซ้าย​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​องค์​ว่า ‘ท่าน​ทั้ง​หลาย​ผู้​ต้อง​แช่ง​สาป​จง​ถอย​ไป​จาก​เรา เข้า​ไป​อยู่​ใน​ไฟ​ซึ่ง​ไหม้​อยู่​เป็น​นิตย์ ซึ่ง​เตรียม​ไว้​สำหรับ​มาร​ร้าย​และ​สมุน​ของ​มัน​นั้น​42 เพราะ​ว่า​เมื่อ​เรา​หิว​ท่าน​ก็​มิได้​ให้​เรา​กิน เรา​กระหาย​น้ำ​ท่าน​ก็​มิได้​ให้​เรา​ดื่ม​43 เรา​เป็น​แขก​แปลก​หน้า ท่าน​ก็​ไม่ได้​ต้อนรับ​เรา​ไว้ เรา​เปลือย​กาย ท่าน​ก็​ไม่ได้​ให้​เสื้อผ้า​เรา​นุ่ง​ห่ม เรา​เจ็บป่วย​และ​ต้อง​จำ​อยู่​ใน​พันธนาคาร ท่าน​ไม่ได้​เยี่ยม​เรา’44 เขา​ทั้ง​หลาย​จะ​ทูล​ว่า ‘พระ​องค์​เจ้า​ข้า ที่​ข้า​พระ​องค์​ได้​เห็น​พระ​องค์​ทรง​หิว​หรือ​ทรง​กระหาย​น้ำ หรือ​ทรง​เป็น​แขก​แปลก​หน้า​หรือ​เปลือย​พระ​กาย หรือ​ประชวร หรือ​ต้อง​จำ​อยู่​ใน​พันธนาคาร และ​ข้า​พระ​องค์​มิได้​ปรนนิบัติ​พระ​องค์​นั้น​แต่​เมื่อไร’45 เมื่อ​นั้น​พระ​องค์​จะ​ตรัส​กับ​เขา​ว่า ‘เรา​บอก​ความ​จริง​แก่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า ซึ่ง​ท่าน​มิได้​กระทำ​แก่​ผู้​ต่ำ​ต้อย​ที่สุด​สัก​คน​หนึ่ง​ใน​พวก​นี้ ​ก็​เหมือน​ท่าน​มิได้​กระทำ​แก่​เรา​ด้วย’46 และ​พวก​เหล่า​นี้​จะต้อง​ออกไป​รับ​โทษ​อยู่​เป็น​นิตย์ แต่​ผู้​ชอบธรรม​จะ​เข้า​สู่​ชีวิต​นิรันดร์”

 13 เหตุ​ฉะนั้น จง​เฝ้า​ระวัง​อยู่ เพราะ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ไม่​รู้​กำหนด​วัน​หรือ​โมง​นั้น​

 “สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…มีพระคุณมากเพียงพอ” (sufficiency)

1.อย่ามีชีวิตที่จำกัดพระคุณแค่ตนเอง

2. จงขยายชีวิตให้คู่กับพระคุณที่มากเพียงพอ

3.มีสิ่งที่บั่นทอน (โลกไม่ได้สวยงามตลอดเวลา)

4. พระคุณมีมากเพียงพอ คือคำตอบสุดท้าย

By admin