“อาหารแห่งชีวิต…เติบโตไพบูลย์อย่างพระคริสต์”
You are what you eat แปลว่า กินอะไรเข้าไปก็ทำให้มีสุขภาพอย่างที่ตนเองกิน เราอยู่ในยุคที่เรียกว่า บริโภคนิยม ข้าพเจ้าได้เข้าไปดูในบล็อกที่มีคนเขียนไว้เกี่ยวกับเรื่องคำว่า บริโภคนิยม กับ วัตถุนิยม และมีที่น่าสนใจ จึงอยากจะหยิบยกมาอ่านให้พี่น้องฟัง
บริโภคแปลว่า กิน วัตถุนิยม หมายถึงการกินอาหารเพราะติดในรสอร่อย ต้องการเครื่องปรับอากาศ เพราะมันให้ความเย็น หรือต้องการรถเบนซ์ เพราะไปไหนมาไหนสบาย ไม่เหนื่อย นี่เป็นความสุขอันเนื่องจากประสาททั้งห้า แต่บริโภคนิยมลึกกว่านั้น จุดหมายของการบริโภคมิใช่ความสุขทางประสาททั้งห้าเท่านั้น แต่ต้องการมากกว่านั้น คือ เมื่อได้บริโภคแล้ว คุณรู้สึกว่าคุณได้เป็นอะไรบางอย่าง
ความสุขจากการกินโค้กหรือสตาร์บั๊คส์ มิได้อยู่ที่รสอร่อยหรือกลิ่นหอมเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะมันให้ความรู้สึกว่าฉันเป็นคนทันสมัย มีรสนิยม คนไม่ได้กินแมคโดนัลด์เพราะต้องการความอร่อยมากเท่ากับอยากเป็นคนภูมิฐาน หรือรู้สึกเท่ บริษัทแมคโดนัลด์เขายอมรับว่าผลิตแมคโดนัลด์ ไม่ใช่เพื่อขายสารอาหาร แต่เขาต้องการขายภาพลักษณ์ ถ้าคนไปกินแมคโดนัลด์แสดงว่าเป็นคนทันสมัย ยืดอกเวลาสมาคมกับผู้คนได้
ตรงนี้ที่มันสนองสิ่งที่ลึกซึ้ง คือสนองความต้องการมี “ภาวะชีวิตใหม่” ที่น่าปรารถนาคือ ทำให้คุณรู้สึกว่าคุณได้เป็นอะไรบางอย่างที่พึงปรารถนา คุณรู้สึกว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีคุณค่า คุณใส่ไนกี้ไม่ใช่เพราะไนกี้มันนิ่มเท้า แต่เพราะมันทำให้คุณรู้สึกว่าเป็นอะไรบางอย่างที่น่าปรารถนา เช่น เป็นผู้ชนะ คนจำนวนมากปรารถนาที่จะมีรถเบนซ์ขับ ไม่ใช่เพราะว่ารถเบนซ์ขับนิ่ม หรือปลอดภัย แต่เพราะมันทำให้คุณรู้สึกมีหน้ามีตา มีความภูมิฐาน ทำให้คุณภูมิใจและมั่นใจในตนเอง ตรงนี้เป็นเรื่องจิตใจ
ทุกวันนี้ คนป่วย มากขึ้น (แต่เดิมก็ป่วยอยู่แล้ว) นั่นคือการดำเนินชีวิตอยู่กับวัตถุนิยมและบริโภคนิยม
ฟิลิปปี 3:19 19 ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก
เมื่อสองพันปีที่แล้ว หนังสือลูกาได้บันทึกพระกิตติคุณเรื่องราวของพระเยซูไว้ดังนี้ว่า พระเยซูได้รับเชิญไปงานเลี้ยงอาหารในบ้านของฟาริสี ธรรมจารย์ และพระองค์ทรงสังเกตเห็นคนที่รับเชิญมาต่างก็เลือกที่นั่งที่มีเกียรติ พระเยซูได้สอนให้คนที่รับเชิญให้รอคอยเจ้าของบ้านเป็นคนเลือกที่นั่งให้ และพระองค์ก็สอนเจ้าของบ้านเกี่ยวกับการเชิญคนมางานเลี้ยง ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเชิญแต่คนที่สามารถตอบแทนตนเองได้ แต่พระเยซูทรงสอนเจ้าของบ้าน และคนที่อยู่ในงานเลี้ยงนี้ว่า จงเชิญคนที่ไม่มีทั้งเกียรติ และไม่มีแม้กระทั่งความสามารถที่จะตอบแทน เมื่อพระเยซูทรงสอนเสร็จ ก็มีหนึ่งในคนที่ร่วมในวงอาหาร(น่าจะเป็นหนึ่งในบรรดาเพื่อนของพวกธรรมาจารย์ ก็พูดขึ้นมาว่า “ผู้ที่จะรับประทานอาหารในแผ่นดินของพระเจ้าก็เป็นสุข” สำนวนคำพูดนี้ กำลังบอกว่า พวกเขาเข้าใจสิ่งที่พระเยซูสอนเรื่องมารยาท และการมีจิตใจดี เพื่อแสดงว่า พวกเขาเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม และพร้อมสำหรับที่จะร่วมงานเลี้ยงของพระเจ้า
หากกล่าวถึงการจัดงานเลี้ยง สำหรับมนุษย์ นั่นหมายถึงความร่าเริงยินดี และมีข่าวดี เช่น งานแต่งงาน งานวันเกิด งานฉลองชัยชนะ การได้รับการช่วยกู้….
แต่สำหรับพระเจ้า สิ่งที่เป็นข่าวดีที่สุดสำหรับพระเจ้าก็คือ แผนการแห่งความรอดสำหรับมนุษย์สำเร็จ พระเยซูได้ตรัสคำว่า สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน เมื่อสองพันปีที่แล้ว นั่นหมายความว่า งานเลี้ยงได้เริ่มต้นแล้ว
สำหรับมนุษย์มีคำหนึ่งกล่าวว่า งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา แปลว่า เวลาของมนุษย์สำหรับงานเลี้ยงนั้นสั้น แต่สำหรับพระเจ้า งานเลี้ยงของพระเจ้านั้นยาวนาน แต่ก็มีเวลาที่จะเลิกราด้วยเช่นกัน เราจะมาดูว่าพระเยซูทรงเล่าคำอุปมาตอนนี้ ได้ซ่อนนัยยะในมิติฝ่ายวิญญาณไว้อย่างไร
ครั้งหนึ่งพระเยซูทรงตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า คำอุปมาเพื่อจะซ่อนความหมายที่แท้จริงจากคนที่ไม่ได้จริงจังในการติดตามพระองค์….แต่จะเปิดเผยสำหรับสาวกของพระองค์เท่านั้น สาวกแปลว่า นักเรียน แปลว่า คนที่มุ่งจะเรียนรู้จากพระเยซู จะได้รับการเปิดเผยมากกว่าคำอุปมา คนที่พูดว่า พวกเขาพร้อมจะเรียนรู้สิ่งดีๆจากพระเยซู คำอุปมาของพระเยซูตอนนี้กำลังถามกลับไปว่า จริงหรือ? ที่พวกคุณพร้อมจะเรียนรู้สิ่งดีๆอย่างที่เรียกตนเองว่าคนชอบธรรม จริงหรือ? ที่พวกคุณพร้อมจะร่วมโต๊ะกับองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูจึงได้สอนลึกในมิติฝ่ายวิญญาณ ด้วยคำอุปมาเรื่องงานเลี้ยงใหญ่ ในหนังสือลูกาตอนต่อไปนี้
ลูกา 14:15-24 .….“ผู้ที่จะรับประทานอาหารในแผ่นดินของพระเจ้าก็เป็นสุข”
พระเยซูกำลังตอบคำพูดประโยคนี้ว่า คนที่จะมีความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องรอตายแล้วขึ้นสวรรค์ร่วมงานเลี้ยงของพระเจ้า แต่งานเลี้ยงของพระเจ้าได้ลงมาจากสวรรค์มาสู่แผ่นดินโลกแล้ว พระเจ้าได้จัดโต๊ะจีนให้แล้ว และอาหารที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับงานเลี้ยงนี้ก็สุดยอดที่สุด
ยอห์น6:27,35,48 27 อย่าขวนขวายหาอาหารที่เสื่อมสิ้นไป แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่คืออาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว”….35 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย….48 เราเป็นอาหารแห่งชีวิต
น่าสนใจมากว่า อาหารในงานเลี้ยงของพระเจ้า นอกจากจะอร่อยถูกใจ (ไม่ใช่แค่ถูกปาก) กินแล้วอิ่มตลอดกาล อิ่มใจจนอิ่มท้อง และไม่อยากอะไรอีกเลย นี่แหล่ะคืออาหารแห่งชีวิต…นำไปสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ คือนำไปสู่ความสมบูรณ์ของชีวิตที่แท้จริง (ไม่ต้องกระเสือกกระสน ไม่ต้องดิ้นรนไปแสวงหาอะไรมาเติมเต็มชีวิตอีกต่อไป) ไม่ต้องพยายามด้วยวิธีอย่างมนุษย์ ทรมานตนเอง หรือเข้าป่าปลีกวิเวก พยายามจะหนีจากความเป็นคน แต่ยังให้เราเป็นคน และรู้จักตัวตน ในมุมที่อ่อนแอ และรับการเยียวยา ด้วยอาหารแห่งชีวิตนิรันดร์นี้ พระเยซูสอนสาวกของพระองค์ให้เป็นคนธรรมดาที่รู้ว่าตนเองป่วยก็ต้องการอาหารที่ดี เพื่อให้หายป่วย
มีคุณพ่อของคนท่านหนึ่งมีอายุ 100 กว่าปีแล้ว ท่านกล่าวว่า ทานปลาเป็นอาหาร ทานพืชผักผลไม้เป็นยา ลูกสาวคุณพ่อท่านนี้ เชิญข้าพเจ้าว่า อาจารย์ไก่ ช่วยไปร้องเพลงและเทศนาให้พ่อฟังที่บ้าน เรานัดกันว่าหลังปีใหม่นี้จะไปเยี่ยมท่านที่บ้าน นอกจากคุณพ่อจะรู้จักอาหารที่ดีแล้ว ยังรู้จักอาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ด้วย อายุร้อยกว่าปี ก็ยังต้องการอาหารแห่งชีวิต วันนี้ พวกเราอายุเท่าไร เรากำลังรับอาหารแห่งชีวิตอย่างต่อเนื่องหรือไม่
พระเยซูได้ทรงตรัสคำอุปมาเรื่องงานเลี้ยงของพระเจ้าบนโลกนี้ว่า
1.จะมีบางคนที่ปฏิเสธอาหารแห่งชีวิต ลูกา 14:16-19
16 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ยังมีคนหนึ่งได้ทำการเลี้ยงใหญ่ และได้เชิญคนเป็นอันมาก17 เมื่อถึงเวลาเลี้ยงแล้ว เขาก็ใช้บ่าวของตนไปบอกคนทั้งหลายที่ได้รับเชิญไว้แล้วว่า ‘เชิญมาเถิด เพราะสิ่งสารพัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว’18 บรรดาคนเหล่านั้นก็พากันขอตัว คนแรกว่า ‘ข้าพเจ้าได้ซื้อนาไว้ และจะต้องไปดูนานั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ’19 อีกคนหนึ่งว่า ‘ข้าพเจ้าได้ซื้อโคไว้ห้าคู่ และจะต้องไปลองดูโคนั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ’20 อีกคนหนึ่งว่า ‘ข้าพเจ้าพึ่งแต่งงานใหม่ เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าไปไม่ได้’
คนที่ปฏิเสธอาหารแห่งชีวิต ที่พระเจ้าทรงจัดงานเลี้ยงให้บนโลกนี้ คนเหล่านี้ต่างอ้างเหตุผลต่างๆนาๆ ยุ่งอยู่กับอาชีพการงาน (ซื้อนาไว้ ต้องไปดูนา) ยุ่งอยู่กับความเจริญก้าวหน้าของธุรกิจ (วัวห้าคู่) และบางคนก็ยุ่งอยู่กับครอบครัวขอตัวเอง( เพิ่งแต่งงาน กำลังสร้างครอบครัวให้มั่นคง) ต่างปฏิเสธอาหารแห่งชีวิตในงานเลี้ยงของพระเจ้าที่จัดไว้ให้ (คิดว่า รอตายก่อน แล้วค่อยร่วมโต๊ะกับพระเจ้า
ในพระคัมภีร์ 1โครินธ์ 11 ที่ข้าพเจ้ามักจะเอามาอ่านในพิธีมหาสนิท (กินขนมปังและน้ำองุ่น) ทุกสัปดาห์ที่สองของเดือน เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็เพิ่งจะผ่านไป ข้าพเจ้ามักจะพูดคำว่า ร่วมโต๊ะกับองค์พระผู้เป็นเจ้า นั่นคือ เราได้ร่วมโต๊ะกับพระเยซู ขนมปังเป็นสัญลักษณ์เล็งถึงพระกายของพระเยซูที่ต้องแตกหักเพื่อเรา และน้ำองุ่นเล็งถึงพระโลหิตของพระเยซูที่ต้องหลั่งออกเพื่อไถ่บาปเรา
ข้าพเจ้ามักจะพูดว่า อย่าให้ขนมปังน้ำองุ่นผ่านเราไป คือไม่กิน เพราะการไม่ให้อภัยคนอื่น หรือยังทำบาป ไม่สารภาพบาป กลับใจ หยุดทำบาป ทุกเดือนเรามีพิธีนี้เพื่อเตือนใจเรา สำรวจชีวิตตนเอง ว่า ยังร่วมโต๊ะ รับอาหารแห่งชีวิต หรือปฏิเสธอาหารแห่งชีวิต และกินอาหารที่บำรุงบำเรอเนื้อหนังแทน (บริโภคนิยม กับวัตถุนิยม)
ถ้าเราตอบสนองต่อคำอุปมานี้ เรากำลังตอบสนองอย่างนักเรียนของพระเยซู ไม่ใช่แค่คนที่คิดว่า ตนเองเป็นคนชอบธรรมด้วยความเชื่อ และประกาศตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่ยังดำเนินชีวิตบริโภคนิยม วัตถุนิยม
2.อาหารแห่งชีวิตไม่เคยปฏิเสธทุกคน ลูกา 14:21-22
’21 บ่าวนั้นจึงกลับมาเล่าเนื้อความให้นายฟัง นายก็โกรธ จึงสั่งบ่าวว่า ‘จงออกไปโดยเร็วตามถนนใหญ่ ตรอกน้อยในเมือง พาคนจน คนพิการ คนตาบอด และคนเขยกเข้ามาที่นี่’22 แล้วบ่าวจึงบอกว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้กระทำตามท่านสั่งแล้ว และยังมีที่ว่างอยู่’
จงตระหนักเสมอว่า อาหารแห่งชีวิต ไม่เคยปฏิเสธใคร ไม่ว่าใครก็ตามจะมี สภาพของจิตใจอย่างไร สภาพร่างกายแบบไหน จิตวิญญาณที่ดำดิ่งขนาดไหน อาหารแห่งชีวิต รับรอง กินแล้วไม่ตาย แต่ถ้าไม่กินสิ มีแต่จะป่วย และป่วยมากขึ้น ภาวะทางอารมณ์ป่วย เรื่องจิตวิญญาณยิ่งป่วยแน่นอน
จงสำรวจตนเองว่า กำลังอยู่ในงานเลี้ยงของพระเจ้า หรืองานเลี้ยงอย่างชาวโลก พระเยซูได้ยกตัวอย่างงานเลี้ยงอย่างชาวโลกของคนในยุคนี้ว่า จะเป็นเหมือนคนในยุคของโนอาห์
มัทธิว 24:36-38 36 “แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว37 ด้วยสมัยของโนอาห์ ได้เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา ก็จะเป็นอย่างนั้น38 เพราะว่าเมื่อก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายได้กินและดื่มกัน ทำการสมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าในนาวา39 และน้ำท่วมมากวาดเอาเขาไปสิ้น โดยไม่ทันรู้ตัวฉันใด เมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาก็จะเป็นฉันนั้น
มัทธิว 24:40-44 40 เมื่อนั้นชายสองคนอยู่ที่ทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง41 หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ที่โรงโม่ จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง42 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะเสด็จมาเวลาไหน43 จงจำไว้ว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่าขโมยจะมายามไหน เขาจะตื่นอยู่และระวัง ไม่ให้ทะลวงเรือนของเขาได้44 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา
พระคัมภีร์ตอนนี้ไม่เว้นแม้แต่คริสเตียนที่ดำเนินชีวิต บริโภคนิยมกับวัตถุนิยม จะมีคริสเตียนที่ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เมื่อพระเยซูเสด็จมาอีกครั้ง เพื่อจะรับพวกเขาไป แต่พวกเขาเองที่ไม่อยากไป เพราะยังติดอยู่กับโลกนี้
วิวรณ์ 3:20 20 นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา
3. งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ลูกา 14:23-24
23 นายจึงสั่งบ่าวนั้นว่า ‘จงออกไปตามทางใหญ่ซอกน้อย และเร่งเร้าเขาให้เข้ามา เพื่อเรือนของเราจะเต็ม24 เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ในพวกคนทั้งหลายที่ได้รับเชิญไว้นั้น ไม่มีสักคนหนึ่งจะได้ลิ้มเครื่องของเราเลย’ ”
ไม่ใช่เพราะที่เต็ม ยังมีที่ว่างสำหรับคนอีกมากมายเพียงพอ แต่ปัญหาที่ต้องเร่งรีบ เพราะเวลาใกล้จะหมดแล้ว นั่นคือ พระเยซูกำลังจะเสด็จกลับมาอีกครั้ง และนั่นคือสัญญาณบอกว่า หมดเวลา คนที่รับเชิญแต่ปฏิเสธ (หมายถึงคนที่ดำเนินชีวิตดี มีโอกาสเรียนรู้สิ่งดีๆ แต่ไม่เข้าถึง เข้าลึกเป็นสาวกของพระเยซู เป็นแค่คนที่นับถือศาสนาคริสต์เท่านั้น ) ผู้รับเชิญเหล่านี้ พลาดโอกาสลิ้มรสชาติอาหารแห่งชีวิตที่แท้จริง และเมื่อเวลาหมด ก็พลาดตลอดไป
บ่อยครั้ง ข้าพเจ้ามักจะพูดว่า ทำไมพระเจ้าไม่เอาเราไปเร็วๆ ยังให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะว่า เมื่อเราตายไป เราหมดความรู้สึกอย่างมนุษย์ที่ได้ลิ้มรสชาติอาหารแห่งชีวิต บนสวรรค์ เรามีกายใหม่ ลิ้นใหม่ เรามีความสุข เราไม่มีคำว่า ร้องไห้ และน้ำตาอีกต่อไป แต่ขณะอยู่บนโลกนี้ เรามีน้ำตา มีการร้องไห้ มีความกระหาย ความหิวทางจิตใจ และอาหารแห่งชีวิตตอบโจทย์เราได้นั้น มันสุขขนาดไหน ทูตสวรรค์ เทวดา ไม่เข้าใจ และไม่มีโอกาสมีประสบการณ์อย่างเรา
อ.เปาโลได้กล่าวถึงโอกาสของการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ อย่างคนที่แฮปปี้สุดๆ
ฟิลิปปี 1:21-23 21 เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร22 ถ้าข้าพเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่ในร่างกาย ข้าพเจ้าก็จะทำงานให้เกิดผล แต่ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ว่าจะเลือกฝ่ายไหนดี23 ข้าพเจ้าลังเลใจอยู่ในระหว่างสองฝ่ายนี้ คือว่า ข้าพเจ้ามีความปรารถนาที่จะจากไปเพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก
ฟิลิปปี 4:12-13 12 ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก ความสมบูรณ์พูนสุข และความขัดสน13 ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
ให้เราสังเกตว่า คนที่บริโภคนิยมและวัตถุนิยม จะทนอะไรไม่ค่อยได้ ความอดทนแทบจะไม่มี สติแตก และระเบิดอารมณ์ได้ง่าย ขอให้เราทั้งหลาย จงเป็นผู้กินอาหารแห่งชีวิต และห่างไกลจากวิถีชีวิต บริโภคนิยม และวัตถุนิยม อาเมน
“อาหารแห่งชีวิต…เติบโตไพบูลย์อย่างพระคริสต์”
1.จะมีบางคนที่ปฏิเสธอาหารแห่งชีวิต
2.อาหารแห่งชีวิตไม่เคยปฏิเสธทุกคน
3. งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา