“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…สัมพันธ์กันและกัน” (เชื่อมต่อกัน)
คำว่า คนแปดหน้า คนไม่รู้จัก สำหรับเรา เรารู้สึกอย่างไรกับคำว่า คนแปลกหน้า ในยุคของเราทุกวันนี้ ตอบได้คำเดียว น่ากลัว ไม่น่าไว้วางใจ แล้วสิ่งที่พระคัมภีร์สอนเราจะใช้ได้ในยุคของเราไม๊
ฮีบรู 13:2 2 อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะว่าโดยการกระทำเช่นนั้น บางคนก็ได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว
คำว่า ต้อนรับ ในรากศัพท์ใช้คำว่า entertain, hospitality แปลว่า ให้อาหาร ให้น้ำ ให้ที่พักหลบร้อน และให้ความใส่ใจ ทำให้เกิดความรู้สึกดี อัธยาศัยที่ดี พระคัมภีร์ไม่ได้ใช้คำว่า ไว้วางใจทีเดียว ดังนั้น พระคัมภีร์ตอนนี้ยังสามารถใช้ได้ และใช้ได้ทีเดียว คำว่า คนแปลกหน้า สำหรับคนในยุคของเรา นอกจากจะปฏิเสธที่จะให้ความเป็นมิตรไมตรีแล้ว บางทีก้าวร้าว หยาบคายด้วย จนมีเพลงคำว่า คนกันเอง (ข้าพเจ้าร้องไม่เป็น แต่ก็เคยได้ยิน) คนไทย เราจะใช้คำว่า คนกันเอง กับคนที่รู้จัก คนกันเองจะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษกว่าคนที่ไม่รู้จัก (คนแปลกหน้า)
มัทธิว 25:35-36 35 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้36 เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา’
พระเยซูทรงยกคำอุปมาเรื่องนี้ เกี่ยวกับสาวกกับตัวของพระองค์เองในอนาคต เมื่อพระองค์ทรงเสด็จกลับมาและนั่งบัลลังค์พิพากษาคนของพระองค์ พระเยซูจะให้รางวัลกับคนที่ต้อนรับแขกแปลกหน้า คำว่า ต้อนรับคำนี้ เป็นคำเดียวกันกับที่ผู้เขียนหนังสือฮีบรูใช้ คือ entertain, hospitality การให้อาหาร (ทำให้อิ่มท้อง) การให้น้ำดื่ม (ทำให้ความผ่อนคลาย ให้ความสดชื่น) ให้ความเสื้อผ้า (ความอบอุ่น) ให้ความใส่ใจ (ช่วยให้หายป่วยจริง) และให้กำลังใจ (เมื่อถูกโดดเดี่ยว สภาพที่ขัง ถูกพันธนาคาร เป็นสภาพถูกแยกออกจากสังคม) พระเยซูทรงสอนสาวกของพระเองค์ด้วยการให้คำนิยามใหม่ของคำว่า คนแปลกหน้า (เป็นแขกของสาวก)
คำสอนของพระเยซูมักจะสวนกระแส สวนความคิดของคน ในตอนนี้ พระเยซูกำลังให้เรามีมุมมองใหม่ ที่ว่า ถ้าเราพบกับคนที่อยู่ในสภาพนี้ จงมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง (อย่างรุนแรง) เหมือนกับพระเยซูทรงรู้สึก คือถ้าพระองค์อยู่ที่ไหน ต้องไม่มีใครเป็นแขกแปลกหน้าอีกต่อไป แต่คนๆนั้นจะต้องได้รับการใส่ใจ และการต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี ชนิดที่คนไทยมักจะใช้คำว่า ต้อนรับขับสู้ (ต้อนรับอย่างแข็งขัน ยินดี ต้อนรับผู้มาเยือน) ไม่ใช่ต้อนหมูเข้าเล้า (บังคับคนที่ไม่มีทางสู้ บีบบังคับ คนที่อ่อนแอกว่า)
ในเหตุการณ์ก่อนที่พระเยซูจะทรงเลี้ยงคนห้าพันคน พระเยซูทรงตรัสกับสาวกของพระองค์ว่าอย่างไร น่าสนใจมาก
ลูกา 9:10-17 10 ครั้นอัครทูตกลับมาแล้ว เขาทูลพระองค์ถึงบรรดาการ ซึ่งเขาได้กระทำนั้น พระองค์จึงพาเขาไปแต่ลำพังถึงเมืองที่เรียกว่าเบธไซดา11 แต่เมื่อประชาชนรู้แล้วจึงตามพระองค์ไป พระองค์ทรงต้อนรับเขา ตรัสสั่งสอนเขาถึงแผ่นดินของพระเจ้า และทุกคนที่ต้องการให้หายโรคพระองค์ก็ทรงรักษาให้12 ครั้นกำลังจะเย็นแล้ว สาวกสิบสองคนมาทูลพระองค์ว่า “ขอให้ประชาชนไปตามบ้านไร่บ้านนาที่อยู่แถบนี้ หาที่พักนอนและหาอาหารรับประทานเพราะที่เราอยู่นี้เป็นที่เปลี่ยว”13 แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” เขาทูลว่า “เราไม่มีอะไรมาก มีแต่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว เว้นเสียแต่เราจะไปซื้ออาหารสำหรับคนทั้งปวงนี้”14 เพราะว่าคนเหล่านั้นนับแต่ผู้ชายประมาณห้าพันคน พระองค์จึงสั่งเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงให้คนทั้งปวงนั่งลงเป็นหมู่ๆ ราวหมู่ละห้าสิบคน”15 เขาจึงกระทำตาม คือให้คนทั้งปวงเอนกายลง16 เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ขอพร แล้วหักส่งให้แก่เหล่าสาวก ให้เขาแจกแก่ประชาชน17 เขาได้กินอิ่มทุกคน แล้วเขาเก็บเศษอาหารที่ยังเหลือนั้นได้สิบสองกระบุง
เหตุการณ์ที่พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน ถูกบันทึกพร้อมกันจากผู้เขียนหนังสือสี่เล็ม (มัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น) แสดงว่า เป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนกล่าวถึง และน่าจดจำ ลูกาบันทึกด้วยคำที่น่าสนใจว่า คนห้าพันคน (เฉพาะผู้ชาย ไม่รวมผู้หญิงและเด็ก) คนในยุคโบราณมักนับผู้ชายเป็นหลัก (มีตัวตน) ผู้หญิงและเด็ก (ไม่มีบทบาททางสังคม) แต่การบันทึกตรงนี้ นับผู้ชาย แสดงว่า มีผู้หญิงและเด็กอยู่ด้วย (ขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวมาจากเด็กผู้ไม่มีบทบาททางสังคม แต่เป็นคำตอบกับชุมชนเวลานั้น)
ในเหตุการณ์ที่คนมากมายติดตามหาพระเยซู เพราะการได้ยินว่า พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ รักษาโรค ขับผี และมีคำสอนที่ทำให้คนเหล่านี้มีความหวัง มีพลังชีวิต คนนับหมื่นมาจากเมืองต่างๆ มาหาพระเยซู (แน่นอน พระเยซูไม่เคยพบคนเหล่านี้ ไม่เคยรู้จักมาก่อน ดูเหมือประชาชนเหล่านี้จะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพระเยซู แต่คำที่ลูกาใช้บันทึกตอนนี้กับท่าทีของพระเยซูต่อประชาชน คืประโยคที่ว่า
11 แต่เมื่อประชาชนรู้แล้วจึงตามพระองค์ไป พระองค์ทรงต้อนรับเขา ตรัสสั่งสอนเขาถึงแผ่นดินของพระเจ้า และทุกคนที่ต้องการให้หายโรคพระองค์ก็ทรงรักษาให้
ความจริง ช่วงเวลานั้นของพระเยซูที่เสด็จไปที่เปลี่ยว เพราะพระองค์และสาวกเหนื่อยจากการทำพันธกิจ และหิวด้วย (บันทึกในหนังสือมาระโกได้บอกในเหตุการณ์เดียวกันนี้ แสดงว่า พระเยซูกับสาวก ยังไม่ทันได้พัก ก็ต้องต้อนรับแขกแปลกหน้าจำนวนมาก พระเยซูไม่ได้ปฏิเสธ พระองค์ตอบสนองด้วยความสงสาร
มาระโก 6:31-34 31 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายจงไปหาที่เปลี่ยวหยุดพักหายเหนื่อยสักหน่อยหนึ่ง” เพราะว่ามีคนไปมาเป็นอันมากจนไม่มีเวลาว่างจะรับประทานอาหารได้32 พระองค์จึงเสด็จลงเรือกับสาวกไปยังที่เปลี่ยวแต่ลำพัง33 คนเป็นอันมากเห็นพระองค์กับสาวกกำลังไป และจำได้ จึงพากันวิ่งออกจากบ้านเมืองทั้งปวงไปถึงก่อน34 ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้ว ก็ทรงเห็นประชาชนหมู่ใหญ่ และพระองค์ทรงสงสารเขา เพราะว่าเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงทรงสั่งสอนเขาเป็นหลายข้อหลายประการ
ยอห์นเป็นคนละเอียดอ่อน หนังสือยอห์นจะบันทึกเกี่ยวกับความรักของพระเยซูที่มีต่อสาวก และต่อคนมากมาย คำที่ยอห์นใช้แสดงความรู้สึกของพระเยซุในการต้อนรับขับสู้ต่อแขกแปลกหน้าของพระองค์
ยอห์น 6:5-7 5 พระเยซูทรงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรเห็นคนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงตรัสกับฟีลิปว่า “ทำอย่างไรเราจึงจะซื้ออาหารให้คนเหล่านี้กินได้”6 พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อจะลองใจฟีลิป เพราะพระองค์ทรงทราบแล้วว่า พระองค์จะทรงกระทำประการใด7 ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า “สองร้อยเหรียญเดนาริอัน ก็ไม่พอซื้ออาหารให้เขากินกันคนละเล็กละน้อย”
พระเยซูทรงมีวิธีที่พระองค์จะเลี้ยงอาหารประชาชนในเวลานั้นแล้ว แต่ที่ถาม เพื่อจะให้ฟิลิปคิดหาทางออกด้วยวิธีอย่างฟิลิป ซึ่งวิธีของฟิลิปคือ เป็นไปไม่ได้ที่จะเลี้ยงคนจำนวนมากขนาดนี้ได้ หนังสือมัทธิบันทึกว่า วิธีของสาวกคือ
มัทธิว 14:15-16 15 ครั้นเวลาเย็นแล้วพวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ที่นี่กันดารอาหารนัก และบัดนี้ก็เย็นลงมากแล้ว ขอพระองค์ทรงให้ประชาชนไปเสียเถิด เพื่อเขาจะได้ไปซื้ออาหารรับประทานตามหมู่บ้าน”16 ฝ่ายพระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า “เขาไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด”
คำตอบของฟิลิปคือให้คนเหล่านั้น ไปตามทางของตัวเอง พึ่งพาตนเอง แต่คำตอบของพระเยซูคือ จงต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีต่อพวกเขา
น่าสนใจว่า พระเยซูทรงต้องการให้สาวกของพระองค์ยังรักษาการเชื่อมต่อกับประชาชน ด้วยการปรนนิบัติต่อประชาชน
16 ฝ่ายพระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า “เขาไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” ไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ คือคำที่บอกว่า อย่าให้พวกเขาจากไป จงเลี้ยงพวกเขาเถิด
คือการรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ และนี่คือคริสตจักรของพระเยซูที่แท้จริง คืออย่าให้เขาจากไป แต่จงเลี้ยงเขาเถิด
พระเยซูทรงตรัสกับเปโตรว่า ท่านคือเปโตร (อิฐก้อนเล็กๆ) และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเรา (หมายถึงพระเยซูเอง ทรงเป็นศิลา เป็นหินก้อนใหญ่ เป็นศิลามุมเอก ที่เชื่อมต่ออิฐก้อนเล็กๆทุกๆก้อนให้เป็นผลงานการสร้างเอาไว้ด้วยกัน
มัทธิว 16:18 18 ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้
ทำไมพระเยซูจึงเรียกเปโตรว่า อิฐก้อนเล็กๆ ที่กำลังถูกสร้างบนศิลาคือพระเยซู
มัทธิซ 16:15-17 15 พระองค์ตรัสถามเขาว่า “แล้วพวกท่านเล่า ว่าเราเป็นใคร”16 ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”17 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุขเพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ
ในเหตุการณ์นี้ พระเยซูทรงถามสาวกของพระองค์ว่า พวกเขาคิดว่า พระเยซูเป็นใคร และเปโตรตอบพระเยซูว่า พระองค์คือพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเยซูตอบเปโตรว่าส เปโตรรู้จักพระเยซูด้วยการสำแดงที่มาจากพระเจ้า ไม่ใช่เพราะการได้ยินอีกต่อไป เปโตรจึงเป็นอิฐก้อนสำคัญที่กำลังถูกสร้างเป็นคริสตจักรของพระเยซู นี่คือภาพของการเชื่อมต่อของคริสตจักรที่ถูกสร้างขึ้นบนรากฐานที่สำคัญ คำถามที่พระเยซูถามเปโตร ก็ส่งต่อมาถามเราในวันนี้เช่นเดียวกันว่า เราคิดว่าพระเยซูเป็นใคร แน่นอน เราได้ยิน เราได้ฟังคำสอนจากคนอื่น แต่ที่สำคัญกว่านั้น พระเจ้าต้องการให้คริสเตียนทุกคนมีประสบการณ์การยืนยันถึงความเป็นพระคริสต์ (แปลว่า ผู้ที่พระเจ้าทรงทรงเจิม แต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ เราจะแน่ใจ เข้าใจ มั่นใจได้อย่างไร นี่คือความรับผิดชอบของเราที่จะต้องแสวงหาคำตอบนี้ด้วยตัวเอง) พระเจ้าได้ประทานผู้ช่วย (พระวิญญาณบริสุทธิ์) เครื่องมือ (พระคัมภีร์) และผู้รับใช้ที่มีของประทน(การเป็นอัครทูต ผู้เผยพระวจนะ ผู้ประกาศ ศิษยาภิบาลและอาจารย์ ) วันนี้เราใช้บริการเหล่านี้อยู่หรือไม่
บางคนบอกว่า กำลังใช้อยู่ แต่เป้าหมายของการใช้คือการตอบสนองต่อความต้องการของเนื้อหนังของตนเองซะส่วนใหญ่ เรารู้หรือไม่ว่า เป้าหมายของพระเจ้าคืออะไร เปาโลค้นพบคำตอบนี้ หนังสือโรม โครินธ์ จึงเขียนอย่างเจาะจงเลยว่า เพื่อจะให้คริสเตียน คนของพระเจ้า เชื่อมต่อกัน ด้วยภาพที่เปาโลให้คืออวัยวะของร่างกาย
โรม 12:4-8 4 เพราะว่า ในร่างกายอันเดียวนั้น เรามีอวัยวะหลายอย่าง และอวัยวะนั้นๆ มิได้มีหน้าที่เหมือนกันฉันใด5 พวกเราผู้เป็นหลายคนยังเป็นกายอันเดียวในพระคริสต์และเป็นอวัยวะแก่กันและกันฉันนั้น6 และเราทุกคนมีของประทานที่ต่างกัน ตามพระคุณที่ได้ประทานให้แก่เรา คือถ้าเป็นการเผยพระวจนะ ก็จงเผยตามกำลังของความเชื่อ7 ถ้าเป็นการปรนนิบัติก็จงปรนนิบัติ ถ้าเป็นการสั่งสอนก็จงสั่งสอน8 ถ้าเป็นการเตือนสติก็จงเตือนสติ ถ้าเป็นการบริจาค ก็จงให้ด้วยใจกว้างขวาง ผู้ที่ครอบครอง ก็จงครอบครองด้วยเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตา ก็จงแสดงด้วยใจยินดี
และเปโตรก็เขียนหนังสือเปโตร เพื่อจะให้คริสเตียนทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ต่างต้องพยายามพัฒนาตัวเอง เพื่อจะเชื่อมต่อกันและกัน แม้กระทั่งเชื่อมต่อกับคนแปลกหน้า ที่เปโตรเรียกว่า คนทั่วไป
2 เปโตร 1:5-7 5 เพราะเหตุนี้เอง ท่านจงอุตส่าห์จนสุดกำลังที่จะเอาคุณธรรมเพิ่มความเชื่อ เอาความรู้เพิ่มคุณธรรม6 เอาความเหนี่ยวรั้งตนเพิ่มความรู้ เอาขันตีเพิ่มความเหนี่ยวรั้งตน และเอาธรรมเพิ่มขันตี7 เอาความรักฉันพี่น้องเพิ่มธรรม และเอาความรักคนทั่วไปเพิ่มความรักฉันพี่น้อง
ผู้รับใช้ของพระคริสต์…สัมพันธ์กันและกัน (เชื่อมต่อกัน) ไม่ใช่แค่เฉพาะคนในคริสตจักรเดียวกัน ไม่ใช่เฉพาะคนในกลุ่มเซลล์เดียวกัน ไม่ใช่แค่เฉพาะเพื่อนซี้ คนสนิท เท่านั้น แต่แม้กระทั่งคนทั่วไปที่เราเชื่อมต่อ ก็ยิ่งทำให้ความรักฉันท์พี่น้อง (ภายในกลุ่มของเรายิ่งเข้มแข็ง) ความสัมพันธ์กันและกันของเรา จะไม่ใช่สิ่งที่สร้างกำแพงล้อมตัวเราเองไว้จากคนอื่น แต่ยิ่งทำให้เราทำลายกำแพงและออกไปหาคนอื่น คนทั่วไปมากยิ่งขึ้น
ขอให้ตาใจของเราทุกคนจงเปิดออก ออกจากคำนิยามคำว่า คนแปลกหน้า ออกจากคำว่า คนสนิท ออกจากคำว่า คนที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ ออกจากคำว่า คนกันเอง และเข้าสู่การเป็นอวัยวะของกายเดียวกัน ทำหน้าที่บทบาทของตนเองอย่างเหมาะสมในกายเดียวกันนี้ เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกอยากแยกตัวโดดเดี่ยว ไม่อยากนมัสการพระเจ้าด้วยกัน ไม่อยากไปทำกิจกรรมเดียวกัน (ข้าพเจ้าไม่ได้กำลังบอกว่า การไม่สามารถทำกิจกรรมโบสถ์เพราะติดภารกิจสำคัญ เป็นความผิด ) แต่กำลังบอกว่า ถ้าเรามีความรู้สึกไม่อยากมีส่วนร่วม ไม่อยากพบปะพี่น้องที่มีความเชื่อเดียวกัน มันคืออาการผิดปกติเหมือนอวัยวะในร่างกายที่ไม่ฟังชั่น ผิดปกติ เราจะรู้สึกมีไข้ ปวดหัวตัวร้อน เราจะรู้ว่า เราไม่สบาย
ทำนองเดียวกัน หากความรู้สึกนี้ เกิดขึ้น จงรู้เถิดว่า ความเป็นคริสเตียนของคุณกำลังป่วย ไม่สบาย ต้องรีบรักษาให้หายก่อนที่จะป่วยหนักกว่าเดิม เพราะผู้รับใช้ของพระคริสต์…ป่วยได้ แต่จะต้องรีบพาตัวเองกลับมาหายป่วย อาเมน