“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…กับพลังชีวิต”
เมื่อพูดถึงที่มาของพลังงานของร่างกาย ก็คืออาหารประจำวัน อาหารของเมื่อวานก็เป็นพลังงานของเมื่อวาน ถ้าเกินก็จะกลายเป็นไขมันส่วนเกิน น้ำตาลส่วนเกิน อะไรที่เกินๆไม่พอดีก็จะไม่ดีต่อสุขภาพ อาหารวันนี้ ก็เป็นพลังงานของวันนี้ อาหารของวันพรุ่งนี้ก็สำหรับพรุ่งนี้ ในคำสอนเรื่องการอธิษฐานของพระเยซูคริสต์เจ้า จึงมีตอนหนึ่งว่า “…ขอทรงประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ในกาลวันนี้…”
มัทธิว 6:11 11 ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้ (Now)
ลูกา 11:3 3 ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายทุกๆ วัน (Day by day)
พระเยซูทรงสอนคำว่า “พรุ่งนี้” กับคำว่า “วันนี้” แตกต่างกันที่ “พรุ่งนี้” ไม่ใช่สำหรับวันนี้ พรุ่งนี้ ไม่มีประโยชน์สำหรับวันนี้ แต่วันนี้ สามารถทำให้เราไปถึงวันพรุ่งนี้ได้ จึงมีคำว่า จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ในทางตรงกันข้าม คำว่า พรุ่งนี้ หรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง ก็อาจถูกนำมาบั่นทอนพลังชีวิตในวันนี้ของคนจำนวนไม่น้อย พระเยซูคริสต์ทรงตรัสอย่างนี้ว่า
มัทธิว 6:34 34 “เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว
พระเยซูทรงสอนเรื่องความกระวนกระวายของมนุษย์มักจะเอาอนาคตมาถมทับในปัจจุบัน คำว่า “พรุ่งนี้” หมายถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง คนมักจะเป็นทุกข์ และถูกบั่นทอนพลังชีวิต เพราะความกระวนกระวายว่าจะเอาอะไรกิน จะเอาอะไรดื่ม หมายถึงเรื่องของปากท้อง โดยเฉพาะเรื่องของเงินทอง ที่ทำให้เป็นเหตุของการห่างไกลจากความเชื่อ
1ทิโมธี 6:10 10 ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์
คำว่า เงินในอนาคต หมายถึงยังไม่มี แต่เอามาใช้ก่อน ก็ทำให้เป็นหนี้สิน ก็เป็นทุกข์ แต่บางคนก็คิดถึงความไม่มีเงินในปัจจุบัน ให้เป็นความไม่มีในอนาคตไปด้วย นี่ก็เป็นทุกข์ จนไม่กล้าที่จะใช้เงิน กลัวที่จะไม่มี กลัวที่จะลดลง กลัวจะหมดไป และกลัวจะหาใหม่ไม่ได้
พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อน ปลาสองตัว เป็นมื้ออาหารสำหรับเด็ก ขนมปังห้าก้อนจะมีขนาดเล็กแค่ไหน และปลาสองตัว จะตัวเล็กขนาดไหน แต่เมื่อมาอยู่ในมือของพระเยซูคริสต์เจ้า ขนมปังห้าก้อน และปลาสองตัว(เล็กๆ) สามารถแบ่งออกไปเลี้ยงคนห้าพันคนและยังเหลือเก็บอีกสิบสองกระบุง
มัทธิว 14:16-21 16 ฝ่ายพระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า “เขาไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด”17 พวกสาวกจึงทูลพระองค์ว่า “ที่นี่พวกข้าพระองค์มีแต่ขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น”18 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เอาอาหารนั้นมาให้เราเถิด”19 แล้วพระองค์ทรงสั่งให้คนเหล่านั้นนั่งลงที่หญ้า เมื่อทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ ถวายคำสาธุการ และหักส่งให้เหล่าสาวก เหล่าสาวกก็แจกให้คนทั้งปวง20 เขาได้กินอิ่มทุกคน ส่วนเศษอาหารที่ยังเหลือนั้น เขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองกระบุงเต็ม21 ฝ่ายคนที่ได้รับประทานอาหารนั้นมีผู้ชายประมาณห้าพันคน มิได้นับผู้หญิงและเด็ก
เราลองดูในตู้เย็นของเราว่า เรามีอาหารมากกว่าขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวไม๊ ลองดูเงินในกระเป๋าของเรามีพอที่จะซื้ออาหารมากกว่าขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวไม๊ ข้าพเจ้ามั่นใจว่า คนที่มีเงินน้อยที่สุดในท่ามกลางเรา หรือไม่มีเลย คุณก็ยังสามารถมีอาหารที่มากกว่าขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว แต่…..สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่มั่นใจก็คือ สิ่งที่เรามีอยู่ สิ่งที่เราครอบครองอยู่ ตอนนี้ อยู่ในมือของใคร
มีเพลงหนึ่งที่ข้าพเจ้าชอบ เป็นภาษาอังกฤษ คือเพลง I don’t know about tomorrow but I know who hold the future and I know who hold my hands. แปลว่า ฉันไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ฉันรู้ว่าใครคือคนที่ควบคุมอนาคต และมือของใครคนนั้นที่กุมอนาคต กำลังจูงมือฉันให้เดินไป อาเมน
มีคำว่า พระเจ้าจะไม่พาเราไปในที่ที่พระคุณของพระองค์ไปไม่ได้ถึง พระคุณหมายถึงสิ่งที่เราไม่สมควรได้รับ นั่นคือ เราจะได้รับ แม้เราจะไม่สามารถ ไม่เก่ง ไม่สวย ไม่หล่อ ไม่เหมาะ ไม่สมควรจะได้รับ แต่เราจะได้รับ
บางคนกำลังเป็นทุกข์ กระวนกระวายกับอนาคตของเงินในกระเป๋าว่ามันกำลังจะหมดไป บางคนกำลังกระวนกระวายกับงานที่กำลังเกษียร บางคนกำลังกระวนกระวายกับสถานะที่ตนเองกำลังเป็นอยู่ อายุที่มากขึ้น หรือสุขภาพที่แย่ และสิ้นหวังกับวันพรุ่งนี้ ความกระวนกระวายและความทุกข์ใจ ความสิ้นหวัง ทำให้หลายคนรู้สึกไม่มีชีวิตชีวาในการดำเนินชีวิตเลย ความเชื่อแทบจะหายไปหมด
อ.เปาโลในขณะที่ติดคุก ได้เขียนจดหมายหนุนใจคริสเตียนเมืองฟิลิปปีที่ไม่ได้ติดคุกเหมือนกับอ.เปาโล แต่ความรู้สึกเหมือนคนที่ไม่มีชีวิตชีวาเลย อ.เปาโลจึงต้องหนุนใจด้วยคำว่า….
ฟิลิปปี 4:4-7 4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด5 จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว6 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์
อะไรทำให้เปาโลที่อยู่ในคุกสามารถหนุนใจคนอยู่นอกคุกได้ นั่นคือ สันติสุขแห่งพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ ได้คุ้มครองจิตใจและความคิดของเปาโล ทำให้สามารถเผชิญกับทุกสิ่งได้ และยังรับการเสริมกำลังจากพระเจ้าด้วย
ฟิลิปปี 4:11-13 11 ข้าพเจ้าไม่ได้บ่นถึงเรื่องความขัดสน เพราะข้าพเจ้าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น12 ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก ความสมบูรณ์พูนสุข และความขัดสน13 ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใด ผู้รับใช้ของพระคริสต์ ไม่เคยที่จะหมดพลังชีวิต แต่ยังรับการเสริมพลังชีวิตจากพระเจ้าได้เสมอ
พลังชีวิต (หลักของผู้ก่อตั้งซาเทียร์โมเดลใช้เพื่อบำบัดผู้ป่วยทางจิตเวช หรือแม้แต่คนปกติ) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการฟื้นฟูคน โดยเฉพาะผู้ป่วยทางจิตเวช และไม่เพียงผู้ป่วยทางจิตเวชเท่านั้น เราทุกคนก็มีโอกาสที่จะป่วยทางจิตใจได้ พลังชีวิตที่ว่าคือกุญแจสำคัญ การป่วยของจิตใจก็เป็นอะไรที่ทำให้พลังชีวิตถูกผลาญไปด้วยเช่นกัน
พระคัมภีรืได้กล่าวถึงการใช้พลังชีวิตของคริสเตียนอย่าง อ.เปาโลผู้เป็นเจ้าของสำนวนว่า
ฟิลิปปี 4:13 13 ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
I can do all things through him who strengthens me.
ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า เปาโลตกผลึกความคิดนี้มาจากสิ่งพระธรรมอิสยาห์ที่พระเยซูได้อ่าน และตรัสว่า สิ่งนี้สำเร็จแล้ว ในพระเยซูคริสต์ และผู้ที่ดำเนินชีวิตในทางเดียวกันกับพระองค์
ลูกา 4:18-19,21 18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ 19 และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า…. 21 พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาว่า “คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว”
สัญญาณของพลังชีวิต แสดงออกในชีวิตผู้รับใช้ของพระคริสต์ ได้แก่….
1.มีข่าวดี ลูกา 4:18ก
18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน
ในสมัยพระเยซู คนยิวส่วนใหญ่เป็นคนยากจน เพราะไหนจะเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรโรม ไหนจะต้องจ่ายภาษี ถูกรีดภาษี รีดแล้วรีดอีก อย่างที่เราได้เห็นในหนังเรื่อง Nativity กำเนิดของพระเยซู ที่มีการรีดภาษี เมื่อไม่มีจ่าย ก็จะยึดสัตว์ใช้งาน ไปจนถึงลูกสาว ลูกชายของครอบครัวนั้นๆ เพราะฉะนั้น สำหรับคนยิวในเวลานั้น ชีวิตมีแต่ข่าวร้าย เพราะมองไม่เห็นโอกาสที่จะลืมตาอ้าปากได้เลย มีแต่จะจนลงไปเรื่อยๆ เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่เหนือคนของพระองค์ มีถ้อยคำ มีความหวัง ในถ้อยคำที่ทำให้คนยากจนเลิกที่จะมองสถานะยากจนของตนเอง แต่กลับมองความยากจนที่ควรมอง คือความบกพร่องฝ่ายวิญญาณ
มัทธิว 5:3 3 “บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
คำว่า บกพร่องฝ่ายวิญญาณ ในภาษากรีกใช้คำว่า Poor in spirit นั่นหมายถึงความยากจนที่แท้จริง ไม่ใช่ การไม่มีเงิน ไม่มีทรัพย์สิน ที่ดิน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตัวตัดสินความยากจนและความขัดสน แต่การบกพร่องฝ่ายวิญญาณต่างหาก คือความยากจนที่แท้จริง และถ้าเรารู้สึกว่า เราบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ความสุขจะเกิดขึ้น แม้เราจะไม่มีเงิน ไม่ร่ำรวย หรือแม้กระทั่งไม่มีจะกิน ความสุขจะทำให้เรามีพลังชีวิตที่จะทำอะไรๆได้อีกมากมาย น่าสนใจว่า การรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ นำความสุขใจเข้ามาทันที และนี่คือข่าวดีที่แท้จริง คนที่มีพลังชีวิตจะมีข่าวดี และผู้รับใช้ของพระคริสต์…มีข่าวดีเสมอ
คนที่มีข่าวดี ปัญหาไม่ใช่ปัญหา แต่จะมีทางออกของปัญหาตลอดเวลา แต่คนที่มีแต่ปัญหา ยังไม่ทันทำอะไรก็มีปัญหา มองเห็นแต่ปัญหา นั่นไม่ใช่วิถีของผู้รับใช้ของพระคริสต์…ที่มีพลังชีวิต
บางคนไม่รู้ตัวว่า พลังชีวิตของตัวเองกำลังเหลือแต่เม็ดเดียว เวลาเราใช้คำว่า เหลือแบตอยู่เม็ดเดียว แสดงว่า คุณไม่สามารถจะใช้โทรศัพท์เพื่อสื่อสารปกติได้ คุณสงวนพลังงานของโทรศัพท์นั้นไว้ใช้แค่ยามฉุกเฉินเท่านั้น ด้วยวิธีอะไร บางคน ปิดมือถือ งดสื่อสาร หรือไม่ก็แบตฯหมด ไม่สามารถสื่อสารกับใครได้
เราเคยเจอคนที่แบตหมด ด้านอารมณ์ ด้านความรู้สึกไม๊ (หลายคนไม่กล้าเข้าใกล้) เพราะการสื่อสารล้มเหลว คุยกับใครไม่รู้เรื่อง มีแต่หาเรื่องอย่างเดียว ไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ยิน และเข้าใจผิดมากกว่าเข้าใจถูก ข่าวดีกลายเป็นข่าวร้าย อะไรคือสาเหตุที่แท้จริง เพราะพลังชีวิตในตัวมันถูกใช้ไปโดยไม่ได้รับการเติมเต็ม น่าสนใจว่า ในประโยคแรกของคำเผยพระวจะของอิสยาห์ตอนนี้ที่พระเยซูได้อ่าน เริ่มต้นด้วยคำว่า
18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า
คำว่า อยู่เหนือ รากศัพท์ภาษากรีก ใช้คำว่า เอฟ เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับ เวลา และการเรียงลำดับความสำคัญ พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสถึงการเรียงลำดับความสำคัญที่ทำให้คนที่กระวนกระวายกับชีวิตสามารถหลุดพ้นจากความขาดแคลน
มัทธิว 6:33 33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้
ผู้รับใช้ของพระคริสต์ที่ใช้พลังชีวิตอย่างคนที่มีข่าวดีเสมอ ไม่เคยขาดแคลนสิ่งดี และแผ่นดินของพระเจ้าคือข่าวดีสำหรับเขาก่อนข่าวดีใดๆ
คำว่า พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ถูกเรียกว่า ข่าวดี Good News ในภาษากรีกใช้คำว่า อูแวงแกลิออน Evangelicalism แปลว่า ประกาศข่าวดี ผู้รับใช้ของพระคริสต์ที่มีพลังชีวิต เป็นผู้ประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ทำให้คนที่สิ้นหวังที่สุดมีความหวังกลับมาได้ ไม่มีคำว่าสิ้นหวัง
นอกจากนี้ พลังชีวิตยังแสดงออกในด้าน…
2.มีเสรีภาพ ลูกา 4:18ข
…พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย…
คำที่คนพูดยากมากที่สุด คือคำว่า ขอโทษ กับ ยกโทษ นั่นคือไม่มีเสรีภาพในการให้อภัย หรือรับการให้อภัย เป็นเหมือนเชลย สถานะเชลย คือไม่สามารถทำในสิ่งที่เป็นตัวของตัวเองได้ และถึงขนาดสูญเสียตัวตนของตนเองไป
ในสมัยโบราณ เชลย จะถูกกวาดต้อนไปอยู่ในต่างประเทศ และต้องถูกเปลี่ยนชื่อ ต้องถูกบังคับให้เป็นคนอีกคน เพื่อทำลายความเชื่อ ความหวัง ของคนที่เป็นเชลย เชลยบางคนต้องถูกโกนหัว ถูกควักลูกตา ถูกทำให้เป็นตัวตลก ต้องทำงานหนักไม่มีวันพัก ไม่มีวันหยุด เหมือนคนในยุคของเราส่วนใหญ่ที่ตกเป็นทาสของการงาน การเรียน (เรากำลังถูกหลอกให้เป็นเชลยกับสิ่งเหล่านี้ ทำให้ไม่มีเสรีภาพที่แท้จริง หรือเปล่า
ในสมัยสงครามเมื่อในอดีต มีคำ P.O.W. (Prisoner of War) เป็นเชลยในค่ายกักกันของเยอรมัน เมื่อฝ่ายพันธมิตร ยกพลขึ้นบกที่หาดนอร์มังดีได้ เยอรมันพ่ายแพ้สงคราม และในช่วงนั้น คนที่เป็นเชลยในค่ายกักกันไม่รู้ว่า เยอรมันแพ้แล้ว พวกเขาไม่ได้เป็นเชลยอีกต่อไปแล้ว ทหารเยอรมันที่เฝ้าเชลยมีท่าทีที่เปลี่ยนไป เพราะทหารพวกนั้นรู้ว่าตัวเองแพ้สงคราม เชลยไม่เป็นเชลยอีกต่อไป พวกเชลยก็งงๆ กับท่าทีของทหารเยอรมัน แต่เนื่องจากไม่มีใครประกาศอิสรภาพนี้ให้พวกเชลยได้รู้ พวกเชลยก็ยังดำเนินชีวิตอย่างเชลย จนวันหนึ่ง ฝ่ายพันธมิตรเดินทางมาถึงค่ายกักกัน และประกาศอิสรภาพนี้ (ที่มีมาเป็นเดือนแล้ว) พวกเชลยถึงจะเฮ แฮปปี้ )
ทำนองเดียวกัน วันนี้ มารได้พ่ายแพ้แล้วที่กางเขนของพระเยซูคริสต์เจ้า แต่คนมากมายที่มารกักกันอยู่ไม่รู้ ว่าเสรีภาพได้เกิดขึ้นแล้ว มารได้หลอกคนมากมายให้ยังดำเนินชีวิตเป็นเชลยของมัน คริสเตียนคือทหารของพระเยซูคริสต์ที่จะทำการประกาศอิสรภาพนี้แก่บรรดาเชลย แต่ก็มีคริสเตียนบางคนที่นอกจากจะไม่ประกาศแล้ว ยังกลับดำเนินชีวิตอย่างเชลย(ทาส)อีก
กาลาเทีย 5:1 1 เพื่อเสรีภาพนั้นเอง พระคริสต์จึงได้ทรงโปรดให้เราเป็นไท เหตุฉะนั้นจงตั้งมั่น และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย
นั่นเพราะคริสเตียนที่ยังเป็นทาส ขาดพลังชีวิตที่จะประกาศอิสรภาพให้กับตัวเอง พลังชีวิตคือการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเรา เรากำลังทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทำงาน หยุดการเคลื่อนไหว? พระคัมภีร์เตือนว่า อย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย อย่าดับพระวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้เติมพลังชีวิตให้กับผู้เชื่อทุกคน เมื่อพระองค์เคลื่อนไหว พลังชีวิตเกิดขึ้น
ผู้รับใช้ของพระคริสต์ จะรู้จักใช้พลังชีวิต เพื่อทำให้คนที่มองไม่เห็น สามารถมองเห็นอย่างที่พระเจ้าทรงมอง
3.มองเห็นอย่างที่คนอื่นไม่เห็น ลูกา 4:18ค
…ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก…
เชลย จะถูกควักลูกตา ก่อนที่แซมสันจะตาย แซมสันถูกจับเป็นเชลย ล่ามโซ่ตรวน และถูกควักลูกตา แซมสันอธิษฐานกับพระเจ้าด้วยท่าทีกลับใจใหม่ พลังมหาศาลของแซมสันที่หายไป เพราะการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ได้กลับคืนมา แซมสันได้ใช้พลังสุดท้ายขณะตาบอด พังอาคารวิหารพระของพวกฟิลิสเตีย และทำลายพวกฟิลิสเตียที่อยู่ในอาคารนั้นจำนวนมาก
น่าเสียดายที่แซมสันตายอย่างคนตาบอด แม้จะมีพลังมหาศาล แต่การมีตาที่บอดก็ทำให้แซมสัน แสดงพลังมหาศาลได้แค่ตายร่วมไปกับพวกฟิลิสเตีย การมีพลังชีวิต ต้องมีตาที่ดีที่จะมองเห็น และทำให้คนตาบอดมองเห็นด้วย ไม่ใช่ตายไปพร้อมกับคนตาบอด
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า การมองเห็นแค่เพียงมุมมองของตนเอง ก็จะทำให้ไปได้แค่เท่าที่ตนเองมองเห็น แต่ถ้ามองอย่างพระเจ้ามอง เราจะไปต่อ ไปได้ไกลอย่างไร้ขีดจำกัด ไม่มีมืดแปดด้าน หรือเจอทางตัน เหมือนคนตาบอด
พลังชีวิตของผู้รับใช้ของพระเจ้า จะถูกนำมาเพื่อใช้ปลดปล่อยผู้คน
4. ใช้สิทธิอำนาจในการปลดปล่อย ลูกา 4:18ง
…ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ….
เรารู้ตัวไม๊ว่า เรามีสิทธิอำนาจที่จะขับไล่วิญญาณชั่ว ผีร้าย
ลูกา 10:17-20 17 ฝ่ายสาวกเจ็ดสิบคนนั้นกลับมาด้วยความปรีดีทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ถึงผีทั้งหลายก็ได้อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์”18 พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เราได้เห็นซาตาน ตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ19 ดูเถิด เราได้ให้พวกท่านมีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และมีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังศัตรู ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะทำอันตรายแก่ท่านได้เลย20 แต่ว่าอย่าเปรมปรีดิ์ในสิ่งนี้ คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับของพวกท่าน แต่จงเปรมปรีดิ์ เพราะชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์”
1ยอห์น 4:4 4 ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านทั้งหลายเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก
ผู้รับใช้ของพระคริสต์มีความรู้ของพระเจ้า รู้ว่าตัวเองมีสิทธิอำนาจเหนือสมุนของมารซาตาน ไม่ว่าจะเป็นผี วิญญาณระดับไหน พระเจ้าได้ปราบให้อยู่ภายใต้พระบาทของพระเยซูคริสต์ คริสตจักรเป็นพระกายของพระคริสต์ มีพระเยซูเป็นศีรษะ
ความเชื่อเดิม ความรู้เดิมๆ หรือหนังผีต่างๆ คือความรู้ ความเชื่อที่ไม่ใช่ความรู้ของพระเจ้า ถ้าเราใช้เวลาดูสิ่งเหล่านี้ มันได้บั่นทอนพลังชีวิตของตัวเราเอง นอกจากจะทำให้เราลืมสิทธิอำนาจที่มีแล้ว ยังทำให้เราเข้าใจว่าผี และวิญญาณเหล่านั้น มีอำนาจเหนือเรา แล้วเราจะไปปลดปล่อยคนอื่นได้อย่างไร เพราะเรากำลังพาตัวเราเข้าไปในการควบคุมของสมุนของมาร
ผู้รับใช้ของพระคริสต์…มีพลังชีวิต นอกจากจะแสดงออกถึงข่าวดี มีเสรีภาพที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ทำให้คนมองเห็นอย่างที่พระเจ้ามองเห็น ใช้สิทธิอำนาจมีชัยชนะเหนืออำนาจมืด แล้ว ยังเป็นนักประชาสัมพันธ์….
5.นักประชาสัมพันธ์ของพระเจ้า ลูกา4:18จ (ไม่ใช่ประชาสัมพันธ์ตัวเอง)
19 และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า
ปี หมายถึงเวลาแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า รากศัพท์คำว่า โปรดปราน แปลว่า การยอมรับที่มาจากพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงโปรดปราน เราจะเห็นการทำกิจของพระเจ้าบนเส้นเวลาปกติของเรา ที่เรียกว่า ไครอส ผู้รับใช้ของพระคริสตส์…กับพลังชีวิต ทำให้เขาพบกับไครอสของพระเจ้าในทุกจังหวะชีวิตของตัวเอง เราทุกคนเป็นได้ เพราะพลังชีวิตนี้สำหรับคนของพระเจ้าทุกคน
มัทธิว 6:33 33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้
“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…กับพลังชีวิต”
1.มีข่าวดี
2.มีเสรีภาพ
3.มองเห็นอย่างที่คนอื่นไม่เห็น
4.ใช้สิทธิอำนาจในการปลดปล่อย
5.นักประชาสัมพันธ์ของพระเจ้า