“ไม่หนี…ไม่ซ่อนตัว”
วิถีของคนในยุคนี้ คือหนี กับซ่อนตัว
เพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า
184 ล้านวิว ทำไมจึงเป็นที่นิยม (เพราะฟังไม่ชัด เลยต้องฟังซ้ำเรื่อยๆ คนไทยมี 66ล้านคน แต่มีตั้ง 183 ล้านวิว ไม่ประหลาดใจ นี่คือการฟังซ้ำๆ ของคนรุ่นใหม่ที่บอกว่า ขี้เบื่อแต่ชอบฟังอะไรซ้ำๆ
มีอีกเพลงของคริสเตียนที่ออกมาสำหรับคนรุ่นใหม่ อยากให้รู้
https://www.youtube.com/watch?v=0Pw-ZLqmciE&feature=youtu.be
1.5 ล้านวิว ทำไมแค่นี้ แสดงว่า ยังมีคริสเตียนที่ไม่เปิดเผยตัว และไม่บอกเรื่องราวของพระเยซูให้กับคนอีกมากมาย
เมื่อสองพันปีที่แล้ว หลังจากพระเยซูตาย สาวกหนีและซ่อนตัว แต่เมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตาย เกิดอะไรขึ้นกับเหล่าสาวก
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด
ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ตรัสแก่เหล่าสาวกในทำนองว่า “อย่าหนี…หยุดซ่อนตัว” ในเวลานั้น สาวกยังถูกไล่ล่า ตามหาตัวเพื่อจะกลบข่าวลือว่า พระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตาย และเพื่อให้เป็นแพะสำหรับเรื่องอูโมงค์ที่ว่างเปล่าของพระเยซู และการกุข่าวเท็จเรื่องพระศพถูกขโมยไป และนี่เป็นที่มาของหนังสือกิจการที่บันทึกโดยนายแพทย์ลูกา เริ่มต้นบทแรกเขียนถึงคนหนึ่งในชนชั้นสูงของสังคมเวลานั้นว่า
กิจการ 1:1-11 1 ข้าแต่ท่านเธโอฟีลัส ในหนังสือเรื่องแรกนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วถึงบรรดาการซึ่งพระเยซูได้ทรงตั้งต้นกระทำและสั่งสอน2 จนถึงวันที่พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไป ในเมื่อได้ตรัสสั่งโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่อัครทูตซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้นั้นแล้ว3 ครั้นพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานแล้ว ได้ทรงแสดงพระองค์แก่คนพวกนั้นด้วยหลักฐานหลายอย่าง พิสูจน์ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และได้ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลายระหว่างสี่สิบวัน และได้ทรงสนทนากับเขาถึงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า เมื่อพระองค์ได้ทรงพำนักอยู่กับอัครทูต จึงกำชับเขามิให้ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้คอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา คือพระองค์ตรัสว่า “ตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินจากเรานั่นแหละ5 เพราะว่ายอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่ไม่ช้าไม่นานท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์6 เมื่อเขาทั้งหลายได้ประชุมพร้อมกัน เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ ให้แก่ชนอิสราเอลในครั้งนี้หรือ”7 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ไม่ใช่ธุระของท่าน ที่จะรู้เวลาและวาระซึ่งพระบิดาได้ทรงกำหนดไว้ โดยสิทธิอำนาจของพระองค์8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”9 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา10 เมื่อเขากำลังเขม้นดูฟ้า เวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น มีสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆ เขา11 สองคนนั้นกล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงเขม้นดูฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น
หนังสือเรื่องแรก ที่พูดถึงตอนนี้ คือ หนังสือลูกา (หนึ่งในหนังสือพระกิตติคุณสี่เล่ม) มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น ที่เขียนถึงชีวิตของพระเยซู ในมุมของความเหมือนกัน ที่แตกต่างในการบันทึกของผู้บันทึก
หนังสือกิจการบทแรกนี้ เป็นเรื่องการสัญญาให้รอรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในกรุงเยรูซาเล็ม (จุดเริ่มต้นของพระวิญญาณบริสุทธิ์) จึงเป็นที่มาของการเรียกคริสเตียนที่เน้นเรื่องการรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า เป็นพวกเพนเตคอส (คริสตจักรของเราเป็นพวกเพนตาคอสด้วย)
ก็เพราะว่า ช่วงนั้น เป็นช่วงเทศกาลเพนเตคอสพอดี (ฉลองห้าสิบวันหลังจากวันที่พระเจ้าทรงนำอิสราเอลออกจากอียิปต์) พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายวันที่สามถัดจากเทศกาลปัสกา (กินขนมปังไร้เชื้อ Passover)
พระเยซูทรงปรากฏกับเหล่าสาวกอยู่ถึงสี่สิบวัน) หลังจากพระเยซูทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เหล่าสาวกเชื่อฟังคำสั่งของพระเยซูให้ยังอยู่ในเยรูซาเล็ม (น่าจะเจ็ดวันหลังจากนั้น) จนถึงวันเทศกาลเพนตาคอส (แปลว่า ห้าสิบวัน)
กิจการ 2:1-4 1 เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์มาถึง จำพวกศิษย์จึงรวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน2 ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น3 มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน4 เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด
ทำไมจึงรวมตัวกันที่ห้องชั้นบนกันมากมาย มีบันทึกว่า มากถึง 120 คน แน่นห้องทีเดียว เหตุผลก็เพราะว่า สถานการณ์ตอนนั้น สาวกไม่สามารถจะรวมตัวกันในที่แจ้งได้ นี่คือการรวมตัวกันอย่างลับๆ (แม้ว่า ไม่หนีแล้ว แต่ก็ยังซ่อนตัวอยู่ดี) แต่อะไรเกิดขึ้น
กิจการ 2:5-8 5 มีพวกยิวจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้าซึ่งเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า มาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม6 เมื่อมีเสียงอย่างนั้นเขาจึงพากันมา และฉงนสนเท่ห์เพราะต่างคนต่างได้ยินเขาพูดภาษาของตัว7 คนทั้งปวงจึงประหลาดและอัศจรรย์ใจพูดว่า “ดูแน่ะ คนทั้งหลายที่พูดกันนั้นเป็นชาวกาลิลีทุกคนไม่ใช่หรือ8 เหตุไฉนเราทุกคนได้ยินเขาพูดภาษาของบ้านเกิดเมืองนอนของเรา
เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมา พวกสาวกไม่สามารถที่จะเงียบเสียงได้ แม้จะอยู่ในที่ลับตา แต่ส่งเสียงดังออกมา พวกเขาส่งเสียงจนคนที่อยู่ภายนอกต่างได้ยินเป็นภาษาชัดเจน
กิจการ 2:4,11-13 4 เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด… 11 ชาวเกาะครีตและชาวอาระเบีย เราทั้งหลายต่างก็ได้ยินคนเหล่านี้กล่าวถึงมหกิจของพระเจ้า ตามภาษาของเราเอง”12 เขาทั้งหลายจึงอัศจรรย์ใจ และฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่อะไรกัน”13 แต่บางคนเยาะเย้ยว่า “คนเหล่านั้นเมาเหล้าองุ่นใหม่”
คนไม่เชื่อว่า ชาวกาลิลี (ที่เป็นคนบ้านนอกในสายตาของคนเยรูซาเล็มจะสามารถพูดภาษาต่างๆ ในยุคของเราอาจเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาจีน เรียกว่า ภาษาที่ใช้สำหรับเป็นภาษากลางในการสื่อสาร) บางคนถึงกับเยาะเย้ยว่า พวกนี้ เมาเหล่าองุ่นใหม่) คือการแสดงถึงการไม่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้อย่างไร เปโตรที่ขี้กลัว และเคยไม่เชื่อว่า พระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตาย เป็นคนแรกที่ลุกขึ้นและพูดกับคนที่เยาะเย้ย (โดยไม่รู้เลยว่า ยังมีคนอีกสามพันคนเงี่ยหูฟังด้วย ภายหลังสามพันคนรับเชื่อ)
กิจการ 2:14-15 14 ฝ่ายเปโตรได้ยืนขึ้นกับอัครทูตสิบเอ็ดคน และได้กล่าวแก่คนทั้งปวงด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านชาวยูเดียและบรรดาคนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงทราบเรื่องนี้และฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าเถิด15 ด้วยว่าคนเหล่านี้มิได้เมาเหล้าองุ่นเหมือนอย่างที่ท่านคิดนั้น เพราะว่าเป็นเวลาสามโมงเช้า
สาวกทั้งหมด 120 คน ที่ถูกคนมองและเยาะเย้ยว่า เป็นเหมือนคนเมา พูดภาษาที่แปลกประหลาด ความจริง ไม่ใช่แปลกประหลาดเลย แต่คนเหล่านั้นไม่เชื่อว่า ในความแตกต่างหลากหลายของผู้คน เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือความเป็นหนึ่งเดียวกัน เป้าหมายเดียวกันคือ120 คนพูดถึงคนๆเดียว คือพระเจ้าองค์เดียว ในภาษาที่แตกต่างกันต่างหาก เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ
กิจการ 2:8,11-12 8 เหตุไฉนเราทุกคนได้ยินเขาพูดภาษาของบ้านเกิดเมืองนอนของเรา…เราทั้งหลายต่างก็ได้ยินคนเหล่านี้กล่าวถึงมหกิจของพระเจ้า ตามภาษาของเราเอง” 12 เขาทั้งหลายจึงอัศจรรย์ใจ และฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่อะไรกัน”
มหกิจของพระเจ้า…ที่เหล่าสาวก 120 คนพูดออกมาพร้อมกัน ต่างภาษา คือสิ่งที่ทำให้คนอัศจรรย์ใจ เป็นเรื่องเดียวกัน
ทุกวันนี้ เราพูดภาษาเดียวกัน แต่คนละเรื่อง ต่างคนต่างอยากจะพูด ก็พูดออกมาตามที่ตัวเองอยากพูด แต่ไม่ได้พูดตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้พูด ภาษาที่คนในยุคของเราพูดมาจากความรู้สึกอยากหนีและอยากซ่อนตัวหรือเปล่า?
พระเยซูทรงสั่งสาวกของพระองค์ให้อย่าหนี… แต่สาวกก็ยังซ่อนตัว (ความจริงสองคำนี้ มีความหมายเดียวกัน ไม่หนีแต่ซ่อนตัวก็คือหนี) หนึ่งในคำสอนของพระเยซูที่บ่งบอกถึงลักษณะเด่นของคนที่ติดตามพระเยซู จะเป็นเหมือนกับตะเกียงที่ถูกจุดเพื่อส่องสว่าง
มัทธิว 5:14-16 14 “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
1.ธรรมชาติของคริสเตียนคือความสว่าง มัทธิว 5:14
14 “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้
ภาพเปรียบเทียบที่พระเยซูทรงยกเรื่องนคร (เมืองที่อยู่บนภูเขาสูง จะมีสามารถสังเกต มองเห็นได้ง่าย ได้ชัด เช่นเดียวกัน กับความสว่าง ในที่มืด จะมองเห็นที่ที่มีแสงสว่างได้ง่าย ชีวิตของคริสเตียนมีธรรมชาติของความสว่าง คือคุณลักษณะชีวิตด้านที่ดี คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ไม่ต้องค้นหา แต่มองเห็นได้ชัดเจน เมื่อมีคนพูดถึง ก็จะพูดถึงคุณลักษณะชีวิตของเรา
กาลาเทีย 5:22-23 22 ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ23 ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย
ไม่ใช่ว่า พอพูดถึง ก็จะมีแต่การงานของเนื้อหนังทั้งนั้น มีแต่กิเลศตัณหา ความอยาก นิสัยที่เป็นพาลเกเร พูดจาไม่เข้าหูคน อันนี้ ไม่ใช่ ธรรมชาติของชีวิตที่เป็นความสว่าง ฟังแล้วไม่ทำให้รู้สึกอย่างสรรเสริญ แต่อยากจะด่ากลับ
ธรรมชาติของความสว่าง ไม่ใช่แสดงออกกับคนภายนอก แต่ของแท้ ต้องที่บ้าน กับคนในครอบครัวตัวเอง ลักษณะของการหนีและการซ่อนตัว คือ การแสดงออกต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง หรือ แบบที่ไม่เป็นธรรมชาติ คริสเตียนที่หยุดหนี และหยุดซ่อนตัว คือคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตที่เป็นแสงสว่าง อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เสแสร้ง ไม่ใส่หน้ากาก เป็นตัวจริง ในด้านที่ดี ถ้าไม่ใช่ ก็ต้องแก้ไขปรับปรุง เรามีพระคัมภีร์ที่ดีสุดยอด จงอ่าน และนำไปใช้ในชีวิตจริงๆ
2 ทิโมธี 2:15 15 จงอุตส่าห์สำแดงตนว่าได้ทรงพิสูจน์แล้วเป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย ใช้พระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง
2ทิโมธี 3:16-17 16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม17 เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
ธรรมชาติคริสเตียนคือความสว่าง การส่องสว่าง คือการพร้อมทำความดีทุกอย่าง ดังนั้น คริสเตียนต้องรู้พระคัมภีร์อย่างดี ด้วยการนำพระคัมภีร์มาใช้กับตัวเอง ในชีวิตประจำวัน จึงจะทำให้คริสเตียนเป็นความสว่างที่แท้จริง
ใครคือคนที่รู้พระคัมภีร์ดี คือ คนที่สอนและเป็นอย่างที่ตนเองสอน จงอยู่ใกล้คนเหล่านั้น และเรียนรู้ สนทนา มีคำถาม พัฒนาตนเอง อยู่ด้วยกันก็คุยกันเรื่องพระคัมภีร์
พระเยซูคริสต์ทรงดำเนินชีวิตของพระองค์ตั้งแต่ยังเล็กๆ มีตอนหนึ่ง เมื่อพระเยซูอายุสิบสองขวบ โยเซฟกับนางมารีย์ พ่อแม่พาพระเยซูไปวิหาร และหาพระเยซูไม่เจอถึงสามวัน ปรากฏว่า ไปพบพระเยซูนั่งอยู่กับพวกผู้ใหญ่ในพระวิหาร
ลูกา 2:46-47 46 ครั้นหามาได้สามวันแล้ว จึงพบพระกุมารนั่งอยู่ในพระวิหารท่ามกลางพวกอาจารย์ ฟังและไต่ถามพวกอาจารย์เหล่านั้นอยู่47 คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจในสติปัญญาและคำตอบของพระกุมารนั้น
ธรรมชาติของคนที่แสวงหาปัญญา จะแสวงหาที่จะอยู่กับผู้ที่มีปัญญา
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ยิ่งเราอยู่ใกล้อะไร เราก็จะยิ่งเหมือนกับสิ่งที่เราอยู่ใกล้
มีคำพูดหนึ่งกล่าวอีกว่า ยิ่งเราอยู่ใกล้ความมืด เรายิ่งมืด แต่ยิ่งเราอยู่ใกล้ความสว่าง เรายิ่งสว่าง
พระเยซูทรงตรัสถึงสาวกของพระองค์ว่า พวกเขาเป็นความสว่าง เพราะพวกเขาอยู่ใกล้พระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้า เป็นความสว่าง
เราทั้งหลายเป็นคริสเตียน เพราะเราเดินอยู่ในทางของพระเยซู คริสเตียนแปลว่า ผู้ที่เป็นเหมือนพระเยซู ผู้ใกล้พระเยซูยิ่งเหมือนพระเยซู พระเยซู ไม่เคยหนี และไม่เคยซ่อนตัว เพราะฉนั้น ขอให้เราทั้งหลาย เป็นเหมือนพระองค์ คือ ไม่หนี ไม่ซ่อนตัว
2.คริสเตียนที่สัมพันธ์กับพระเจ้าจะไม่หนี ไม่ซ่อนตัว มัทธิว 5:15
15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น
สำนวนคำว่า เอาถังมาครอบ ก็คือ การดับไฟ การเอาถังครอบ คือการทำให้การเผาไหม้ขาดอากาศอ๊อกซิเจน เมื่อไฟขาดอากาศ ธรรมชาติของไฟที่ลุกไหม้ในตะเกียงก็จะดับลงทันที
มีคำเปรียบเทียบที่น่าสนใจเกี่ยวกับการอธิษฐานเปรียบเหมือนลมหายใจของชีวิตคริสเตียน ถ้าคริสเตียนไม่อธิษฐานก็หมายถึง การขาดลมหายใจ ก็อยู่ไม่ได้ เหมือนกับตะเกียงที่เอาถังมาครอบให้ขาดอากาศเพื่อให้เผาใหม้ แต่ไฟดับ
พระคัมภีร์ใหม่มีคำว่า อย่าดับพระวิญญาณ
พระวิญญาณบริสุทธิ์มีบทบาทในการขับเคลื่อน เร้าใจ หนุนใจ ให้คำปรึกษา และสำแดงสิ่งต่างๆแก่ผู้เชื่อ ถึงทุกอย่างที่พระเยซูทรงสอนไว้
1เธสะโลนิกา 5:19 19 อย่าดับพระวิญญาณ
คำว่า ดับ ที่ใช้ในข้อนี้ หมายถึงดับการเผาไหม้ ตีความหมายถึง การดับความร้อนรนที่เกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเร้าใจ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพระเจ้า พระองค์เป็นความสว่างเช่นกัน ดังนั้น การดับพระวิญญาณก็คือการดับความสว่าง เหมือนเอาถังมาครอบ เพื่อให้ขาดอากาศในการเผาไหม้ ชีวิตคริสเตียนต้องอธิษฐาน การไม่อธิษฐานก็คือการดับไฟ ดับความร้อนรนของพระวิญญาณในตัวของคริสเตียนคนนั้น
เป็นการหนีห่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และซ่อนตัว เพราะยิ่งจุ่มตัวอยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์มากเท่าใด ยิ่งออกจากที่ซ่อนตัวมากเท่านั้น
ฮีบรู 4:13 13 ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซ่อนไว้พ้นพระเนตรพระองค์ แต่ตรงข้ามทุกสิ่งปรากฏแจ้งต่อพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องสัมพันธ์ด้วย
คริสเตียนที่สัมพันธ์กับพระเจ้า จะไม่หนี ไม่ซ่อนตัว ยังมีลักษณะเด่นอีกประการ คือ ใจเย็นและรอได้
1โครินธ์ 4:5 5 เหตุฉะนั้นท่านอย่าตัดสินสิ่งใดก่อนที่จะถึงเวลา จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดให้แจ่มกระจ่าง และจะทรงเผยความในใจของคนทั้งปวงด้วย เมื่อนั้นทุกคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้าตามสมควร
โรม 2:1 1 เหตุฉะนั้น มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร เมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่นนั้น ท่านไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะเมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่น ท่านก็ได้กล่าวโทษตัวเองด้วย เพราะว่าท่านที่กล่าวโทษเขา ก็ยังประพฤติอยู่อย่างเดียวกับเขา
คริสเตียนที่สัมพันธ์กับพระเจ้าจะไม่หนี ไม่ซ่อนตัว อาเมน
3.คริสเตียนต้องทำดีกับคนทุกคน มัทธิว 5:16
16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
ตะเกียง เมื่อถูกจุดขึ้นแล้ว ทำหน้าที่ส่องสว่าง อย่าเอาไปใช้นอกเหนือวัตถุประสงค์ อย่าเอาถังครอบเพื่อหนี เพื่อหลบซ่อนตัว เพราะไม่อยากให้ใครเห็น อย่าหยุดทำดี เพราะความไม่ดีของคนอื่น หรือไม่ได้รับคำชม ไม่ได้รับการตอบสนอง ตะเกียงยังคงเป็นตะเกียง ที่ส่องสว่าง เช่นเดียวกัน คริสเตียนยังมีธรรมชาติคือความสว่าง คริสเตียนยังมีธรรมชาติ คือการไม่หนี และไม่ซ่อนตัว และคริสเตียนยังต้องทำดีกับทุกคน ไม่ว่าคนนั้น จะดีตอบ หรือไม่ดีตอบ
มัทธิว 5:38-45 38 “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ตาแทนตา และฟันแทนฟัน39 ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย40 ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาล เพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาเสียด้วย41 ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร42 ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่าน ก็จงให้อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน43 “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู44 ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน45 ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม
“ไม่หนี…ไม่ซ่อนตัว”
1.ธรรมชาติของคริสเตียนคือความสว่าง
2.คริสเตียนที่สัมพันธ์กับพระเจ้าจะไม่หนี ไม่ซ่อนตัว
3.คริสเตียนต้องทำดีกับคนทุกคน