“ผู้แสวงหาต้นแบบการดำเนินชีวิต”
เราคงเคยได้ยินคำว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เป็นคำพูดหมายถึง คนเป็นลูกจะเหมือนพ่อแม่ หรือลูกศิษย์เหมือนอาจารย์ หรือผู้ตามเหมือนผู้นำ คำว่า ต้นแบบ ถูกใช้กับความหมาย ได้สองทาง ทางบวกก็คือ การสร้างคนให้มีคุณภาพ ทางลบก็การเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี มีต้นแบบไม่ดี ผลที่ออกมาก็ไม่ดี
พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสถึงต้นไม้ที่ให้ผลดี และต้นไม้ที่ให้ผลไม่ดีอย่างนี้
มัทธิว 7:17-20 17 ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว18 ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้19 ต้นไม้ซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ20 เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา
นี่เป็นคำสอนสำหรับการดำเนินชีวิตของตนเองที่จะรู้จักเขา รู้จักตัวเรา เราคงจะเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ แต่เราอยากจะเปลี่ยนตัวเองไม๊ ถ้าเรารู้ว่า เราเป็นต้นไม้ที่ไม่ได้ออกผลดี ด้วยตัวเราเอง เราแค่เด็ดผลเลวทิ้งเพื่อไม่ให้ใครเห็น เด็ดทิ้งไปเด็ดทิ้งมา นับวันจะเด็ดทิ้งไม่ทัน มันดกเหลือเกิน ผลดีก็เอามาแขวนไม่ทัน มีแต่คนยั่วให้เกิดผลที่ไม่ดี (โทษคนอื่นอีก)
ในพระธรรมลูกา บันทึกความจริงของเรื่องนี้เกี่ยวกับคำตรัสของพระเยซูเรื่องต้นไม้
ลูกา 6:43-45 43 “ด้วยว่าต้นไม้ดีย่อมไม่เกิดผลเลว หรือต้นไม้เลวย่อมไม่เกิดผลดี44 เพราะว่าจะรู้จักต้นไม้ทุกต้นได้ก็เพราะผลของมัน เพราะว่าเขาย่อมไม่เก็บผลมะเดื่อจากต้นไม้มีหนาม หรือย่อมไม่เก็บผลองุ่นจากต้นระกำ45 คนดีก็ย่อมเอาของดีออกจากคลังดีแห่งใจของตน และคนชั่วก็ย่อมเอาของชั่วจากคลังชั่วแห่งใจของตน ด้วยใจเต็มด้วยอะไรปากก็พูดออกมาอย่างนั้น
พูดตามภาษาชาวบ้าน ก็คือ ปลูกถั่วอยากได้งา เป็นไปไม่ได้ ปลูกอะไรก็ได้อย่างนั้น
พระคัมภีร์ยังกล่าวถึง การหว่าน และการเก็บเกี่ยว
กาลาเทีย 6:8 8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น
ทั้งหมดนี้ หมายถึงผลที่จะได้รับ จากต้นแบบของการดำเนินชีวิต ที่ดี หรือที่เลว
คำถามก็คือว่า ณ เวลานี้ เรากำลังมีต้นแบบการดำเนินชีวิต คือใคร ตัวเอง หรือใครบางคน ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา หรือ พระเยซูคริสต์
ต้นแบบชีวิตที่กำลังหว่านเนื้อหนัง และพาเราหว่านเนื้อหนัง หรือใครกำลังเป็นแบบอย่างในการหว่านพระวิญญาณ และกำลังพาเราหว่านพระวิญญาณ
เรากำลังฟังใคร เรากำลังติดตามใคร ใครจะเป็นต้นแบบการดำเนินชีวิตให้กับเราได้ บางคนถึงกับสิ้นหวังกับคน หาต้นแบบที่ดีไม่ได้เลย
ในยุคของพระเยซูคริสต์เจ้า ก็มีการแสวงหาต้นแบบการดำเนินชีวิต และมีการพยายามจะเป็นต้นแบบของการดำเนินชีวิต คือเรื่องราวของ พระเยซูกับนิโคเดมัส
ยอห์น 3:1-21 1 มีชายคนหนึ่งในพวกฟาริสีชื่อนิโคเดมัส เป็นขุนนางของพวกยิว2 ชายผู้นี้ได้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืนทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าท่านเป็นครูที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีผู้ใดกระทำหมายสำคัญ ซึ่งท่านได้กระทำนั้นได้นอกจากว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย”3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้”
4 นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “คนชราแล้วจะบังเกิดใหม่อย่างไรได้ จะเข้าในครรภ์มารดาครั้งที่สองและบังเกิดใหม่ได้หรือ”5 พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้6 ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ7 อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายต้องบังเกิดใหม่8 ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณ ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน”9 นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “เหตุการณ์อย่างนี้จะเป็นไปอย่างไรได้”
10 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของชนอิสราเอล และท่านยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ11 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า พวกเราพูดสิ่งที่เรารู้ และเป็นพยานถึงสิ่งที่เราได้เห็น แต่ท่านทั้งหลายหาได้รับคำพยานของเราไม่12 ถ้าเราบอกท่านทั้งหลายถึงสิ่งฝ่ายโลกและท่านไม่เชื่อ ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายสวรรค์ท่านจะเชื่อได้อย่างไร13 ไม่มีผู้ใดได้ขึ้นไปสู่สวรรค์ นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์คือบุตรมนุษย์
14 โมเสสได้ยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น15 เพื่อทุกคนที่วางใจในพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์” 16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น18 ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า19 หลักการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะกิจการของเขาเลวทราม20 เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาถึงความสว่าง ด้วยกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏ21 แต่ผู้ที่ประพฤติชอบก็มาสู่ความสว่าง เพื่อให้เห็นว่า การกระทำของเขานั้นได้กระทำโดยพึ่งพระเจ้า
ผู้แสวงหาต้นแบบการดำเนินชีวิต จะพบต้นแบบหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความจริงดังนี้
1.มองเห็นความแตกต่างของต้นแบบฯ
นิโคเดมัส เป็นผู้ที่กำลังแสวงหาต้นแบบการดำเนินชีวิต แสวงหาจนกระทั่ง ตัวเองแก่ชรา ก็ยังแสวงหาไม่เจอสักที จนได้พบกับพระเยซูคริสต์ ได้มองเห็นพระเยซูแตกต่างจากรับบีคนอื่นๆ ตัวของนิโคเดมัสเองก็เป็นรับบี (อาจารย์) เหมือนกับพระเยซู นิโคเดมัสสอนแต่คนอื่น และอาจสังเกตการสอนของรับบีคนอื่นด้วยเช่นกัน นิโคเดมัสจึงมาหาพระเยซู และพูดว่า
“ท่านอาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าท่านเป็นครูที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีผู้ใดกระทำหมายสำคัญ ซึ่งท่านได้กระทำนั้นได้นอกจากว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย”
นิโคเดมัสยอมรับว่า เขาได้เห็นความแตกต่างเกิดขึ้น กับสิ่งที่พระเยซูสอน และกระทำ การทรงสถิตของพระเจ้า คือความแตกต่าง (ความจริงพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า แต่พระองค์ทรงสภาพมนุษย์ คนทั่วไปมองเห็นพระเยซูเป็นเพียงแค่มนุษย์ แต่การกระทำของพระอง๕สำแดงการทรงสถิตของพระเจ้า)
2.หาคำตอบจากต้นแบบฯของจริง
แต่พระเยซูตอบนิโคเดมัสอย่างไร เมื่อนิโคเดมัส ยอมรับว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับพระเยซู
3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้”
พระเยซูกำลังบอกกับนิโคเดมัสว่า ความจริง การทรงสถิตของพระเจ้าเกิดขึ้น ไม่ใช่มาจากการแสวงหาการทรงสถิต แต่การทรงสถิตของพระเจ้ามาจากการบังเกิดใหม่ เป็นคนใหม่ เป็นคนที่มาจากแผ่นดินของพระเจ้าต่างหาก (การเห็นแผ่นดินของพระเจ้า คือการเป็นผู้ที่เกิดในแผ่นดินของพระเจ้า เป็นชาวแผ่นดินสวรรค์ จึงจะมีชีวิตอย่างผู้ที่พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย) นี่คือต้นแบบของการดำเนินชีวิต
อย่างเราทั้งหลายที่เกิดในเมืองร้อน เรามีวิถีการดำเนินชีวิตอย่างคนเมืองร้อน ซึ่งแตกต่างจากคนที่เกิดในเมืองหนาว ก็มีวิถีชีวิตอย่างคนเมืองหนาว จะให้ใส่เสื้อหนาวในเมืองร้อนก็ไม่ได้ จะให้กินอย่างคนเมืองร้อน ก็ไม่ได้ คนเมืองร้อน จะรู้จักคำว่า ร้อนใน แต่คนเมืองหนาวไม่รู้จัก คนเมืองหนาวจะรู้จักสิ่งที่คนเมืองร้อนไม่รู้จัก เป็นต้น
ทำนองเดียวกัน การดำเนินชีวิตของคริสเตียน ต้องเกิดจากความเป็นคนใหม่ ต้นแบบของการดำเนินชีวิตของคริสเตียน เพื่อให้เป็นชาวแผ่นดินของพระเจ้า
3.ต้องเกิดจากพระวิญญาณ
พระเยซูทรงสอนนิโคเดมัสต่อ เพราะเขาถามถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ที่คนแก่จะไปเกิดใหม่ มุมมองของนิโคเดมัส มองเพียงแค่กายภาค แต่พระเยซูกำลังตรัสถึงวิญญาณภาค
5 พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้6 ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ
การบังเกิดจากน้ำ หมายถึง พิธีบัพติศมาในน้ำ คือการ ตัดสินใจว่าจะฝังตัวเก่า ตายต่อชีวิตเก่า และมีชีวิตใหม่ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ ความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะมีชีวิตที่ไม่กลับไปหาวิถีชีวิตเดิมๆอีก การบังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณ คือสิ่งที่พระเจ้าจะทำให้เกิดในผู้เชื่อ(ที่กลับใจใหม่จริงๆ)
7 อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายต้องบังเกิดใหม่8 ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณ ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน”
คำว่า ประหลาดใจ คือ สิ่งที่บอกว่า มันเป็นไปไม่ได้เลย แต่พระเยซูทรงตรัสว่า แต่พระเจ้าจะทำให้เป็นไปได้ การยกตัวอย่างเรื่องการเกิดของลม ที่มีอยู่จริง แต่เราไม่สามารถกำหนดให้เกิดขึ้นเมื่อไหร่
อย่างเวลานี้ กรุงเทพ กำลังเจอกับปัญหาควันฝุ่นขนาดเล็กที่มีผลมาจากอากาศมลพิษ ที่มีมานาน แต่มาเป็นหนัก เพราะว่า ลม ไม่พัดมา เกิดสภาพนิ่ง ของลม มีความพยายามจะทำให้เกิดฝน ลดการสร้างควันฝุ่น ป้องกันด้วยหน้ากาก งดการออกไปในที่แจ้ง เป็นต้น
แต่ลม คือปัจจัยสำคัญที่จะพัดเอาควันฝุ่นออกไป ต้องรอให้ฤดูกาล เปลี่ยน ลมก็จะมา และทำให้สถานการณ์ควันฝุ่นดีขึ้น
เราไม่สามารถจะสร้างลมได้ พระเยซูทรงตรัสเปรียบเทียบ ทำนองเดียวกัน เราไม่สามารถกำหนดการบังเกิดใหม่ในพระวิญญาณได้ พระเจ้าจะเป็นผู้ตัดสิน ว่าใครบังเกิดใหม่ สิ่งที่พระเจ้าจะใช้ตัดสิน ก็คือ ใจของมนุษย์คนๆนั้น ได้หันกลับมาหาพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ พระวิญญาณบริสุทิ์จะเป็นเหมือนเซ็นเซอร์ตรวจสอบ ถ้าผ่าน การบังเกิดใหม่ก็เกิดขึ้น
กาลาเทีย 6:7-8 7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น
ภาวะการเกิด ลม เกิดจากการเคลื่อนที่จากบริเวณที่มีความกดอากาศสูงไปยังบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำนั่นเอง โดยการเคลื่อนที่ของลมจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับความแตกต่างของความกดอากาศสูง และความกดอากาศต่ำ ถ้ามีความแตกต่างกันน้อยลมที่เกิดขึ้นจะเป็นลมเอื่อย และถ้ามีความแตกต่างกันมากจะกลายเป็นพายุได้ ดังนั้นการเกิดลม
หนังสือวิวรณ์ ได้กล่าวถึง สิ่งที่น่าสนใจ คือ
วิวรณ์ 3:15-16 15 “ ‘เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า เจ้าไม่เย็นไม่ร้อน เราใคร่ให้เจ้าเย็นหรือร้อน16 เพราะเหตุที่เจ้าเป็นแต่อุ่นๆ ไม่เย็นและไม่ร้อน เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา
4.สร้างความแตกต่างจากชีวิตเก่าสู่ชีวิตใหม่
นี่คือคำของพระเยซูตรัสกับคริสตจักรในยุคสุดท้าย คริสตจักรต้องการลมของพระวิญญาณ ที่จะเกิดจากการสร้างความแตกต่างในความกระตือรือร้นของคริสเตียน ผู้เชื่อในพระองค์ เราต้องเป็นต้นแบบการดำเนินชีวิตที่สร้างความแตกต่าง จากชีวิตเก่า สู่ชีวิตใหม่ อย่างเด่นชัด ด้วยตัวของเราเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำส่วนของพระองค์เอง คือเป็นเหมือนลมพัดเอื่อยๆ หรือพัดรุนแรง ในชีวิตของผู้เชื่อ
กิจการ 2:1-4 1 เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์มาถึง จำพวกศิษย์จึงรวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน2 ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น3 มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน4 เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด
เสียงพายุ ที่บรรยายในหนังสือกิจการตอนนี้ คือการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เกิดขึ้น คำกรีกที่ใช้กับคำว่า เสียงพายุ คือ คำว่า ลม a sound from heaven as of a rushing mighty wind เสียงจากสวรรค์ราวกับเสียงของลมพายุ
เมื่อผู้เชื่อในพระเยซู ศิษย์ของพระเยซู they were all with one accord in one place ศิษย์พระเยซู รากศัพท์กรีกคำนี้ แปลว่า ผู้ที่มีความเห็นพ้องต้องกัน มารวมกัน ในที่เดียวกัน ด้วยใจอย่างเดียวกัน ใจที่ร้อนรนในการติดตามพระเยซู ให้พระองค์เป็นต้นแบบการดำเนินชีวิต ณ เวลานั้น คือการประกาศชีวิตที่มีพระเยซูเป็นต้นแบบการดำเนินชีวิต แม้จะกลัวทางการที่จับพระเยซูไปตรึงแล้ว แต่ก็ยังไม่สูญเสียความเชื่อ และการติดตามพระองค์ ในเหตุการณ์นี้ จะเห็นถึงความเชื่อในพระเยซู กับบทบาทการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในผู้เชื่อ
สาวกของพระเยซูคริสต์ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ การบังเกิดใหม่จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาไม่กลัว ที่จะถูกเกลียด ไม่กลัวที่จะพูดความจริง และสังคมของพวกเขาเปลี่ยนไป เพราะคน 120 คน ในห้องชั้นบน ได้เริ่มต้นชีวิตการเป็นต้นแบบการดำเนินชีวิตใหม่ ที่มีทั้งความเชื่อ และการบังเกิดใหม่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์
วันนี้ เรามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว แต่เรามีการบังเกิดใหม่ในพระวิญญาณหรือยัง เราได้สร้างความแตกต่างจากชีวิตเก่าสู่ชีวิตใหม่อย่างไร
กาลาเทีย 5:22-23 22 ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ23 ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน
เราควบคุมตัวเราเองได้มากขึ้นอย่างไร ความรักที่เรามีไม่ได้มาจากความพยายามที่จะรัก แต่เรารักได้ง่ายขึ้น ให้อภัยได้ง่ายขึ้น เพราะเรามีความรักอยู่ในชีวิตของเราแล้ว สันติสุข ไม่ใช่สิ่งที่หายาก แต่เกิดขึ้นได้ง่าย ความอดกลั้นใจ กลายเป็นธรรมชาติใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ความปราณี ความดี ทำได้เร็ว ไม่ต้องมีเหตุล เงื่อนไขใดๆ ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนน้อม เป็นเชื้อของต้นแบบที่ทำให้ต่อยอดความเป็นไปได้
ผู้ที่บังเกิดใหม่ จากน้ำ คือผู้แสดงความเชื่อด้วยการบัพติศมาในน้ำ คือผู้แสวงหาการเป็นต้นแบบการดำเนินชีวิต อย่างนิโคเดมัส ที่มาหาพระเยซู และเรียนรู้ความจริงจากพระเยซูว่า เขาจะเป็นต้นแบบชีวิตได้ ต้องบังเกิดใหม่ด้วยน้ำ และด้วยพระวิญญาณ
20 เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาถึงความสว่าง ด้วยกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏ21 แต่ผู้ที่ประพฤติชอบก็มาสู่ความสว่าง เพื่อให้เห็นว่า การกระทำของเขานั้นได้กระทำโดยพึ่งพระเจ้า
ต้นแบบการดำเนินชีวิตที่แท้จริง คือ ต้นแบบที่อยู่ในความสว่าง ทุกอย่างโปร่งใส เปิดเผย พร้อมรับการพิสูจน์ได้ ทั้งคำพูด การกระทำ ความคิด เป็นของความสว่าง รักความสว่าง ไม่กลัวการกระทำของตนเองเป็นที่ปรากฏ ให้เราถามตัวเราเองว่า เรากำลังเป็นต้นแบบการดำเนินชีวิต อย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงต้องการให้เราเป็นหรือ เราเลือกจะเป็นตามค่านิยมอย่างโลกเท่านั้น คำถามของพระเยซูที่ถามนิโคเดมัส กำลังถามเราในวันนี้ด้วยเช่นกัน
10 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของชนอิสราเอล และท่านยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ…12 ถ้าเราบอกท่านทั้งหลายถึงสิ่งฝ่ายโลกและท่านไม่เชื่อ ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายสวรรค์ท่านจะเชื่อได้อย่างไร
พระเยซูทรงสอนนิโคเดมัส และสอนมาถึงเราทั้งหลายว่า การแสวงหาอย่างนิโคเดมัส จนแก่ จนหมดไฟ เพราะยังวนเวียนอยู่กับความไม่เข้าใจ ความไม่เชื่อของตนเอง นิโคเดมัสเป็นภาพของมีคริสเตียนที่แสวงหาแต่ต้นแบบการดำเนินชีวิตเพื่อจะเห็น แต่ไม่ได้แสวงหาเพื่อจะเป็น…
ผู้แสวงหาต้นแบบการดำเนินชีวิต
- มองเห็นความแตกต่างของต้นแบบฯ
- หาคำตอบจากต้นแบบฯของจริง
- ต้องเกิดจากพระวิญญาณ
- สร้างความแตกต่างจากชีวิตเก่าสู่ชีวิตใหม่