“ตามพระเยซูคริสต์…อยู่รอดได้ (ในสถานการณ์โควิด)”
s
ในสถานการณ์วันนี้ของเรา ข้าพเจ้าอยากจะนำบทความหนึ่งของการให้เราสบายใจ จากความห่วงใยของคนไทยด้วยกัน ขอให้เครดิตกับคุณหมอท่านหนึ่ง….ชื่อบทความว่า
ด้วยความห่วงใยจาก นพ.นิธิ มหานนท์….
หลายๆ คนเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ คงตกใจหวาดกลัวกัน อยากจะช่วยให้แนวคิดเพื่อให้สบายใจกันขึ้นครับว่า
ตัวเลขแบบนี้ถ้าใครติดตามผม คงพอมองเห็นว่าไม่ได้เกินความคาดหมาย แต่ที่สำคัญ ระบบสาธารณสุขเรายังรับได้สบายๆครับ ไม่ต้องจิตตกกังวลกันนัก เดี๋ยวผมจะบอกก่อนจบว่า จริงๆแล้ว ทุกคนควรทำอย่างไรที่ดีกว่าการวิตกกังวลและบ่นกันไปโดยไม่ได้ผลอะไร ทุกอย่างที่เห็นตอนนี้มีเหตุและผลอธิบายได้ทั้งสิ้น ไม่มีใครผิด ไม่มีใครพลาด ทำใจสบายๆ ครับ
ย้ำอีกหนว่า ระบบสาธารณสุขของเรายังรับมือได้สบายๆ ยิ่งตอนนี้ได้ข่าวว่าจะมีภาคเอกชนและอาสาสมัครเข้ามาช่วยกันอย่างพร้อมเพรียง หน่วยราชการที่สำคัญโดยตรงไม่ว่า กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ที่มีมหาวิทยาลัยโรงเรียนแพทย์ระดับโลกอยู่หลายแห่ง ร่วมมือกันขนาดนี้ โควิดก็โควิดเถอะครับ ผมว่ารวมกับน้ำใจคนไทยแล้ว เราผ่านไปได้สบายมาก รัฐบาลก็เข้าใจ ทำให้การจัดหาวัคซีนมาเพิ่มทำได้ค่อนข้างไม่ยากนักแล้ว การให้ข้อมูลความจริงต่างๆ ก็เริ่มดีขึ้น ไม่มีนักวิชาการแปลกๆ มาให้ข่าวทำให้คนสับสน ถึงมี ก็มีคนออกมาแก้ได้ทันที เหลืออีกนิดหน่อยคือ แผนการกระจายและให้วัคซีน กับยาต้านไวรัสที่ยังไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอรู้ว่ากำลังปรับกันอยู่
ผมคาดว่าภายในสิ้นเดือนนี้หากตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ไม่ลดลง(แนะนำทุกๆคนอย่าดูตัวเลขรายวันครับ ดูเฉลี่ยเจ็ดวันจะดีสุด เพราะการรายงานทุกวัน มีปัจจัยมากที่ทำให้มันแกว่งได้) รัฐบาลคงมีมาตรการมาเพิ่มเติมในพื้นที่ที่ควบคุมไม่ได้ เพื่อรอผลวัคซีน (ซึ่งก็ไม่เห็นผลทันทีนะครับ เป็นเดือนกว่าจะเห็นผล😓😓😓) และมาตรการเพิ่มนั้นเมื่อทำแล้วก็จะยังไม่เห็นผลทันที
ดังนั้น ขณะนี้ทุกคนควร
1)ป้องกันตัวเองเต็มสุดความสามารถ ด้วยการใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และรักษาระยะห่าง
(อย่างน้อย 2 เมตรนะครับ) และอยู่ในที่อากาศถ่ายเทเท่านั้น ถ้ามีความจำเป็น เข้าไปในที่อากาศไม่ถ่ายเทไม่อยู่เกิน 20 นาที และล้างมือ รักษาความสะอาด เข้าห้องน้ำชักโครกปิดฝาโถส้วมทุกครั้ง
2)ไม่พบใครที่ไม่ทราบประวัติว่าคนนั้นได้ไปไหนมาเจอใครบ้างย้อนหลังไปสิบห้าวัน (ต้องย้ำว่าโดยเฉพาะคนอายุน้อยกว่า 40 ที่มักไม่มีอาการและเคลื่อนย้ายที่อยู่ไปมาและพบผู้คนต่างๆได้มาก)
3)คนที่อายุน้อยกว่า 40 ไม่ควรไปพบญาติผู้ใหญ่ผู้สูงอายุเป็นอันขาด ถ้าจำเป็นอย่าใกล้กันกว่า 2 เมตร อย่านั่งรับประทานอาหารด้วยกัน และต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา
4)เมื่อมีวัคซีนมาก็รีบไปฉีดครับ ไม่ว่ายี่ห้ออะไรใช้ได้ทั้งนั้น อาการข้างเคียงชั่วครั้งชั่วคราวพอๆ กัน ให้หมอท่านเลือกให้เหมาะสม อย่าไปฟังพวกตื่นตูมเอาเท้าราน้ำ ให้ข้อมูลจริง(บางส่วน)บ้างเท็จบ้าง
และสำคัญที่สุด
5)ทุกครั้งที่จะออกจากบ้าน(ถ้าจำเป็น) หรือจะบ่นโทษใคร ถามตัวเองก่อนว่า วันนั้น ขณะนั้นเราได้ทำอะไรเพื่อช่วยลดการแพร่ระบาดบ้างทำครบถ้วนหรือยัง
นึกถึงคำพูดนี้ครับ
“ask not what your country can do for you, ask what you can do for your country.”
แต่ในสถานการณ์โควิดคือ
“ASK NOT WHAT YOUR COUNTRY DO FOR YOU, ASK WHAT YOU DO FOR YOURSELF (AND OTHERS)” ครับ
ขอบคุณคุณหมอนิธิ มหานนท์ อีกครั้ง โดยส่วนตัว ข้าพเจ้าไม่รู้จักท่าน แต่นี่คือหนึ่งในการทำหน้าที่ของความเป็นคนไทยด้วยกัน ข้าพเจ้านำมาอ่านในวันนี้ หรือวันไหนๆที่พี่น้องเปิดดูการถ่ายทอดสดนี้อย่างไม่สดแล้ว ก็หวังใจว่า จะมีส่วนช่วยให้พวกเราทุกคนไม่ตื่นตระหนกไปกับสถานการณ์โควิดให้เราทำบทบาทของความเป็นคนไทยให้กำลังใจกันและกัน และในฐานะที่เราเป็นคริสเตียนด้วยแล้ว พระคัมภีร์สอนเราให้ดำเนินชีวิตให้รักพระเจ้า และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง วันนี้ เรากำลังเข้าสู่บททดสอบความเป็นคริสเตียนของเราแต่ละคนว่า เราจะอยู่รอดได้ในสถานการณ์นี้แค่เอาตัวเองรอด หรืออยู่เพื่อช่วยกันและกัน
พระคัมภีร์ในเช้าวันนี้ จากหนังสือลูกา 17:11-19 อาจให้แนวทางสำหรับเราทุกคนในการอยู่รอดได้ ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้
เรื่องคนโรคเรื้อนสิบคน ที่มาหาพระเยซูคริสต์ เพื่อขอความช่วยเหลือให้พระองค์รักษาพวกเขาให้หายจากโรคเรื้อน ในยุคสองพันปีที่แล้ว โรคติดต่อที่น่ากลัว และต้องแยกตัว คือโรคเรื้อน มีโอกาสหายที่น้อยมาก โรคเรื้อนเป็นโรคผิวหนังที่ลามกัดกินจนอวัยวะบางส่วนเช่นนิ้วมือ นิ้วเท้า ด้วน กุด และติดต่อกันทางสัมผัส มีกฎสำหรับคนโรคเรื้อน ต้องแยกตัวออกจากสังคม และเป็นที่รังเกียจ
เมื่อพระเยซูทรงทำพันธกิจต่างๆมากมาย และมีคนหายโรค ที่ยากจะรักษาให้หาย ความหวังสำหรับคนโรคเรื้อนเหล่านี้ก็เกิดขึ้น ในหนังสือลูกา บันทึกโดยหมอลูกา ซึ่งมีความรู้ทางการแพทย์ ได้บันทึกว่า
ลูกา 17:11 11 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์จึงเสด็จเลียบระหว่างแคว้นสะมาเรีย และกาลิลี
จุดหมายการเดินของพระเยซูกับเหล่าสาวกครั้งนี้ คือกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อไปร่วมรับประทานอาหารปัสกา (ครั้งสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่กางเขน) คอมเมนทารี่บางเล่มวิเคราะห์ว่า พระเยซูน่าจะตั้งใจนำสาวกให้เดินไปในเส้นทางนี้ ซึ่งเป็นเส้นทางชายขอบของสองแคว้น (สะมาเรียและกาลิลี) เบื้องหลังของความสัมพันธ์ระหว่างคนสะมาเรียกับคนกาลิลี(ที่อยู่ของคนยิว) จะไม่ไปมาหาสู่กัน และไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ต่างคนต่างอยู่ แต่ในเส้นชายขอบระหว่างสองแคว้นนี้ จะมีทั้งคนสะมาเรียและคนยิวมาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน และพระคัมภีร์ลูกาบันทึกว่า คนสะมาเรียกับคนยิวที่อยู่ด้วยกันได้ เพราะเป็นคนติดเชื้อโรคเรื้อนเหมือนกัน โรคเรื้อนมันไม่แบ่งแยกว่า ใครเป็นยิวใครเป็นสะมาเรีย
เหมือนกับโควิด มันไม่เลือกว่า ใครจะเชื้อชาติอะไร ใครจะรวยใครจะจน คนดีหรือคนไม่ดี แต่โควิดทำให้คนกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้ แม้คนนั้นจะเป็นคนดี คนรวย ดารา ไอดอล และเราได้เห็นว่า ในตอนนี้ ดาราส่วนใหญ่ติดโควิดกัน คนที่หายดี ก็ออกมาเตือน หนุนใจให้อย่ารังเกียจคนที่ติด อย่างที่คุณหมอนิธิ มหานนท์ ได้หนุนใจคนไทยด้วยกันว่า
ทุกอย่างที่เห็นตอนนี้มีเหตุและผลอธิบายได้ทั้งสิ้น ไม่มีใครผิด ไม่มีใครพลาด ทำใจสบายๆ
วันนี้ ข้าพเจ้าก็อยากจะให้พี่น้องที่เป็นคริสเตียนทำใจให้สบาย พระคำพระเจ้าในเช้าวันนี้ ก็เพื่อยืนยันกับเราทั้งหลายว่า จงอย่าตามข่าวสารต่างๆมากเกินไป จนจิตตก จนกลัว มีคนดีๆออกมาช่วยกันหนุนใจ และยิ่งกว่านั้น เราซึ่งเป็นคริสเตียน เรามีความเชื่อในการดำรงชีวิตอยู่รอดได้ ในเส้นทางติดตามพระเยซูคริสต์ และอย่าลืมว่า ในเส้นทางที่ติดตามพระเยซูคริสต์ของเราเวลานี้ จะมีการปะปนกัน ซึ่งเราไม่รู้ว่า ใครติดเชื้อใครไม่ติดเชื้อ มีคำแนะนำว่า ขอให้ตั้งสมมติฐานไว้ก่อนเลยว่า ทุกคนติดเชื้อ และจำเป็นที่เราจะต้องอยู่ร่วมกับคนทุกคน รักษาระยะห่าง
ลูกา 17:12 12 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีคนโรคเรื้อนสิบคนมาพบพระองค์ยืนอยู่แต่ไกล
สภาพของคนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ไม่น่าจะอยู่ในแคว้นสะมาเรีย และไม่น่าจะอยู่ในแคว้นกาลิลี หมู่บ้านแห่งนี้ อาจเป็น state quaranteen หรือ โรงพยาบาลสนาม หรือ สถานที่ในมิติที่ไม่มีอาณาเขตระบุ อย่างที่เราวันนี้ เดินไปเดินมา ผ่านกันไปมาโดยรักษาระยะห่างกัน ด้วยความสมมติฐานที่ว่า ทุกคนอาจมีเชื้อโควิด แต่ในยุคของพระเยซู คนที่ติดเชื้อโรคเรื้อน เขาจะรักษาระยะห่าง และส่งสัญญาณให้กับคนอื่นว่า พวกเขาเป็นพวกคนติดเชื้อโรคติดต่ออย่าเข้ามาใกล้
เลวีนิติ 13:44-46 44 ชายผู้นั้นเป็นโรคเรื้อน เขาเป็นมลทิน ปุโรหิตต้องประกาศว่า เขาเป็นมลทิน โรคของเขาอยู่ที่ศีรษะ45 “ให้บุคคลที่เป็นโรคเรื้อนสวมเสื้อผ้าที่ขาด และให้ปล่อยผม และให้เขาปิดริมฝีปากบนไว้แล้วร้องไปว่า ‘มลทิน มลทิน’46 เขาจะเป็นมลทินอยู่ตลอดเวลาที่เขาเป็นโรค เขาเป็นมลทิน เขาจะต้องอยู่แต่ลำพังภายนอกค่าย
เวลาไปไหน ก็จะส่งเสียงคำว่า มลทิน มลทิน รากศัพท์ฮีบรูแปลว่า สกปรก สกปรก ถ้าภาษายุคโควิด ก็คือคำว่า ติดเชื้อ ติดเชื้อ และในเส้นทางของพระเยซูคริสต์ตอนนี้ คนโรคเรื้อนสิบคน ก็คงจะร้องคำว่า มลทิน มลทิน แต่นอกจากจะร้องคำเตือนแล้ว เขายังร้องขอความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ด้วย
ลูกา 17:13 13 และส่งเสียงร้องว่า “เยซูนายเจ้าข้า โปรดได้เมตตาข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด”
พวกคนโรคเรื้อนรู้ได้ยังไงว่า พระเยซูจะเสด็จมาทางนี้ และใครคือพระเยซู มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า คนเรา ถ้าไม่สิ้นหวังจริงๆ จะไม่ดิ้นรนหาทางอยู่รอดให้ได้ สำหรับคนโรคเรื้อนสิบคนนี้ ก็น่าจะหาทางที่จะอยู่รอดให้ได้ และแน่นอนว่า เรื่องการอัศจรรย์ที่พระเยซูคริสต์ทรงทำ โดยเฉพาะการรักษาโรคที่ไม่มีทางรักษาได้ จึงเป็นความหวัง ทางอยู่รอดของคนโรคเรื้อนสิบคนนี้ แม้ว่า คนพวกนี้จะถูกจำกัดการอาณาเขต ในการเดินทาง ออกข้างนอกได้อย่างคนปกติก็ตาม แต่จำได้ไม๊ว่า พระเยซูทรงเป็นผู้เลือกเส้นทางที่จะเฉียดมาให้ผ่านที่ที่คนโรคเรื้อนเหล่านี้อยู่
มีคำไทยคำหนึ่งว่า ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ในเหตุการณ์ครั้งนี้ ต้องมีความต้องการความช่วยเหลือ และพระเยซูคริสต์จะมาที่นั่น
ในสถานการณ์โควิดของเราวันนี้ เรากำลังร้องขอความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์อย่างไร? หรือเราร้องแต่คำว่า ติดเชื้อ ติดเชื้อ และสร้างความวิตกกังวล ให้กับคนรอบข้าง
ลูกา 17:14 14 เมื่อพระองค์ทรงเห็นแล้วจึงตรัสแก่เขาว่า “จงไปสำแดงตัวแก่พวกปุโรหิตเถิด” เมื่อกำลังเดินไป เขาทั้งหลายก็หายสะอาด
เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงเห็นแล้ว (ความต้องการความช่วยเหลือ) ด้วยความสงสาร พระเยซูทรงตอบสนองต่อคนโรคเรื้อนสิบคนด้วยคำตรัส
“จงไปสำแดงตัวแก่พวกปุโรหิตเถิด”
ปุโรหิต เป็นบุคคลทางศาสนาที่ทำหน้าที่ดูแลจิตวิญญาณแล้ว ยังดูแลสุขภาพพลานามัยของประชาชนด้วย ทำหน้าที่ตรวจสภาพสุขภาพร่างกาย(ผู้ชายเท่านั้น)ที่มีโรคหรือไม่ ครบสามสิบสองหรือไม่ และคนโรคเรื้อนสิบคนนี้ น่าจะเคยไปพบปุโรหิตมาก่อนแล้ว คือ ผลออกมาว่าติดเชื้อ และรักษาไม่หาย แต่คราวนี้ พวกเขาถูกคำสั่งจากพระเยซูคริสต์ให้ไปพบปุโรหิตอีก ฟังดูเหมือนว่า มาหาพระเยซูแล้วได้คำตอบคำแนะนำเท่านี้หรือ เขาทำเองก็ได้ แต่การไปด้วยตัวเอง คงถูกปุโรหิตตะเพิดกลับมาแน่ แต่ว่า… ในตอนนี้ คำตรัสของพระเยซูสั้นๆ คือการสื่อสารว่า พวกเขาไปด้วยคำสั่งของพระเยซู คือการบอกว่า พวกเขาจะหายดีแน่ และปุโรหิตก็จะตรวจแล้วก็จะให้ผ่าน ด้วยคำว่า ไม่ติดเชื้อ นี่คือความเชื่อ และเป็นการอัศจรรย์ ที่พระเยซูทรงกระทำในคนโรคเรือนสิบคนนี้ แต่ว่า ….พระคัมภีร์ได้บันทึกต่อว่า ยังไม่ทันไปถึงปุโรหิต พวกเขาก็สะอาด… แค่เดินไปตามคำสั่งของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่แค่สัญญาณของการอยู่รอดได้เกิดขึ้น แต่คนโรคเรื้อนสิบคนนี้ อยู่รอดได้แล้ว
เมื่อกำลังเดินไป เขาทั้งหลายก็หายสะอาด
คำว่า สะอาด มีคุณค่าอย่างที่สุดสำหรับคนโรคเรื้อน เทียบกับคนที่ติดเชื้อโควิด ก็คือ ไม่มีเชื้อแล้ว นั่นแปลว่า อยู่รอดได้
วันนี้ เรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ทุกคนต้องสมมติว่าตนเองติดเชื้อ และเป็นความรู้สึกที่ทำให้ระแวง กลัว ขอให้เราอย่าตกอยู่ภายใต้ความรู้สึกนี้ ให้เราใช้คำว่า ไม่ประมาท รอบคอบ รักษาระยะห่าง แต่เรารักษาความสะอาด เราสะอาด ก็จะไม่ติดเชื้อ
คำว่า สะอาด รากศัพท์กรีก แปลว่า ได้รับการชำระ มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า คนเราถ้าไม่รู้สึกสกปรก เราจะไม่ทำความสะอาด และคิดว่าตัวเองสะอาด แต่คนที่รู้สึกสกปรก และทำความสะอาด จึงสะอาดได้ด้วยการทำความสะอาด ไม่ใช่แค่รู้สึก อย่าใช้ความรู้สึกว่าตัวเองไม่ติดเชื้อ แต่จงใช้การปฏิบัติด้วยการทำความสะอาดบ่อยๆ ทำความสะอาดล้างมือ ใส่หน้ากากที่สะอาด หรือทำความสะอาดประจำ อาบน้ำทันที และนี่คือความมั่นใจว่า เราได้รับการชำระให้สะอาด ไม่ใช่รู้สึกว่า สะอาด
ทำนองเดียวกัน ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ เราต้องรับการชำระให้สะอาด พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า สิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน ฝ่ายจิตวิญญาณ คือสิ่งที่ออกมาจากใจภายในของคน
มัทธิว 15:18-20 18 แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน19 ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การเป็นชู้ การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ล้วนออกมาจากใจ20 สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน….
ตามพระเยซูคริสต์…อยู่รอดได้ เมื่อคนโรคเรื้อนสิบคนอยู่รอดได้ ด้วยการได้รับการชำระให้สะอาด ทางสังคม เขาอยู่รอดได้แน่นอน แต่ว่า มีคนโรคเรื้อนคนหนึ่ง กลับมาหาพระเยซูคริสต์ และสรรเสริญพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงตรัสกับคนโรคเรื้อนที่หายดีคนนี้ว่า
ลูกา 17:15-19 15 คนหนึ่งในพวกนั้นเมื่อเห็นว่าตัวเองหายโรคแล้ว จึงกลับมาสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงดัง16 และกราบลงที่พระบาทของพระเยซู ขอบพระคุณพระองค์ คนนั้นเป็นชาวสะมาเรีย17 พระเยซูจึงตรัสว่า “มีสิบคนหายสะอาดไม่ใช่หรือ? แต่เก้าคนนั้นอยู่ที่ไหน?18 ไม่มีใครกลับมาสรรเสริญพระเจ้านอกจากคนต่างชาติคนนี้หรือ?”19 แล้วพระองค์ตรัสกับคนนั้นว่า “จงลุกขึ้นและไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ตัวท่านหายปกติแล้ว”
หนึ่งในสิบคน แค่สิบเปอร์เซ็นของคนที่รับความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ ที่จะกลับมาหาพระองค์ และนมัสการพระเจ้า อีกเก้าคนไปไหน ก็ไม่รู้ คนเหล่านั้น เมื่อหายดีกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม ไม่มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาอาจจะรู้สึกว่า ครั้งหนึ่ง พวกเขามีประสบการณ์กับการอัศจรรย์ การช่วยกู้จากพระเยซูคริสต์ แล้วก็จบ แต่คนหนึ่งที่เป็นคนสะมาเรีย รู้สึกตัวว่า เขาต้องกลับมานมัสการพระเจ้า เขาควรจะสรรเสริญพระเจ้า และผู้ที่ทำให้เขาได้นมัสการพระเจ้าพระผู้สร้าง ความรู้สึกดีๆกลับคืน นั่นคือ พระเยซูคริสต์ และนี่คือประเด็นสำคัญ ที่พระเยซูคริสต์ทรงตรัสสรุปให้กับคนที่กลับมาหาพระองค์ว่า
19 แล้วพระองค์ตรัสกับคนนั้นว่า “จงลุกขึ้นและไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ตัวท่านหายปกติแล้ว”
ความเชื่อที่ทำให้ตัวเองหายเป็นปกติ รากศัพท์กรีกคำว่า หายปกติ Sozo แปลว่า ได้รับความช่วยให้รอด ได้รับการปลดปล่อย ได้รับการปกป้อง ได้รับการเยียวยารักษาอย่างหมดจด หายเป็นปกติ
ตามพระเยซูคริสต์…อยู่รอดได้ ด้วยความเชื่อเดียวกันนี้ เราเชื่อว่า เราได้รับการปลดปล่อย ได้รับการปกป้อง และความรอดนี้ จะทำให้อยู่รอดได้
อย่าดำเนินชีวิตเพียงแค่ ร้องแต่คำว่า ติดเชื้อ ติดเชื้อ แต่จงขอความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ และเมื่อรับการปกป้อง อยู่รอดได้ จงดำเนินชีวิตอย่างผู้นมัสการพระเจ้า พระเยซูทรงเสด็จไปยังแคว้นสะมาเรียครั้งหนี่งและพบกับหญิงสะมาเรียที่บ่อน้ำ และทรงตรัสให้กับหญิงสะมาเรียนั้นให้เป็นผู้นมัสการพระเจ้า และชาวเมืองในแคว้นสะมาเรียนั้น ได้รู้จักการนมัสการพระเจ้าที่ไม่ยึดติดกับสถานที่
ลูกา 4:21,23 21 พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีวันหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดา เฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม….23 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์
ชาล ดาวิน ได้กล่าวว่า ไม่ใช่สายพันธ์ที่แข็งแกร่ง หรือฉลาดที่สุดถึงจะอยู่รอดได้ แต่คือสายพันธ์ที่ปรับตัวได้ และคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ได้พิสูจน์แล้วว่า เป็นสายพันธ์ที่ปรับตัวได้ดีที่สุดในอดีตที่ผ่านมา คริสตจักรไม่สูญพันธ์ และยังส่งต่อความเชื่อ การอยู่รอดเพื่อตัวเองและเพื่อคนอื่นด้วยคำว่า รักพระเจ้าสุดๆ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง และนี่คือวิถีของคนที่นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง
ตามพระเยซูคริสต์…อยู่รอดได้ ประเทศชาติของเราจะสามารถผ่านวิกฤตโควิดครั้งนี้ไปได้