“อยู่ในการทรงสถิต”

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการนมัสการร่วมกันในเช้าวันนี้ การมา การอยู่ของเราทั้งหลายเป็นสิ่งที่สำคัญ มีความหมาย ต่อพระเจ้า ต่อคริสตจักร ต่อเราซึ่งกันและกันจริง ๆ เราคิดด้วยกันเช่นนี้มั้ย เราจะรู้สึกดีใจที่ได้เห็นกัน เห็นคนนั้นมา เห็นคนนี้มา  ทุกวันศุกร์ต้นเดือน ศิษยาภิบาล ผู้รับใช้พระเจ้าของคริสตจักรในฝั่งธนฯ จะมีนัดหมายกันที่เราจะไปนมัสการ ไปอธิษฐานร่วมกัน เราทำเช่นนี้ต่อเนื่องมาหลายปี แล้วเราก็จะเวียนไปใช้สถานที่ตามคริสตจักรต่าง ๆ จนศิษยาภิบาล ผู้รับใช้ มีความสัมพันธ์ที่ดี มีความสนิทสนม ในแต่ละครั้งที่เจอกัน เราจะรู้ดี ที่ได้เห็นผู้รับใช้คนนั้น ศิษยาภิบาลคนนี้มาอยู่ร่วมกัน เจอกัน พูดคุย ทานข้าว สามัคคีธรรม แต่ถ้าใครไม่มาไม่อยู่ก็จะต้องมีการถามไถ่ พูดถึง มีใครรู้ข่าวคราวกัน ใครอยู่ที่ไหนยังไง หากการมา การดำรงอยู่ของเรามีความหมาย มีความสำคัญ การดำรงทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าย่อมต้องสำคัญและมีความหมายอย่างยิ่ง อย่างที่สุด  หนึ่งในสุดยอดความปรารถนาในชีวิตของผู้เชื่อ คือการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าในชีวิต หัวข้อเทศนาในวันนี้คือ “อยู่ในการทรงสถิต”  การทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าในชีวิตของผู้เชื่อ คือความแตกต่างที่ชัดเจนกับความเชื่ออื่น ศาสนาอื่น การทรงสถิตของพระเจ้า คือหลักข้อเชื่อสำคัญของคริสตชน   ตลอดทั้งพระคัมภีร์เองก็ยืนยันถึงการทรงสถิตของพระเจ้ากับประชากรของพระองค์เสมอมา  เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกับอิสราเอลก็มีผลอย่างหนึ่ง  เมื่อพระเจ้าไม่สถิตอยู่ด้วยก็มีผลอีกอย่างหนึ่งตามมา  ขอพระเจ้าช่วยเราทุกคน ที่จะเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้าถึงการทรงสถิตอยู่ของพระองค์ในชีวิตของเรา  เมื่อมีการทรงสถิตของพระเจ้าจะเกิดอะไรขึ้น จะเกิด….

ฤทธิ์อำนาจการทรงสถิตของพระเจ้า  การทรงสถิตของพระเจ้านั้นให้กำลัง ให้ฤทธิ์อำนาจแก่ประชากรของพระเจ้า หนึ่งในบุคคลที่มีความชัดเจนมากเรื่องนี้คือ โมเสส  ชีวิตของเขาเป็นพยานประจักษ์ชัดว่าเมื่อขาดจาก    พระเจ้าเขาไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้ ตั้งแต่เริ่มต้นที่พระเจ้าใช้โมเสสเพื่อปลดปล่อยอิสราเอลจากการเป็นทาสในอียิปต์ ทุกก้าวย่างของโมเสสต้องมีการทรงสถิตของพระเจ้า โมเสสต้องการให้   พระเจ้าอยู่ด้วยเสมอ วันนี้เราคงไม่ได้ดูเรื่องราวทั้งหมดในชีวิตโมเสส แต่เราจะมาดูประเด็นที่เกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจการทรงสถิตของพระเจ้าในชีวิตโมเสส เมื่อโมเสสนำอิสราเอลออกจากอียิปต์มาแล้ว โมเสสจะต้องนำอิสราเอลสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา แม้ตั้งแต่เริ่มต้นที่พระเจ้าใช้โมเสสนั้นพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยกับโมเสสเสมอมา แต่ทุกจังหวะของชีวิตนั้นโมเสสก็ยังคงขอการทรงสถิตของพระเจ้าเสมอ นั่นเพราะตั้งแต่แรกมานั้นโมเสสได้ประจักษ์แล้วว่า การใหญ่ต่าง ๆ ที่เขาทำนั้นเพราะการทรงสถิตของพระเจ้าจริง ๆ เมื่อมาถึงบทที่ 33 โมเสสก็ยังคงขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และที่สำคัญพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะอยู่ด้วย  อพยพ 33:12-23 12โมเสสกราบทูลพระเจ้าว่า   “นี่แหละพระองค์ได้ตรัสสั่งข้าพระองค์ว่า   ‘จงนำประชากรนี้ขึ้นไป’   แต่พระองค์มิได้แจ้งให้ข้าพระองค์ทราบว่า   จะใช้ผู้ใดขึ้นไปกับข้าพระองค์   แม้กระนั้นพระองค์ก็ยังตรัสกับข้าพระองค์ว่า   ‘เรารู้จักเจ้าด้วยนามของเจ้า   และเจ้าเป็นที่โปรดปรานของเราแล้ว’ 13เหตุฉะนี้  ถ้าแม้ข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานของพระองค์แล้ว   ขอพระองค์ทรงโปรดสำแดงพระมรรคาของพระองค์ให้ ข้าพระองค์เห็นในกาลบัดนี้   เพื่อข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์   แล้วจะรับความเมตตาในสายพระเนตรของพระองค์เสมอไป   และขอทรงนับชนชาตินี้เป็นประชากรของพระองค์”14ฝ่ายพระองค์ตรัสว่า   “เราเองจะไปกับเจ้า  และให้เจ้าได้พัก”15ฝ่ายโมเสสจึงกราบทูลพระองค์ว่า   “ถ้าพระองค์มิได้เสด็จไปกับข้าพระองค์   ก็ขออย่านำพวกข้าพระองค์ขึ้นไปจากที่นี่เลย 16ทำอย่างไรจะทราบได้ว่า   ข้าพระองค์และประชากรของพระองค์เป็นที่โปรดปราน ของพระองค์แล้ว   ก็เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นไปกับพวกข้าพระองค์ด้วยมิใช่หรือ   ดังนี้ข้าพระองค์และประชากรของพระองค์   จึงแตกต่างกับชนชาติอื่นๆทั่วพื้นแผ่นดินโลก”   17ฝ่ายพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า   “สิ่งซึ่งเจ้าขอแล้วเราจะกระทำตาม   เพราะว่าเจ้าเป็นที่โปรดปรานของเราแล้ว   และเรารู้จักชื่อของเจ้า”18โมเสสจึงกราบทูลว่า   “ขอทรงโปรดสำแดงพระสิริของพระองค์แก่ข้าพระองค์เถิด”19พระองค์จึงตรัสตอบว่า   “เราจะให้คุณความดีของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า   และเราจะประกาศนามของเราคือ   เยโฮวาห์  ให้ประจักษ์ต่อหน้าเจ้า   เราประสงค์จะโปรดปรานผู้ใดก็จะโปรดปรานผู้นั้น   และเราประสงค์จะเมตตาแก่ผู้ใด   เราก็จะเมตตาผู้นั้น”20พระองค์จึงตรัสว่า   “เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้   เพราะมนุษย์เห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้”21พระเจ้าตรัสอีกว่า   “นี่แหละมีที่แห่งหนึ่งอยู่ใกล้เรา   เจ้าจงไปยืนอยู่บนศิลานั้น 22แล้วขณะเมื่อพระสิริของเรากำลังผ่านไป   เราจะซ่อนเจ้าไว้ในช่องศิลา   และจะบังเจ้าไว้ด้วยมือเราจนกว่าเราจะผ่านไป 23เมื่อเราเอามือของเราออกแล้ว   เจ้าจะเห็นหลังของเรา   แต่หน้าของเราเจ้าจะมิได้เห็น”  โมเสสรู้ว่าการทรงสถิตของพระเจ้าในอิสราเอล ทำให้อิสาราเอลแตกต่างจากชนชาติอื่น ๆ และสิ่งนี้เป็นความจริงต่อคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ในทุกวันนี้ด้วย สิ่งเดียวที่ทำให้เราแตกต่างจากผู้ไม่เชื่อ แตกต่างจากศาสนาอื่นคือการทรงสถิตของพระเจ้าในชีวิตของเรา คือการที่เรามีพระเจ้าเป็นผู้นำทางชีวิตเรา เป็นผู้ชี้แนะของเรา  คือการที่พระเจ้าทรงกระทำกิจอยู่ภายในเราและผ่านชีวิตของเรา และทำให้ชีวิตของเราแตกต่างอย่างเหนือชั้น  อพยพ 33:15-16   ฝ่ายโมเสสจึงกราบทูลพระองค์ว่า   “ถ้าพระองค์มิได้เสด็จไปกับข้าพระองค์   ก็ขออย่านำพวกข้าพระองค์ขึ้นไปจากที่นี่เลย16ทำอย่างไรจะทราบได้ว่า   ข้าพระองค์และประชากรของพระองค์เป็นที่โปรดปราน ของพระองค์แล้ว   ก็เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นไปกับพวกข้าพระองค์ด้วยมิใช่หรือ   ดังนี้ข้าพระองค์และประชากรของพระองค์   จึงแตกต่างกับชนชาติอื่นๆทั่วพื้นแผ่นดินโลก”  โมเสส ไม่สนว่าชาติอื่น ๆ จะได้รับการชี้แนะอย่างไร จะมีกลยุทธ์อย่างไร จะบริหารจัดการประเทศชาติอย่างไร แต่โมเสสบอกว่า เราดำเนินไปบนหลักการเดียว ทางเดียวที่จะชี้แนะ ปกครองคือการทรงสถิตของพระเจ้า  เช่นกัน สิ่งเดียวที่เราต้องจดจ่อ ให้ความสำคัญเป็นอันดับ 1 คือการทรงสถิตของพระเจ้าในชีวิต ไม่ต้องไปคิดไปมองคนอื่นว่าใครเค้าจะมีอะไร ใครจะมีอะไรก็มี แต่เรามีพระเจ้า นั่นมากเกินพอ โมเสสรู้ว่า เมื่อการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางอิสราเอล จะไม่มีใครทำอันตราย แต่ถ้าปราศจากพระเจ้า อิสราเอลจะสูญเสียความช่วยเหลือ   ชนชาติอื่น ๆ อาจวางใจในกองทัพ ในรถรบ ในทักษะความสามารถของกองทัพทหาร วางใจในอาวุธใหม่ ๆ แต่โมเสสวางใจในการทรงสถิตของพระเจ้า   และถ้าชีวิตเรามีการทรงสถิตของพระเจ้า จะไม่มีใครทำอะไรเราได้ จะไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับเรา เราจะได้รับการช่วยกู้ ช่วยให้รอดปลอดภัย เชื่อว่าถ้าให้เราเป็นพยานถึงการทรงสถิตของพระเจ้าในชีวิตทำให้ชีวิตเรารอด ปลอดภัย มีการช่วยกู้  เราจะมีเรื่องราวมากมายที่จะเล่าสู่กันฟัง และพระเจ้าก็ให้ความชัดเจนกับโมเสส 14ฝ่ายพระองค์ตรัสว่า   “เราเองจะไปกับเจ้า  และให้เจ้าได้พัก”  ในภาษาฮีบรู คำว่า พัก ในมี่นี้ หมายถึงความสะดวกสบาย การได้พักอย่างสงบ คือการที่พระเจ้ากำลังตรัสว่า “ไม่ว่าเรากำลังเผชิญอยู่กับศัตรูแบบไหน เจ้าสามารถที่จะพบการพักสงบได้ในเรา พระเจ้าของเจ้า” เราลองคิดถึงสิ่งนี้  ถ้าชีวิตมีการทรงสถิตของพระเจ้าอย่างชัดเจนท่ามกลางเรา เราจะไม่ต้องอยู่ในภาวะเร่งรีบหรือกระหืดกระหอบ ไม่ต้องเหนื่อยยากกระเสือกกระสน เราจะอยู่ในบรรยากาศแห่งการพักสงบทั้งฝ่ายร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ  ทุกอย่างที่เรากระทำในการดำเนิน ชีวิต การรับใช้ พันธกิจ  ครอบครัวมันจะส่งผลเป็นบรรยากาศของการพักสงบออกมาสู่ทั้งหมดสิ่งนี้เป็นความจริงสำหรับชีวิตคริสเตียนของเราแต่ละคน เมื่อเรามีการทรงสถิตของพระคริสต์ในชีวิตของเรา เราจะมีประสบการณ์ถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี แม้จะมีปัญหาอุปสรรคติดขัด เราก็จะยังคงแก้และผ่านไปได้ด้วยดีอย่างสงบเรียบร้อย  เราจะมีความสงบสุข มีความนิ่ง  ไม่หงุดหงิด ไม่ตื่นตูม  ไม่กระวนกระวายร้อนใจ ไม่วิ่งวุ่นไปมาวิ่งไปหาความช่วยเหลือจากทางนู้นทางนี้  แต่เราจะดำเนินชีวิตแบบพักสงบได้ เพราะเรารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า  แต่ถ้าไม่มีการทรงสถิตของพระเจ้า ในแต่ละวันแต่ละอาทิตย์ของเราจะเป็นอย่างไร อยากรู้มั้ย มันจะเป็นอย่างนี้  อาจจะเป็นสำนวนการเล่นคำภาษาอังกฤษหน่อย  ใน 1 อาทิตย์เรามี 7  วัน จันทร์ อังคาร พุธ…..Without God   our week would be Sinday   Tearsday  Wasteday  Thirstday  Fightday  Shatterday.  7 days without God make one weak  ถ้าไม่อยากให้แต่ละวันในชีวิตเรามันแย่ มันไม่ดี เราต้องมีการทรงสถิตของพระเจ้า และเราก็จะมีชีวิตที่พักสงบอย่างแตกต่างแม้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่ในชีวิตประจำวันเรายังเหมือนเดิม หน้าที่การงานเดิม เพื่อนร่วมงานเดิม กิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม  แต่จะมีความแตกต่างและไม่วุ่นวายยุ่งยากเหมือนเดิมอีกต่อไป  เราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเรามีการทรงสถิตของพระเจ้าในชีวิต  การทรงสถิตทำให้เราได้รับฤทธิ์อำนาจ และได้รับพระพร  ในพระคัมภีร์เดิม มีบุคคลมากมายที่ได้รับพระพรในการทรงสถิตของพระเจ้า

– อับราฮัม ชีวิตของอับราฮัมชัดเจนในการทรงสถิตของพระเจ้า แม้แต่คนอื่นที่เป็นคนนอกศาสนาก็ยังพูดกับอับราฮัมเช่นนั้น  ปฐมกาล 21:22 22ครั้งนั้น   อาบีเมเลคและฟีโคล์ผู้บัญชาการทหารของพระองค์   พูดกับอับราฮัมว่า   “พระเจ้าทรงสถิตกับท่านในทุกสิ่งที่ท่านกระทำ   เพราะว่าอับราฮัมทำอะไรก็เจริญไปหมด แตกต่างกับคนอื่น ๆ ได้รับการอวยพรในทุกสิ่งที่กระทำ ได้รับการทรงนำในทุกที่ ๆ ไป 

– พระเจ้าทรงสัญญากับโยชูวา ว่าจะไม่มีศัตรูหน้าไหนมาต่อต้านเขาได้เมื่อการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่กับเขา โยชูวา 1:5-6  5ไม่มีผู้ใดจะยืนหยัดต่อสู้เจ้าได้ตลอดชีวิตของ เจ้า   เราอยู่กับโมเสสมาแล้วฉันใด   เราจะอยู่กับเจ้าฉันนั้น   เราจะไม่ละเลยหรือละทิ้งเจ้าเสีย เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่กับเรา  เราจะเข้มแข็งและกล้าหาญเพราะศัตรูทำอะไรเราไม่ได้

– พระเจ้าอยู่กับกิเดโอน  ผู้วินิจฉัย 6: 12  12ทูตของพระเจ้าปรากฏแก่กิเดโอนพูดกับเขาว่า   “เจ้าบุรุษผู้กล้าหาญเอ๋ย  พระเจ้าทรงสถิตกับเจ้า”

14และพระเจ้าทรงหันมาหาเขาตรัสว่า   “จงไปช่วยคนอิสราเอล   ให้พ้นจากเงื้อมมือพวกมีเดียนด้วยกำลังของเจ้านี่แหละ   เราใช้เจ้าให้ไปแล้ว  มิใช่หรือ”คำว่า กำลังของเจ้า ในข้อที่ 14  นั้นหมายถึงประโยคก่อนหน้านี้ในข้อที่ 12 ว่า พระเจ้าสถิตอยู่กับเจ้า พระเจ้ากำลังบอกอะไรกับกิเดโอน พระเจ้ากำลังบอกว่า “กิเดโอน เจ้ามีกำลังเป็นกำลังที่มีอำนาจมาก ที่สามารถปกป้องอิสราเอลได้ และกำลังนั้นคือการทรงสถิตของเรา”  เรื่องราวของกิเดโอนในพระคัมภีร์บอกเราว่ากิเดโอนเป็นคนขี้ขลาด แล้วทำไมพระเจ้าจึงบอกให้กิเดโอนไปช่วยอิสราเอล ด้วยกำลังของเจ้า  นั่นเป็นเพราะ พระเจ้าต้องการที่จะพิสูจน์ให้กิเดโอนได้รู้ว่าคนที่อ่อนแอขี้ขลาดอย่างกิเดโอนทำได้เมื่อมีการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ด้วย

– อีกคนคือ เยเรมีย์   พระเจ้าเตือนเยเรมีย์ ว่า ทั้งชนชาติจะต่อต้านเขาและปฎิเสธการเผยพระวจนะของเขา แต่พระเจ้าก็ทรงสัญญา เยเรมีย์ 15:20   20เราจะกระทำเจ้าให้เป็นกำแพงป้อม  ทองสัมฤทธิ์แก่ชนชาตินี้    เขาทั้งหลายก็จะต่อสู้กับเจ้า  แต่เขาจะไม่ชนะเจ้า   เพราะเราอยู่กับเจ้า จะช่วยเจ้าให้รอดและช่วยกู้เจ้า   พระเจ้าตรัสดังนี้  พระเจ้ากำลังบอกเยเรมีย์ว่า  “แม้ว่าชนทั้งชาติจะต่อต้านเจ้า มันก็ไม่สำคัญเลย แต่สิ่งที่สำคัญคือ การทรงสถิตของพระเจ้ากับเจ้าต่างหาก จงมั่นใจว่าเราอยู่กับเจ้า

– พระเจ้าบอกอิสยาห์ถึงพระสัญญาที่พิเศษต่อผู้ที่พระองค์ทรงรัก อิสยาห์ 43:1-5 1บัดนี้  พระเจ้าผู้ได้สร้างท่านยาโคบ   

 พระองค์ผู้ได้ทรงปั้นท่าน   อิสราเอลตรัสดังนี้ว่า “อย่ากลัวเลย  เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว    เราได้เรียกเจ้าตามชื่อ  เจ้าเป็นของเรา  2เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ  เราจะอยู่กับเจ้า    เมื่อข้ามแม่น้ำ  น้ำจะไม่ท่วมเจ้า  เมื่อเจ้าลุยไฟ  เจ้าจะไม่ไหม้    และเปลวเพลิงจะไม่เผาผลาญเจ้า3เพราะเราเป็นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า  องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลผู้ช่วยให้รอดของเจ้า  เราให้อียิปต์เป็นค่าไถ่ของเจ้า    ให้เอธิโอเปียและเสบาเพื่อแลกกับเจ้า 4เพราะว่าเจ้าประเสริฐในสายตาของเรา    และได้รับเกียรติและเรารักเจ้า  เราจึงให้คนเพื่อแลกกับเจ้า    ให้ชนชาติทั้งหลายเพื่อแลกกับชีวิตของเจ้า  5อย่ากลัวเลย  เพราะเราอยู่กับเจ้า  ข้อความเหล่านี้พระเจ้ากำลังบอกว่า “ด้วยการทรงสถิตของเราได้ผูกพันเจ้าไว้ เจ้าสามารถลุยน้ำลุยไฟได้ เจ้าจะรอด ไม่เพียงแต่รอด เจ้ายังได้รับการอวยพรและเป็นที่โปรดปรานเพราะว่าการทรงสถิตของเราอยู่กับเจ้า  เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องราวที่เป็นตำนาน เรื่องเล่าที่ตายไปแล้ว แต่เป็นสิ่งที่มีความหมายในการหนุนใจเราที่จะแสวงหาการทรงสถิตของพระเจ้าในชีวิตของเรา  เราสามารถขอบคุณพระเจ้าในการทรงสถิตของพระองค์ในชีวิตของอับราฮัม โยชูวา กิเดโอน เยเรมีย์ และอิสราเอลทั้งหมด  และเราแต่ละคนก็มีคำพยานที่มีฤทธิ์อำนาจในการทรงสถิตของพระเจ้าที่ทรงกระทำในชีวิตของเรา ที่ทรงนำชีวิตเรา เปิดประตูให้แก่เรา  เคลื่อนปัญหาอุปสรรคให้เรา ทำให้เราเข้มแข็งกล้าหาญ(เรื่องเล่า การมีคริสตจักรหลักชัยชีวิต – มันจะเกิดขึ้นกับเราด้วย)  นี่คือฤทธิ์อำนาจในการทรงสถิตของพระเจ้า  และคริสเตียนทุกคนเราสามารถมีเรื่องราวคำพยานที่จะบอกว่า ชีวิตเรามีเรื่องราวยิ่งใหญ่เหลือเกินเพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย  เมื่อมีการทรงสถิตแล้ว เรายังมีสิ่งที่ต้องทำต่อไป

เงื่อนไขในการที่จะได้รับ และรักษาการทรงสถิตของพระเจ้าในชีวิตเรา  เราจะมาดูบุคคลอีกคนหนึ่งในพระคัมภีร์คือ กษัตริย์อาสา    มีเงื่อนไขในการที่เราจะรับการทรงสถิตของพระเจ้า  ปรากฏใน 2 พงศาวดาร   ในบท 14  กษัตริย์อาสา ได้นำกองทัพยูดาห์สู่ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เหนือกองทัพที่แข็งแกร่งของเอธิโอเปีย กษัตริย์อาสาพิสูจน์การทรงสถิตของพระเจ้าที่ได้ขับไล่ศัตรูให้กระจัดกระจายไป 2 พงศาวดาร 14:11-12  11และอาสาร้องทูลต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของพระองค์ว่า     “ข้าแต่พระเจ้าไม่มีผู้ใดช่วยได้อย่างพระองค์   ในการสู้รบกันระหว่างผู้ที่มีกำลังกับผู้ที่ไม่มีกำลัง   ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย   ขอทรงช่วยพวกข้าพระองค์   เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายพึ่งพระองค์   ข้าพระองค์ทั้งหลายมาต่อสู้กับชน หมู่ใหญ่นี้ในพระนามของพระองค์   ข้าแต่พระเจ้า   พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย   ขออย่าให้มนุษย์ชนะพระองค์”12พระเจ้าจึงทรงให้ชาว เอธิโอเปียพ่ายแพ้ต่ออาสาและต่อยูดาห์   และชาวเอธิโอเปียก็หนีไปขณะที่กษัตริย์อาสาและกองทัพนำชัยชนะกลับสู่เยรูซาเล็ม ผู้เผยพระวจนะอาซาริยาห์ได้มาพบที่ประตูเมืองพร้อมด้วยถ้อยคำจากพระเจ้า  2 พงศาวดาร 15:1-4  1 พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาสถิตกับ อาซาริยาห์บุตรโอเดด 2และท่านออกไปเฝ้าอาสาทูลพระองค์ว่า   “ข้าแต่อาสาและยูดาห์กับเบนยามินทั้งปวง   ขอจงฟังข้าพเจ้า   พระเจ้าทรงสถิตกับท่านทั้งหลาย   ต่อเมื่อท่านทั้งหลายอยู่กับพระองค์   ถ้าท่านทั้งหลายแสวงหาพระองค์  ท่านก็จะพบพระองค์   แต่ถ้าท่านทั้งหลายทอดทิ้งพระองค์   พระองค์จะทรงทอดทิ้งท่านทั้งหลาย 3อิสราเอลอยู่ปราศจากพระเจ้าเที่ยงแท้เป็นเวลานาน   และไม่มีปุโรหิตผู้สั่งสอน  และไม่มีพระธรรม 4แต่เมื่อถึงคราวเขาทุกข์ยากลำบาก   เขาหันมาหาพระเยโฮวาห์   พระเจ้าแห่งอิสราเอลและแสวงหาพระองค์   เขาทั้งหลายก็พบพระองค์  นี่คือความลับ คือกุญแจ ในการที่จะได้รับและรักษาการทรงสถิตของพระเจ้าในชีวิต     พระเจ้าทรงเตือนกษัตริย์อาสา ที่จะไม่ลืมว่าชัยชนะนั้นได้มาได้อย่างไร  คือได้มาโดยการแสวงหาพระเจ้าอย่างสุดใจ การหันมาหาพระเจ้าอย่างจริงจัง เมื่อมีปัญหา และพระเจ้าก็ได้ส่งการทรงสถิตของพระองค์  และเพราะการทรงสถิต ศัตรูจึงพ่ายแพ้ไป  และอาซาริยาห์ ได้เตือนกับกษัตริย์อาสาให้ระลึกถึงสภาพของอาณาจักรก่อนหน้านี้ว่าอยู่ในสภาพที่ป่วย ย่ำแย่ ไม่มีไม่ใส่ใจต่อบทบัญญัติของพระเจ้า  ไม่มีการชี้แนะ ไม่มีคำสอนที่ชอบธรรม ทุกคนทำในสิ่งที่ตามใจตนเอง สร้างกฎกติกาให้ตัวเอง  และสิ่งนี้คือภาพสะท้อนชีวิตของเราด้วยหรือไม่ สะท้อนมาถึงครอบครัวของเราด้วยหรือไม่  ความไม่มีระเบียบวินัย ไม่รู้จักสิทธิอำนาจ ไม่มีความสงบ ไม่มีการพักสงบ ทุกคนทำตามอำเภอใจ  ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์   ฉนั้นครอบครัว ชีวิตก็ตกอยู่ในสภาพวุ่นวาย ยุ่งเหยิง ผิดปกติ แทนที่จะเป็นปกติสุข  แต่ชีวิตคริสเตียน ครอบครัวคริสเตียนไม่ควรเป็นเช่นนี้ พระสัญญาของพระเจ้านั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระคำของพระเจ้าเที่ยงแท้ ตราบเท่าที่เราแสวงหาพระเจ้า การพักสงบจะเกิดขึ้น การทรงสถิตจะไม่ไปไหน เมื่อเราร้องทูลต่อพระองค์ เราจะพบพระองค์เสมอ  นี่ไม่ใช่เรื่องศาสนศาสตร์ที่ซับซ้อน มันเป็นเรื่องง่าย ๆ ถ้าทั้งสามีภรรยาแสวงหาพระเจ้า ลูก ๆ แสวงหาพระเจ้า ปัญหาความวุ่นวายจะไม่สามารถอยู่ในบ้านนั้นได้ บ้านนั้นจะไม่ใช่สภาพแบบบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไม่มีกฎไม่มีเกณฑ์อะไร ที่ต่างคนต่างทำตามใจตัวเอง  เพราะเมื่อครอบครัวแสวงหาพระเจ้า การทรงสถิตของพระองค์ก็อยู่ที่นั่น อยู่ในบ้านของเรา อยู่ในชีวิตเรา สันติสุขความสงบสุขก็เกิดขึ้น ความเป็นระเบียบเรียบร้อยเกิดขึ้น   ถ้าเราทั้งหลายแสวงหาพระเจ้า เราก็จะพบ พระเจ้า คำว่า “พบ”  ภาษาฮีบรูมีความหมายว่า การทรงสถิตของพระองค์ที่นำมาซึ่งพลัง ซึ่งการอวยพร การทรงสถิตของพระเจ้านั้นเป็นฤทธิ์อำนาจที่จะไหลล้นออกมาจากชีวิตของเรา

เราต้องรักษาการแสวงหาพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ   เมื่อเราแสวงหาพระเจ้า พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา และเราต้องแสวงหาจริง ๆ และเมื่อนั้นเราจะได้ชื่นชมยินดีกับพระพรที่ไม่ธรรมดาในการทรงสถิตที่จะเทลงมาในชีวิตของเรา  การแสวงหาพระเจ้าไม่ใช่เราทำชั่วครั้งชั่วคราว ทำครั้งเดียวแล้วมีผลตลอดไป ไม่ใช่ ชีวิตของเอลี ปุโรหิตเป็นตัวอย่างเรื่องนี้  แม้เอลีเป็นผู้รับใช้เป็นปุโรหิตก็ยังคงต้องรักษาความสม่ำเสมอกับ    พระเจ้า  เอลีไม่สามารถเอาการทรงสถิตในอดีตมาใช้ในปัจจุบันได้ เอลีกลายเป็นผู้ที่ถอถอยในความเชื่อ ถดถอยในการมีชีวิตในการทรงสถิตของพระเจ้า  แล้วพระเจ้าก็ส่งผู้เผยพระวจนะที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรไปหาเอลีเพื่อเตือนเขา  ว่าอย่าอลุ้มอล่วยกับความบาป  แต่เอลีก็เพิกเฉยถ้อยคำเหล่านั้น 1 ซามูเอล 2:27- 30   27ครั้งนั้นมีบุรุษของพระเจ้ามาหาเอลี  กล่าวแก่ท่านว่า   “พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า   ‘เราได้เผยเราเองให้แจ้งแก่พงศ์พันธุ์บิดาเจ้า   เมื่อเขาทั้งหลายอยู่ในอียิปต์ใต้บังคับพงศ์พันธุ์ของฟาโรห์ 28และเราได้เลือกเขาออกจากเผ่าอิสราเอลทั้งหมด   ให้เป็นปุโรหิตของเราเพื่อจะขึ้นไปที่แท่นบูชาของเรา   เพื่อเผาเครื่องบูชาเพื่อใช้เอโฟดต่อหน้าเรา   และเราได้มอบของที่บูชาด้วยไฟ   ซึ่งคนอิสราเอลนำมาถวายนั้นแก่พงศ์พันธุ์บิดาของ เจ้า 29เหตุใดเจ้าจึงเหยียบย่ำเครื่องสัตวบูชาของเรา   และของที่เขาถวายตามบัญชาของเรา   และให้เกียรติแก่บุตรทั้งสองของเจ้าเหนือเรา   และกระทำให้ตัวของเจ้าทั้งหลายอ้วนพี   ด้วยส่วนที่ดีที่สุดจากของถวายทุกราย จากอิสราเอลชนชาติของเรา’ 30เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของอิสราเอลจึงตรัสว่า   ‘เราพูดจริงๆ   ว่าพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ บิดาของเจ้าจะเข้าออกต่อหน้าเราอยู่เป็นนิตย์’   แต่บัดนี้พระเจ้าทรงประกาศว่า   ‘ขอให้การนั้นห่างไกลจากเรา   เพราะว่าผู้ที่ให้เกียรติแก่เรา   เราจะให้เกียรติและบรรดาผู้ที่ดูหมิ่นเรา   ผู้นั้นจะถูกดูหมิ่น  ผู้ที่ดูหมิ่นพระเจ้า ผู้นั้นก็จะถูกดูหมิ่น  จะถูกดูหมิ่นอย่างไร  การถูกดูหมิ่น คือการที่พระเจ้าจะนำการทรงสถิตออกไปจากผู้นั้น ไม่เพียงแต่ชีวิตจะหายนะ แต่คน ๆ นั้นจะดำเนินชีวิตด้วยเนื้อหนังของตัวเองทำตามใจตัวเองโดยปราศจากการทรงสถิตของพระเจ้า  พระเจ้ามีน้ำพระทัยที่จะอวยพรครอบครัวเอลี ต้องการให้เขาเป็นที่โปรดปราน แต่เพราะ  เอลีดูหมิ่นดูแคลนพระเจ้า ปล่อยชีวิตไปตามกิเลสเนื้อหนัง พระเจ้าจึงนำการทรงสถิตไปจากเขาหลายคนเมื่อเริ่มต้นมาหาพระเจ้าด้วยความรู้สึกที่ดี ความเชื่อแรงกล้า แต่เมื่อเวลาผ่านไป เพิกเฉยต่อพระเจ้า เพิกเฉยต่อพระธรรมคำสอน ดำเนินชีวิตโดยตัวเอง หันหลังไปหาทางเก่า ทำบาป แล้วก็คิดว่าไม่เป็นไร พระเจ้ายังอยู่ด้วยนะ  พระเจ้าหยวน ๆ นะ  แต่ไม่ใช่ ชีวิตแบบนี้พระเจ้าไม่สถิตอยู่ด้วย ไม่มีทาง  พระคัมภีร์ชัดเจนมาก เมื่อเราละทิ้งพระเจ้า พระเจ้าก็ละทิ้งเรา  แม้พระเจ้าไม่หยุดที่จะรักเราก็ตาม   แต่หากเรายังคงอยู่ในความบาป การทรงสถิตจะไม่อยู่กับเรา และชีวิตของเราจะไม่เป็นเครื่องมือไม่เป็นอุปกรณ์ที่เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจของการทรงสถิตอีกต่อไป  แต่เราจะมีชีวิตไปตามเนื้อหนัง ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนเอง  ไม่มีฤทธิ์อำนาจไม่มีการทรงนำใด ๆ จากพระเจ้า  หากครั้งหนึ่งเราเป็นคนที่มีการทรงสถิตของพระเจ้า แต่วันนี้เราไม่ได้รักษาการทรงสถิตอีกแล้ว เราหยุดแสวงหา เราไม่มีความสม่ำเสมอกับพระเจ้า  เราทำบาป  ให้เรากลับใจใหม่ ให้เราเลิก หยุดพฤติกรรมที่จะนำเราไปสู่หายนะของเนื้อหนัง  พระเจ้าทรงจริงจังในเรื่องนี้ ความบาปกับการทรงสถิตของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ เราต้องตัดสินใจ เด็ดขาด มุ่งมั่น ที่จะจัดการกับตัวเอง เรากลับไปที่พระธรรมอพยพ 13:21-22 21พระเจ้าเสด็จนำทางพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ   และตอนกลางคืนด้วยเสาเพลิง   ให้เขามีแสงสว่างเพื่อจะได้เดินทางได้ทั้งกลางวันและ กลางคืน 22เสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืน   มิได้คลาดจากเบื้องหน้าประชากรเลย  เมื่ออิสราเอลอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าทรงสำแดงการทรงสถิตต่อพวกเขาด้วยเสาเมฆ เสาไฟ มันเป็นเครื่องหมายของการที่พระเจ้าอยู่ด้วย เครื่องหมายของการทรงนำในทุก ๆ ย่างก้าว เมื่อเสาเมฆเคลื่อน อิสราเอลก็เคลื่อน เมื่อเสาเมฆหยุด อิสราเอลก็หยุด พวกอิสราเอลไม่ต้องมีการมาประชุมวางแผนถึงทิศทางในอนาคตว่าจะไปอย่างไร เพียงแต่พวกเขาวางใจในเสาเมฆสัญลักษณ์ของการทรงสถิตของพระเจ้า มันง่ายมากสำหรับการที่จะมีเสาเมฆเสาไฟในชีวิต  หากเราต้องการมีเสาเมฆเพื่อนำชีวิตเรา เราต้องมีชีวิตการอธิษฐานส่วนตัว การอธิษฐานในที่ลี้ลับในชีวิตของเรา และเมื่อนั้น เสาเมฆของการทรงสถิตก้อนเดียวกันนี้ก็จะปกคลุมอยู่เหนือชีวิตของเรา  เรามีเสาเมฆที่รอคอยเราอยู่ ที่พร้อมจะนำเรา ให้กำลังกับเรา ให้ความสงบสุขกับเรา ให้รายละเอียดสำหรับการดำเนินชีวิต สำหรับงาน สำหรับความสัมพันธ์  แต่เราต้องมีเวลาการอธิษฐาน แล้วชีวิตการอธิษฐานแบบ ลี้ลับ ลับเฉพาะ หมายความว่าอย่างไร คือการอธิษฐานขณะที่จะทำให้เราใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นในขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งทุกอย่างในชีวิต    ในทุกที่ที่เราอยู่ ในขณะที่เราเรียน เราทำงาน เราอยู่บนรถ ขับรถ  อยู่บนรถเมล์ เราอยู่ท่ามกลางผู้คน เป็นช่วงเวลาที่เราจะปิดการติดต่อกับโลกนี้ และเปิดสายพูดคุยกับพระเจ้าสร้างความใกล้ชิดสนิทสัมพันธ์กับพระองค์ เป็นการอธิษฐานที่ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาที่เราเฝ้าเดี่ยวเท่านั้น  การอธิษฐานแบบนี้จะพัฒนาชีวิตแห่งการอธิษฐาน ให้เราเป็นคนที่อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาก่อนที่เราจะออกจากบ้านก็อธิษฐานซะหน่อยขอพระเจ้าอวยพร หรือไม่ใช่แค่ช่วงเวลาก่อนเข้านอนอธิษฐานขอพระเจ้าคุ้มครอง  แต่ให้การอธิษฐานอยู่ในทุกสิ่ง เป็นทุกสิ่งของชีวิต  และนั่นแหละคือการแสวงหา และพระเจ้าทรงสัญญาว่า ผู้ที่แสวงหาพระเจ้า รับใช้ พระเจ้าด้วยการอธิษฐาน การทรงสถิตของพระเจ้าจะนำหน้าชีวิตของเรา เป็นเสาเมฆเสาไฟในชีวิตผู้นั้น เหมือนเวลาเราเป็นโรคบางอย่าง หมอจะจ่ายยาแบบที่ต้องจิบบ่อย ๆ แบบนั้นแหละ เราต้องอธิษฐานจิบบ่อย ๆ ในการทรงสถิต ในการแสวงหา ในการรักษาไว้ซึ่งการทรงสถิตในชีวิตของเรา จะนำเราไปสู่พระสิริของพระเจ้า

การทรงสถิตนำเราสู่พระสิริพระเจ้า  มีความแตกต่างระหว่างการทรงสถิตของพระเจ้า และพระสิริของพระองค์ ในพระธรรมอพยพ 40:34 34 ในขณะนั้นมีเมฆมาปกคลุมเต็นท์นัดพบไว้     และพระสิริของพระเจ้า  ก็ปรากฏอยู่เต็มพลับพลานั้น   อ.เปาโลก็เขียนถึงผู้เชื่อทุกคนว่าเป็นพลับพลาเป็นวิหารของพระเจ้า 1 โครินธ์ 3:16   16ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า   และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน  เหมือนกับอิสราเอลที่ดำเนินชีวิตภายใต้เมฆแห่งการทรงสถิตของพระเจ้า เราก็ดำเนินชีวิตอยู่ในการปกคลุมของพระเจ้า  แล้วอะไรคือความแตกต่างระหว่างการทรงสถิตและพระสิริ  พระเจ้าประทานการเปิดเผยถึงพระสิริของพระองค์แก่โมเสส โมเสสแสวงหาการทรงสถิตของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง อพยพ 33:13-14  13เหตุฉะนี้  ถ้าแม้ข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานของพระองค์แล้ว   ขอพระองค์ทรงโปรดสำแดงพระมรรคาของพระองค์ให้ ข้าพระองค์เห็นในกาลบัดนี้   เพื่อข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์   แล้วจะรับความเมตตาในสายพระเนตรของพระองค์เสมอไป   และขอทรงนับชนชาตินี้เป็นประชากรของพระองค์”14ฝ่ายพระองค์ตรัสว่า   “เราเองจะไปกับเจ้า  และให้เจ้าได้พัก” คำร้องขอของโมเสส ก็เป็นสิ่งเดียวที่เราทั้งหลายต้องการร้องขอจากพระเจ้าด้วย เราทุกคนต้องการการทรงสถิตของพระเจ้าในชีวิต ที่จะนำเรา นำทางเรา ให้กำลังกับเรา อวยพรเรา แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับโมเสส โมเสสรู้ว่ายังมีมากกว่านั้นและเขาได้ร้องขอต่อสิ่งนั้น  อพยพ 33:17-18  17ฝ่ายพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า   “สิ่งซึ่งเจ้าขอแล้วเราจะกระทำตาม   เพราะว่าเจ้าเป็นที่โปรดปรานของเราแล้ว   และเรารู้จักชื่อของเจ้า”18โมเสสจึงกราบทูลว่า   “ขอทรงโปรดสำแดงพระสิริของพระองค์แก่ข้าพระองค์เถิด”และพระเจ้าทรงสำแดงพระสิริแก่โมเสส แต่พระสิรินั้นไม่ได้ปรากฎเป็นเมฆที่สว่างไสวเรืองรอง  หรือเป็นแผ่นดินสะเทือนไหว   พระเจ้าทรงสำแดงพระสิริเรียบ ง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะเข้าใจ เป็นความกรุณา เป็นความรัก เป็นความดี   อพยพ 34: 5-7   5ฝ่ายพระเจ้าเสด็จลงมาในเมฆ   และโมเสสยืนอยู่กับพระองค์ที่นั่น   และออกพระนามพระเจ้า  6พระเจ้าเสด็จผ่านไปข้างหน้าท่าน  ตรัสว่า   “พระเยโฮวาห์   พระเยโฮวาห์   พระเจ้าผู้ทรงพระกรุณา  ทรงกอปรด้วยพระคุณ  ทรงกริ้วช้า   และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง  และความสัตย์จริง 7ผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อมนุษย์กระทั่งพันชั่วอายุ   ผู้ทรงโปรดยกโทษการล่วงละเมิด   การทรยศ  และบาปของเขาเสีย   แต่จะทรงถือว่า  ไม่มีโทษก็หามิได้   และให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานสามชั่ว   สี่ชั่วอายุคน” นี่คือพระสิริของพระเจ้า ความกรุณา พระคุณ ความกริ้วช้า ความรักมั่นคง ความสัตย์จริง เหล่านี้คือสิ่งที่ชีวิตเราสัมผัสหรือยัง เราได้รับหรือยัง ?  เราได้แล้ว ได้สัมผัสแล้ว ได้รับแล้ว  ไม่ใช่ได้รับในวันที่เรารับเชื่อนั้นนะ  แต่ตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ก่อนที่จะสร้างโลก เพราะพระองค์กำหนดเราไว้ในนิรันดร์แห่งรักของพระองค์  ที่จะให้เราเกิดมา และรับพระกรุณา พระคุณ ความรักจากพระเจ้า เราลองย้อนคิดกลับไปสิในชีวิตของเรา มีกี่ครั้งที่เราควรจะถูกพิพากษาลงโทษ มีกี่ครั้งที่เราสมควรตาย เพราะการกระทำ การดำเนินชีวิตที่ไม่น่ารัก ที่ไม่ดีของเรา เพราะชีวิตบาปของเรา แต่เรายังรอด ยังอยู่จนบัดนี้   มีกี่ครั้งที่ชีวิตร่อแร่เต็มที เหมือนยืนอยู่ที่ปากเหว มีกี่ครั้งที่เราคิดว่าจบสิ้นแล้ว หมดหนทางแล้ว แต่ชีวิตเราก็ยังดำเนินต่อมาจนวันนี้โดยพระคุณ พระกรุณา ความรักมั่นคง โดยพระสิริของพระเจ้าที่สำแดงต่อเรา ประทานแก่เรา  ฉะนั้นไม่ต้องร้องขอพระสิริของพระเจ้าเทลง เทลงมา การร้องขอเช่นนี้ไม่ได้ทำให้พระสิริของพระเจ้าเทลงมา  แต่บางคนอาจจะบอกว่าแล้วประสบการณ์ของพวกสาวกบนภูเขาที่พระเยซูทรงจำแลงพระกายล่ะ นั่นไม่ใช่การสำแดงพระสิริของพระเจ้าหรือที่ปรากฎเป็นแสงสว่างอย่างอัศจรรย์ และยังมีการปรากฏของโมเสสและเอลียาห์อีก  มัทธิว 17 :1-6   ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว   พระเยซูทรงพาเปโตร   ยากอบ   และยอห์นน้องของยากอบขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง 2แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา   พระพักตร์ของพระองค์ก็ทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์   ฉลองพระองค์ก็ขาวผ่องดุจแสงสว่าง 3โมเสสและเอลียาห์ก็มาปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้น   กำลังเฝ้าสนทนากับพระองค์ 4ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซูว่า   “พระองค์เจ้าข้า   ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี   ถ้าพระองค์ต้องพระประสงค์   ข้าพระองค์จะทำเพิงสามหลังที่นี่   สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง   สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง   สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง”5เปโตรทูลยังไม่ทันขาดคำ   ก็บังเกิดมีเมฆสุกใสมาปกคลุมเขาไว้   แล้วมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า   “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา   เราชอบใจ  ท่านผู้นี้มาก    จงเชื่อฟังท่านเถิด”6ฝ่ายพวกสาวกเมื่อได้ยินก็ซบหน้ากราบลงกลัวยิ่งนักแต่พระสิริของพระเจ้าไม่ได้อยู่ที่โมเสส หรือ เอลียาห์ หรืออยู่ในแสงสว่าง แผ่นดินสะเทือน แล้วพระสิริอยู่ที่ไหน พระสิริที่พระเจ้าพูดกับโมเสสอยู่ที่ไหน  พระสิริของพระเจ้าก็อยู่ในพระเยซูคริสต์  พระเจ้าทรงตรัสว่า พระเยซูคือพระสิริของพระองค์ และพระเยซูคือ พระกรุณา  คือผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ  ผู้ทรงกริ้วช้า   คือความบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง  และคือความสัตย์จริง คือผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อมนุษย์กระทั่งพันชั่วอายุ  ผู้ทรงโปรดยกโทษการล่วงละเมิด   การทรยศ  และบาปของเขาเสีย นี่คือพระลักษณะของใคร ของพระเยซูคริสต์แต่เพียงผู้เดียว ผู้ทรงเป็นพระสิริของพระเจ้า โดยพระเยซูคริสต์ที่จะทำให้เราบริสุทธิ์  เอเฟซัส 1:18  18และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น   เพื่อท่านจะได้รู้ว่า   ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น   พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน   และรู้ว่า   มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศี (พระสิริ) อันอุดมบริบูรณ์เพียงไร  เราเป็นผู้ที่ได้รับสิทธินั้นที่จะรู้จักองค์พระสิริ เราคือผู้ที่ได้รับพระสิริแล้ว ที่ไม่ต้องเสียเวลาร้องทูลขอ  แล้วทำไมโมเสสถึงบอกพระเจ้าว่า “ขอโปรดสำแดงพระสิริของพระองค์แก่ข้าพระองค์เถิด”  เหตุผลอยู่ที่พระเจ้าตรัสเอาไว้ใน  อพพย 29:43  43ที่นั่นเราจะพบกับชนชาติอิสราเอล   และพลับพลานั้นจะรับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพระสิริของเรา คำว่า รับการชำระ หมายถึงการทำให้สะอาด พระเจ้าต้องการเสด็จมาหาชนชาติอิสราเอลและประทานการทรงสถิต และเมื่อพระองค์เปิดเผยพระสิริ พระเจ้าจะทำให้พวกเขาสะอาด  นี่เป็นถ้อยคำแห่งความหวังสำหรับชีวิตของเราอย่างแท้จริง เราที่กำลังต่อสู้อยู่ในบาปและปรารถนาที่จะมีเสรีภาพ ต้องการมีชีวิตที่สะอาด พระเจ้าบอกกับเราทุกคนในวันนี้ว่า วิหารคือชีวิตคือร่างกายนี้จะได้รับการชำระให้สะอาดโดยพระสิริ พระบุตรองค์เดียว พระเยซูคริสต์เจ้า แล้วเราจะหาการสำแดงเปิดเผยของพระคริสต์ได้จากที่ไหน โดยเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นจากพระคำ พระวาทะ  ยอห์น 1:14 14พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา   บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง   เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์   คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา  เราจะพบพระสิริในพระเยซูคริสต์โดยทางพระวาทะ พระวจนะ พระคำของพระเจ้า  อ.เปาโลกล่าวว่า เมื่อเราให้พระคำของพระเจ้าส่องสะท้อนชีวิตเรา การสำแดงของพระเยซูคริสต์ในชีวิตเราจะมากขึ้น ๆ เราจะเปลี่ยนไปจากพระสิริสู่พระสิริ  2 โครินธ์ 3:18  18แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว   จึงแลดูพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า   และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า   คือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป   เช่นอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระวิญญาณ  เราสามารถสัมผัสพระสิริได้ โดยไม่ต้องซ่อนตัวเอาผ้ามาคลุมหน้าไว้เหมือนอย่างในสมัยโมเสสแล้ว  การเปิดเผยสำแดงพระสิริของพระเจ้านี้จะทำให้เรามีกำลังในการดำเนินชีวิต จะเป็นโล่เป็นที่ลี้ภัย อิสยาห์ 4:5 -6  5และพระเจ้าจะทรงสร้างเมฆเพื่อกลางวันควันและแสงแห่ง เปลวเพลิงเพื่อกลางคืน   เหนือสถานทั้งสิ้นของภูเขาศิโยนและเหนือประชุมชนเมืองนั้น   เพราะจะมีหลังคาและกระโจมเหนือพระสิริ ทั่วสิ้น 6จะเป็นร่มกลางวันบังแดดและเป็นที่ลี้ภัยและที่กำบังพายุและฝน  พระวาทะ พระคำจะสามารถชำระเราให้สะอาดในชั่วโมงที่แย่ที่สุดในชีวิต อย่าให้ซาตานโกหกเราอย่าให้มันมาชี้หน้าและบอกว่าเรามันไอ้ขี้แพ้พูดมากี่ครั้งแล้วจะไม่ทำบาป ไม่ทำบาป ไม่เคยเห็นทำได้    ชี้หน้ามันกลับแล้วบอกมันไป ชั้นมีปุโรหิตสูงสุด และชั้นได้รับการชำระให้สะอาดแล้วโดยพระสิริของพระคริสต์  ให้เวลากับพระคำพระเจ้า เราต้องให้ชีวิตติดสนิทกับพระคำ  เมื่อวานได้ขับรถไปที่ซอย 6 กับพวก NGM ผ่านโรงงานยาสูบ น้องคนหนึ่งถามว่า ใบยาสูบก็น่าจะมีประโยชน์เพราะมันเป็นพืช ข้าพเจ้าก็บอก มันก็เหมือนใบกัญชา ใบกระท่อม กินเข้าไป เสพเข้าไปก็ติด อีกคนในรถก็พูดว่า ติดกันจังใบกัญชา ใบกระท่อม ทีไบเบิ้ลไม่เห็นติด  จงใช้เวลาที่จะรู้จักพระวาทะ พระเยซูคริสต์เจ้า มีความมั่งคั่งมากมายในพระวาทะพระคำขุดลงไปให้เจอทรัพย์สมบัตินั้น แสวงหาพระเจ้า มีเวลาที่ใกล้ชิดพระเจ้าในการอธิษฐาน และเมื่อเราผูกพันอยู่ในการทรงสถิต ตาของเราจะเปิดออกที่จะเห็นพระสิริของพระเจ้าที่เปิดเผยในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า และตราบนั้นเราจะได้รับการชำระที่จะเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้น และมากขึ้น และ เมื่อเราได้รับความรักความเมตตาจากพระเจ้ามากเท่าใด เราจะยิ่งรักและเมตตาผู้อื่นมากเท่านั้น และนั่นคือพระสิริ ที่พระเจ้าสำแดงกับเรา  ถ้าต้องการพระเจ้า จงแสวงหาพระเจ้า พระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่หมายสำคัญการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ อะไร ไม่ใช่การล้ม ไม่ใช่การวางมือ ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อต้านเรื่องนี้ แต่ต้องแสวงหาพระเจ้าก่อนสิ่งอื่นใด แสวงหาพระเจ้าด้วยสุดหัวใจ และปรารถนาการทรงสถิตในชีวิตและเราจะรู้จักและมีประสบการณ์กับพระสิริของพระเจ้า  2 พงศาวดาร 16:9   9เพราะว่าพระเนตรของพระเจ้าไปมาอยู่เหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้น   เพื่อสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์โดยเห็นแก่ ผู้เหล่านั้นที่มีใจจริงต่อพระองค์  เราต้องมีใจจริงที่จะแสวงหา รักษา การทรงสถิตของพระองค์ ในชีวิตของเรา

By admin