“ไม่เป็นเด็กอีกต่อไป”
ข่าวที่กำลังอยู่ในกระแสของสังคมไทยวันนี้คงหนีไม่พ้นเรื่อง ตุ๊กตา…. จนมีพระชื่อดังคนหนึ่งพูดประโยคหนึ่งน่าสนใจ คือคนไทยกำลังอยู่ในช่วงวัยและอารมณ์ไม่สมดุลกัน เป็นผู้ใหญ่แต่อยากเล่นตุ๊กตา มีบางคนก็พูดอย่างนี้ว่า ตอนเด็กไม่มีปัญญาซื้อ เลยไม่ได้เล่นตอนเด็ก พอเป็นผู้ใหญ่หาเงินได้ ก็เลยหาซื้อมาเล่นมาสะสมเพื่อระบายความอยากที่อัดอั้นไว้ตั้งแต่เด็ก คำพูดทั้งหมดนี้ คงหนีไม่พ้นความจริงที่ว่า แม้ตัวจะโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ใจยังเด็กอยู่ พระคัมภีร์มีแนวการสอนและทิศทางคือให้ผู้เชื่อทุกคน เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่เป็นเด็กอีกต่อไป 1 โครินธ์ 13:11 11 เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย นี่เป็นข้อพระคัมภีร์ที่ต่อท้ายกับนิยามความรักอย่างอากาเป้ ความรักที่สมบูรณ์ ความรักที่เป็นปัจจัยของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ความรักยังเป็นดรรชนีชี้ความไม่เป็นเด็ก เราคงเคยได้ยินคำว่า “เรียกร้องความสนใจ” แท้จริงก็คือการเรียกร้องความรัก เพราะไม่มีความรักจึงเรียกร้องความสนใจให้คนมารัก เราจะเห็นการเรียกร้องนี้มักจะมาจากเด็กๆ แต่สำหรับคนที่โตๆ ก็จะมีวิธีการเรียกร้องความสนใจที่แนบเนียนกว่าเด็กตัวเล็กๆ ซึ่งเด็กตัวเล็กๆใช้วิธีเดียวคือ ร้องไห้ แต่คนตัวโตที่ต้องการเรียกร้องความรัก จะใช้วิธีพูด วิธีทำ ด้วยเล่ห์เหลี่ยม (จัด) แล้วแต่ใครจะมีความชำนาญแค่ไหน เนียนแค่ไหน แต่ทั้งหมดนี้ก็คือการเรียกร้องความรัก
เมื่อวานนี้ น้องโฮ้ปมาเยี่ยมที่รร.ที่ข้าพเจ้าพักพร้อมกับพ่อแม่ของเขา ห้องพักข้าพเจ้าสามารถมองเห็นสระว่ายน้ำ น้องโฮ้ปก็อยากจะเล่นน้ำ ขออนุญาต พ่อก็ไม่ให้ ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน เราจะเห็นเวลาอยากได้อะไร น้องโฮ้ปจะร้องไห้ แต่ไม่ได้ผล วันนี้ น้องโฮ้ปเปลี่ยนวิธีเรียกร้องความสนใจด้วยการเรียกเด็กที่สระน้ำว่า พี่คับ พี่คับ แสดงว่าเขาเรียนรู้ว่า มันไม่ได้ผล ไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เขาใช้วิธีใหม่ แต่คนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ จะเลิกเรียกร้องความสนใจเพื่อจะรับความสนใจหรือรับความรัก แต่จะเป็นผู้แบ่งปันความรัก
เราสามารถสำรวจชีวิตของเราว่า เรายังเป็นเด็กที่เรียกร้องความรัก ความสนใจ อยู่อย่างไร และเราสามารถสำรวจความสามารถที่จะรัก LQ ในตัวเราว่าเรามีที่จะแบ่งปันให้กับคนรอบข้างได้หรือไม่ ขอย้ำว่า กิจกรรมและการรับใช้ไม่ใช่ตัวตัดสินว่าเรามีความสามารถที่จะรัก ความสามารถที่จะรักคือการแสดงออกด้วยความรัก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ยากที่จะรัก ตัวของเราจะรู้ว่า เราทำได้ขนาดไหนโดยไม่ได้ฝืนใจที่จะทำ และสิ่งที่กำลังต่อสู้กับตัวเอง ก็คือ การไม่เป็นเด็กอีกต่อไป คำเทศนาในวันนี้ ยังอยู่ภายใต้หัวข้อประจำปีของคริสตจักรปีนี้ คือ สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์
เอเฟซัส 4:11-16 11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง15 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆ ข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว
พระคัมภีร์ตอนนี้ ได้บอกให้เราได้รู้ว่า หากเรายังเป็นเด็กที่ไม่ยอมโตสักที เราจะกลายเป็นเหยื่อของการล่อลวงได้โดยง่าย คนเป็นผู้ใหญ่จะรู้เท่าทันคน แต่เด็กจะถูกหลอกได้ง่าย หลงเชื่ออะไรได้ง่าย ดังนั้น จากพระคัมภีร์เอเฟซัสตอนนี้ บ่งบอกถึงน้ำพระทัยพระเจ้าคือไม่ต้องการให้เราเป็นเหยื่อ ไม่ต้องการให้เราถูกหลอก แน่นอนทุกคนไม่อยากถูกหลอก แต่การไม่ต้องการถูกหลอกยังไม่พอ ยังต้องสามารถป้องกันการถูกหลอกได้ นั่นต่างหากที่สำคัญ ดังนั้น พระคัมภีร์ตอนนี้จึงกล่าวถึงการไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ซึ่งเราต้องเริ่มต้นจากประการแรก
1.ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้ใหญ่ เอเฟซัส 4:14ก
14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป
เราคงเคยเห็นเด็กเอาอุปกรณ์เครื่องใช้ของพ่อแม่มาใช้ตอนพ่อแม่ไม่อยู่ เช่นลิปสติก รองเท้า เดินเลียนแบบและพูดอย่างพ่อแม่ เป็นต้น ตอนเป็นเด็กก็ดูน่ารักดี แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วเอาเครื่องใช้ของลูกมาใช้ เช่น ขวด เสื้อผ้าเด็ก ผ้ากันเปื้อน ทำท่าทำทางแบบเด็กๆ ดูแล้ว ท่าจะบ้า ทำไมเราต้องตั้งเป้าที่จะเป็นผู้ใหญ่ ก็เพราะเรารู้ตัวว่าเรายังไม่เป็นผู้ใหญ่ เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก ข้าพเจ้าอยากเป็นผู้ใหญ่ ชอบคุยกับผู้ใหญ่ และสังเกตผู้ใหญ่ที่ดีๆน่าเลียนแบบหลายคน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองยังเป็นเด็ก เพราะเวลาพูด ไม่ค่อยเข้าท่า ข้าพเจ้าไม่ค่อยพอใจกับความไม่เข้าท่าของตนเอง แต่ทำไมผู้ใหญ่บางคนพูดเข้าท่า มีคนฟัง ข้าพเจ้าตั้งเป้าที่จะเป็นผู้ใหญ่ ด้วยการฝึกฝนตามผู้ใหญ่ที่ดีๆ อ.เปาโลก็ได้กล่าวกับคริสเตียนในคริสตจักรให้เลียนแบบอ.เปาโล เพราะท่านก็ตั้งใจที่จะเป็นผู้ใหญ่ เหมือนพระเยซูคริสต์ และเปาโลก็ได้กล่าวไว้ใน 1 โครินธ์ 13:11 11 เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย แสดงว่า อ.เปาโลรู้ตัวว่า แม้ตัวจะโต แต่ความเป็นเด็กยังแสดงออก เป็นอาการ เป็นคำพูด วิธีคิดอย่างเด็ก หาเหตุผลอย่างเด็ก อะไรคือสิ่งที่จะวัดว่า เราได้เลิกเป็นเด็กแล้ว การเลิกเป็นเด็กไม่ใช่เลิกทีเดียวทั้งหมด มันจะค่อยๆเลิกทีละอย่าง และค้นพบทีละอย่าง ทั้งสิ้นนี้อยู่ที่การสังเกต และการยอมรับความจริงของตนเอง ในกระบวนการบำบัดภายในของเอลียาห์เฮ้าส์ เป็นกระบวนการที่เราใช้ค้นหารากของปัญหา และส่วนใจหญ่เราจะพบรากนั้นมาจากวัยเด็ก การบำบัดก็คือการจัดการกับอาการเด็ก เราไม่สามารถที่จะเลิกอาการเด็กได้ ถ้าเราไม่ได้รับการปลดปล่อยจากอิทธิพลในวัยเด็ก เพราะเราจะคิดว่า ที่เราเป็นอยู่แล้วดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเลิก ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ยากอบกล่าวว่า ยากอบ1:23-24 23 เพราะว่าถ้าผู้ใดฟังพระวจนะ และไม่ได้ประพฤติตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ดูหน้าของตัวในกระจกเงา24 เพราะว่าเมื่อดูตัวเองแล้วก็ไป และก็ลืมในทันทีนั้นว่าตัวเองเป็นอย่างไร การตั้งใจที่จะเป็นผู้ใหญ่ คือการฟังพระวจนะและประพฤติตาม ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟัง เด็กมักจะฟังแล้วลืม เอาหูทวนลม เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ความตั้งใจเป็นผู้ใหญ่ มีเป้าหมายคือการเป็นผู้ใหญ่อย่างพระคริสต์ ไม่ใช่ผู้ใหญ่อย่างโลกนี้ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างของการเป็นผู้ใหญ่ พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงพระเยซูในวัยเด็ก พระเยซูในวัยนั้นทรงใช้เวลากับการสนทนากับผู้ใหญ่ ลูกา 2:46-47 46 ครั้นหามาได้สามวันแล้ว จึงพบพระกุมารนั่งอยู่ในพระวิหารท่ามกลางพวกอาจารย์ ฟังและไต่ถามพวกอาจารย์เหล่านั้นอยู่47 คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจในสติปัญญาและคำตอบของพระกุมารนั้น การตั้งเป้าที่จะเป็นผู้ใหญ่อย่างพระเยซู คือการใช้เวลา ใช้สติปัญญากับคนในพระวิหารท่ามกลางพวกอาจารย์ ฟังและไต่ถาม
วันนี้ เราอยู่ในโบสถ์ แต่เราเวลาของเราไปไว้กับรายการตลกหน้าทีวีที่ตั้งอยู่ในโบสถ์ เราเอาเวลาที่เราอยู่ในโบสถ์ไปอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ เราไม่ได้ใช้เวลากับคนที่อยู่ในโบสถ์ด้วยกัน คำพูด คำถาม ที่เราใช้ในเวลาอยู่ด้วยกัน เป็นเรื่องของแฟชั่น ธุรกิจ การท่องเที่ยว แทนที่จะเป็นพระคำพระเจ้า ความเข้าใจในพระคำพระเจ้า เราคงต้องกลับใจใหม่เรื่องนี้ทั้งโบสถ์ มิฉะนั้น โบสถ์เราจะเต็มไปด้วยเด็กทารกฝ่ายวิญญาณ ที่ไม่โตสักที เรากำลังเรียกร้องหาความรักในวัตถุสิ่งของที่มาชดเชยอยู่ นอกจากการตั้งเป้าที่จะไม่เป็นเด็กแล้ว เด็กยังมีพฤติกรรมชอบอยู่กับสิ่งสมมติ เราจะเห็นเด็กพูดคนเดียว เด็กพูดกับตุ๊กตา เด็กสมมติตนเองเป็นคนนั้นคนนี้ เด็กคิดเองเออเอง ดังนั้น การไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ต้องออกจากสิ่งสมมติ
2.อยู่ในความจริงตลอดเวลา เอเฟซัส 4:11ข
….ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่างและด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ถ้าเราอยู่ในความจริงตลอดเวลา ไม่มีทางที่เราจะถูกหลอกได้ ความหมายก็คือว่า การถูกหลอกเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ได้อยู่ในความจริง เรากำลังอยู่ในการหลอกลวง สิ่งสมมติ อุปโลกน์ เข้าใจเอง จินตนาการเองว่าเป็นจริง และหลงไปกับกระแสค่านิยมของโลกนี้
มัทธิว 5:3737 จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไป มาจากความชั่ว ขอให้เราอยู่ในความจริงตลอดเวลา ขอให้เราฝึกที่จะอยู่ในความจริง เมื่อสิ่งหลอกลวงเข้ามา เราจะรู้ทันทีว่าไม่ใช่ เราจะไม่ ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่างและด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง เริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน จงอยู่ในความจริง กับพระวจนะของพระเจ้าที่เป็นความจริง จงอยู่กับคำสั่งสอนที่เป็นความจริง ด้วยการพิสูจน์ทุกอย่าง 1เธสะโลนิกา 5:21 21 จงพิสูจน์ทุกสิ่ง สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น การพิสูจน์ไม่ใช่การจับผิด หรือใช้อารมณ์ของตนเองเป็นที่ตั้งว่า ชอบหรือไม่ชอบ แต่ให้ใช้พระวจนะ คนที่มีพระวจนะ คนที่เป็นผู้ใหญ่ ไม่มีอคติ คนที่มีเสรีภาพจากการเป็นทาสของค่านิยมของโลกนี้ เป็นองค์ประกอบในการพิสูจน์ เพื่อเราจะได้ความจริงที่ปราศจากาเล่ห์กลอุบายของมนุษย์
มนุษย์เรามีธรรมชาติบาป ก็คือ ทิฐิ ความเย่อหยิ่ง ซึ่งได้อยู่เบื้องหลังความพยายามที่จะเป็นที่ยอมรับ ความพยายามที่จะไม่ให้ตนเองถูกปฏิเสธ ดังนั้น จะมีมนุษย์ประเภทที่ผิดแล้วยังพาคนอื่นผิดอีก ไม่ยอมหันกลับ ไม่ยอมรับว่าตนเองไปผิดทาง มนุษย์พวกนี้จะพยายามบิดเบือนความจริง เราได้เห็นตัวอย่างที่ดีในพระคัมภีร์ของคนๆหนึ่ง คือเปาโล เมื่อเขาพบกับพระเยซูคริสต์บนเส้นทางไปเมืองดามัสกัส เป้าหมายคือการจับคริสเตียน ต่อต้านคริสเตียน เพราะเปาโลเข้าใจในเวลานั้นว่า พวกคริสเตียนคือพวกที่ต่อต้านพระเจ้าที่เปาโลกำลังรับใช้ เปาโลคิดว่า เขากำลังรับใช้พระเจ้า แต่เมื่อพระเยซูทรงหยุดเปาโลในระหว่าทางนั้น เปาโลได้พบกับความจริงว่า พระเยซูที่คริสเตียนกำลังเชื่อนั้น เป็นความจริงของแท้ เปาโลหันกลับทันที เปาโลตาบอดต้องอาศัยคนจูงมืดนำทางไปเมืองดามัสกัส และยอมรับการอธิษฐานจากคริสเตียนในเมืองนั้น ที่ชื่ออานาเนีย เปาโลยอมอยู่ในความจริง ยอมเปลี่ยนแปลง และยอมเสียหน้า ยอมเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตใหม่ จากเซาโลเป็นเปาโล ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงโหมดการดำเนินชีวิตอยู่ในความจริง และยอมรับว่าตนเองไปผิดทาง ไม่ง่าย เพราะถูกต่อต้าน ถูกระแวง สงสัย ถูกปฏิเสธ ถูกเข้าใจผิด แต่เปาโลยืนหยัดจนมีชัยชนะ เพราะการอยู่ในความจริงตลอดเวลานับจากวันที่พบกับพระเยซู
เราทั้งหลายเปลี่ยนโหมดการดำเนินชีวิตมาอยู่ในความจริงตลอดเวลาแล้วหรือยัง หรือเข้าๆออกๆ เดี๋ยวจริงบ้างไม่จริงบ้าง 1เธสะโลนิกา 5:21 21 จงพิสูจน์ทุกสิ่ง สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น คนแรกที่ต้องรับการพิสูจน์ ก็คือตัวเราเองนั่นแหล่ะ คำว่า พิสูจน์ ในรากศัพท์แปลว่า ตรวจสอบ ทดสอบ อย่าท้อใจหากพบว่าตนเองไม่ผ่านการพิสูจน์ เราต้องตรวจสอบตัวเอง เพื่อจะรู้ว่าเราอยู่ตรงไหน และจะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างไร เปาโลถูกพิสูจน์โดยพระเยซู แล้วพบกับคำว่า เจ้าข่มเหงเราทำไม่ น่าช็อกและน่าตกใจ ที่พระเจ้าที่เปาโลตั้งใจปรนนิบัติตอบกลับมาว่า นอกจากเปาโลจะไม่ได้รับใช้พระเจ้าแล้ว ยังข่มเหงพระองค์อีกด้วย นั่นคือการรับใช้ของเปาโล คือเซาโลในเวลานั้น สอบตก แต่ก็ทำให้เปาโลต้องเข้าสู่กระบวนการสอบใหม่ และเปาโลกตั้งใจที่จะสอบผ่าน คือการอยู่ในความจริงตลอดเวลา เลิกคิดเอง เออเอง สมมติเองว่าพระเจ้าจะพอใจ
3.พูดความจริงด้วยใจรัก เอเฟซัส 4:15
15 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์
ที่นี่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า พูดความจริง อย่าโกหก และความจริงจะทำให้เราเจริญเติบโตสู่พระเยซูคริสต์ผู้เป็นศีรษะ สำนวนนี้หมายถึง การสำแดงพระเยซูคริสต์ด้วยคำพูดของเรา สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเราทำผิดเรื่องคำพูดอยู่บ่อยๆก็คือการขาดความรู้ ขาดความจริงในสิ่งที่พูด พูดโดยไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน ไม่ขยันค้นหา ศึกษา คิดเองเออเอง ทำให้ทำผิดเรื่องการพูดเกินจริงก็มี คนไทยเราพูดโกหกเป็นธรรมชาติ แบบไม่ตั้งใจ ไม่ใส่ใจ เช่นถามไปไหน ตอบว่า เปล่า เรามักจะติดคำพูดที่ปฏิเสธไว้ก่อน เรากลัวผิดจนทำผิดเรื่องคำพูด ประโยคที่คนไทยบางคนแต่งขึ้นมาใช้จนฮิต คือประโยคที่ว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนพูดอาจตายเพราะพูดความจริง เลยทำให้คนไทยเราจำนวนไม่น้อย กลัวตายที่จะพูดความจริง พระคัมภีร์เอเฟซัสที่กล่าวถึงการไปสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ได้กล่าวชัดเจนถึงการพูดความจริง ความจริงที่แสดงออกทางคำพูด แน่นอนต้องมีความกล้าหาญ เพราะความจริงของพระเยซูคริสต์ทำให้คนไม่น้อยไม่อยากฟัง เพราะมันไม่ถูกใจ ในพระคัมภีร์ได้บันทึกถึงเปโตรพูดความจริงของพระเยซูด้วยใจกล้าหาญ คนฟังรู้สึก กิจการ 2:37-38 37 เมื่อคนทั้งหลายได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลบปลาบใจ จึงกล่าวแก่เปโตรและอัครทูตอื่นๆ ว่า “พี่น้องเอ๋ย เราจะทำอย่างไรดี”38ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า “จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมาในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านเสีย แล้วท่านจะได้รับพระราชทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ การพูดความจริงภายใต้การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือการพูดด้วยความกล้าหาญ คือคำพูดที่เข้าในจิตใจคน และการตอบสนองคือการกลับใจใหม่ ดังนั้น เป้าหมายการพูดความจริงด้วยใจรัก คือการนำคนให้มาถึงการกลับใจใหม่ ขอให้เราเข้าใจว่า บริบทของแต่ละคนต่างกัน บริบทของเราไม่เหมือนกับเปโตรเมื่อสองพันปีที่แล้ว บริบทของคนไทยไม่เหมือนกับคนยิว แต่เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งความจริงของพระเยซูอยู่กับเรา พระองค์จะนำพาให้เรามีถ้อยคำที่จะนำคนมาถึงเป้าหมายเดียวกัน คือ กลับใจใหม่ เพียงแต่ให้เราระมัดระวังคำพูดของเราให้พูดออกมาด้วยความจริง กษัตริย์ดาวิดได้กล่าวในหนังสือสดุดีว่า
สดุดี 141:3 3 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงตั้งยามเฝ้าปากของข้าพระองค์ ขอรักษาประตูริมฝีปากของข้าพระองค์ แม้แต่คนที่ระมัดระวัง ก็ยังไม่ไว้ใจปากและลิ้นของตนเอง สุภาษิต 12:19 19 ริมฝีปากที่พูดจริงทนอยู่ได้เป็นนิตย์ แต่ลิ้นที่พูดมุสาอยู่ได้เพียงประเดี๋ยวเดียว
สุภาษิต 15:4 4 ลิ้นที่สุภาพเป็นต้นไม้แห่งชีวิต แต่ลิ้นตลบตะแลงทำน้ำใจให้แตกสลาย
สุภาษิต17:4 4 ผู้กระทำความชั่วฟังริมฝีปากชั่วร้าย และคนมุสาให้ความสนใจแก่ลิ้นหายนะ
สุภาษิต 21:6 6 การได้คลังทรัพย์มาด้วยลิ้นมุสา ก็คือการไล่จับของอนิจจังจนติดบ่วงความตาย
หนังสือสุภาษิตได้กล่าวถึงการใช้ลิ้นกับการโกหก ส่งผลเสีย อยู่ได้ไม่นาน ทำลาย พบกับความหายนะ และอนิจจัง ความหมายทั้งสิ้น คงจบก่อนวัย ไปไม่ถึงความเป็นผู้ใหญ่ หรือไปไม่ถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์ ขอให้เราทั้งหลายไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ด้วยการ
1.ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้ใหญ่
2.อยู่ในความจริงตลอดเวลา
3.พูดความจริงด้วยใจรัก