“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…รู้ว่าอะไรดียอดเยี่ยม”
มีคำๆหนึ่งที่คนเรามักจะใช้เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ผิดพลาด ล้มเหลว ด้วยคำว่า ไม่รู้ เป็นการบอกกล่าวว่า ถ้ารู้ก็คงไม่ผิดพลาดล้มเหลว คำว่า ไม่รู้ ถูกใช้เป็นข้อแก้ตัว ถูกใช้เพื่อให้อภัย และถูกใช้เพื่อเรียนรู้ (ซึ่งไม่ค่อยถูกใช้เท่าไร) ความไม่รู้สร้างความเสียหายมากมาย และยิ่งกว่านั้น รู้ไม่พอ รู้ไม่สมบูรณ์ก็ยิ่งสร้างความเสียหาย ในยุคของเราจึงมีการรวบรวมความรู้ไว้ในสาขาวิชาต่างๆมากมาย และมีการอัพเดตความรู้ใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ แสดงว่า สิ่งที่รู้ในวันนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในวันข้างหน้า เช่น การกินไข่ ที่เมื่อก่อน ไม่สามารถกินได้ทุกวัน วันนี้ ความรู้ใหม่ สามารถกินได้ทุกวัน อะไรที่สอนว่าทำแล้วไม่เป็นอะไร ต่อมาค้นพบว่า เป็นผลเสียต่อสุขภาพก็มี วิทยาการใหม่ๆทำให้เราค้นพบความจริงของสรรพสิ่งต่างๆมากขึ้น
1โครินธ์ 13:9,12 9 เพราะความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์ และการเผยพระวจนะนั้นก็ไม่สมบูรณ์…12 เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า
คำว่า ไม่สมบูรณ์ที่อ.เปาโลกล่าวถึงในพระคัมภีร์ตอนนี้ คือความรู้แค่บางส่วน แค่เป็นชิ้นๆเหมือนจิ๊กซอว์เอามาปะติดปะต่อเท่านั้น มุมมองของเราจำกัด มุมมองของเราเป็นเพียงพื้นที่ราบ แต่มุมมองของพระเจ้าเป็นแบบที่เรียกว่า เฮลิคอปเตอร์วิว พระเจ้าทรงมองเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตในเวลาเดียวกัน มนุษย์อยากรู้อนาคต อาชีพหมอดูก็เลยขายดี เพราะมนุษย์คาดหวัง ที่จะรู้ว่า อะไรดียอดเยี่ยมสำหรับตนเอง หมอดูก็คือหมอเดา เห็นแค่บางชิ้นส่วนของชีวิตเท่านั้น พระเจ้าทรงต่อต้านการเป็นหมอดู ดังนั้น คริสเตียนต้องไม่ดูดวง ไม่หลงไปกับคนเป็นหมอดู อดีตเราอาจจะเคยไปหาหมอดู และเชื่อหมอดู แต่เวลานี้ เราเป็นคริสเตียน เราไม่ต้องพึ่งพาหมอดูอีกต่อไป เพราะว่าชีวิตของเราได้ถูกเปลี่ยนไป ไม่เป็นไปตามดวงหรือเคราะห์ต่างๆอีกต่อไป เราไม่ต้องพึ่งพาหมอดูหมอเดา เราก็สามารถที่จะรู้ว่า อะไรดียอดเยี่ยมได้ พระคัมภีร์ได้สอนเราอย่างนี้
โรม 12:2 2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม
เป็นเรื่องน่ายินดีและตื่นเต้น เมื่อพระคัมภีร์ตอนนี้บอกกับเราว่า เป็นความคาดหวังของพระเจ้าสำหรับคริสเตียนที่จะไปถึงการรู้ว่า อะไรดียอดเยี่ยม การคาดหวังของพระเจ้า แน่นอน จะนำการสนับสนุนต่างๆมาจากพระองค์เพื่อเราทั้งหลายจะไปถึงการรู้ว่า อะไรดียอดเยี่ยม คำว่า ดียอดเยี่ยม ในภาษากรีกใช้คำว่า Perfect แปลว่า สมบูรณ์
พระคัมภีร์โรมตอนนี้ ได้บอกถึงทิศทางของการไปสู่การรู้ว่าอะไรดียอดเยี่ยม เริ่มต้นจาก รู้น้ำพระทัยพระเจ้า และจะรู้ว่า อะไรดี คำว่า อะไรเป็นที่ชอบพระทัยก็จะตามมา ซึ่งรากศัพท์ภาษากรีกคำว่า อะไรเป็นที่ชอบพระทัย แปลว่า เป็นสิ่งที่พระเจ้ายอมรับได้ แล้วจึงจะมาถึงคำว่า ดียอดเยี่ยม สิ่งที่ยอมรับได้ หมายถึงพระเจ้ายอมรับได้ ไม่ใช่แค่มนุษย์ยอมรับได้อย่างเดียว
สุภาษิต 3:4 4 ดังนั้น เจ้าจงหาความพอใจ และชื่อเสียงดี ในสายพระเนตรพระเจ้า และในสายตามนุษย์
ก่อนจะไปถึงคำว่า ดียอดเยี่ยม จะต้องผ่านการคิวซี (มาตรฐานของพระเจ้า) ฉบับแปล 2011 แปลคำว่า พอใจ เป็นคำว่า โปรดปราน แสดงถึงความชื่นชอบ ชื่นชมในสายตาของพระเจ้าและของมนุษย์ หากดูจากลำดับจะเห็นว่า ต้องได้รับการยอมรับจากพระเจ้าก่อน ลำดับต่อไปค่อยเป็นมาจากมนุษย์
หนังสือโรมบทที่ 12 นี้ ได้เรียงลำดับเส้นทางสู่การรู้ว่าอะไรดียอดเยี่ยม ต้องเริ่มต้นจากการเรียนรู้ ที่เรียกว่า รู้จักน้ำพระทัยพระเจ้า มนุษย์เกิดมาจะต้องรับการสอน ไม่ใช่เกิดมาแล้วจะรู้จักน้ำพระทัยพระเจ้าเลย โมเสสเขียนพระบัญญัติ กฏเกณฑ์ และกฎหมายมากมายให้คนอิสราเอลก่อนคนอิสราเอลจะเข้าสู่แผ่นดินคานาอัน (แผ่นดินที่อุดมไปด้วยน้ำผึ้งและน้ำนม) ย้ำหนักย้ำหนา ก็คือให้คนอิสราเอลยำเกรงพระเจ้า และทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า และสอนลูกหลานให้รู้จักพระเจ้า สืบทอดต่อๆกัน เอาน้ำพระทัยพระเจ้าติดไว้ที่เสาเรือน ประตู ข้อมือ หว่างคิ้ว อยู่ตรงไหนของบ้านก็มองเห็นน้ำพระทัยพระเจ้า (พระบัญญัติ กฏเกณฑ์ และกฎหมาย พระวจนะของพระเจ้า) และในยุคของเรา เราได้พบว่า คนยิวมีความเป็นอัจฉริยภาพมากที่สุดในโลก ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาวิชาต่างๆมากที่สุดในโลก เพราะการสืบทอดการดำเนินชีวิตที่รู้จักน้ำพระทัยพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา นี่อาจเป็นโมเดลของคนที่รู้ว่า อะไรยอดเยี่ยม ได้หรือไม่
สุภาษิต9:9 9 จงให้คำสั่งสอนแก่ปราชญ์และเขาจะฉลาดยิ่งขึ้น จงสอนคนชอบธรรมและเขาจะเพิ่มการเรียนรู้มากขึ้น
ความหมายของพระธรรมสุภาษิตตอนนี้กำลังบอกว่า ยิ่งเพิ่มการเรียนรู้ยิ่งฉลาดมากขึ้น ในปัจจุบัน มีคำที่เรียกว่า อัจฉริยะสร้างได้ ไม่ใช่เกิดมาฉลาด แต่การเรียนรู้ทำให้เขาฉลาด จะเห็นว่า เส้นทางของการเป็นคนฉลาดของโลกนี้ กับพระคัมภีร์ใช้คำว่า เรียนรู้เหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันก็ตรงมาตรฐานในการตัดสินว่า ฉลาดหรือโง่นั้น ต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะที่มาของมาตรฐานของมนุษย์ เรื่องการตัดสินความฉลาด อยู่ที่ความพอใจของมนุษย์ แต่มาตรฐานการตัดสินว่าฉลาดของพระคัมภีร์อยู่ที่ความพอพระทัยของพระเจ้า ขอให้เราทั้งหลายเลิกดำเนินชีวิตตามอย่างวิถีของชาวโลก คนส่วนใหญ่ทำกัน คือทำให้มนุษย์พอใจฝ่ายเดียว โดยไม่มีความพอพระทัยพระเจ้ามาเกี่ยวข้อง คริสเตียนจะรู้ว่าอะไรดียอดเยี่ยมต้องมีมาตรฐานของพระเจ้าเป็นเครื่องชั่งตวงวัดเสมอ บทเรียนสำหรับเราในวันนี้ ในเส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์….รู้ว่าอะไรดียอดเยี่ยม คือ ทิศทางเป้าหมายของเราทุกคน จำเป็นที่เราจะต้องเข้าสู่กระบวนการที่จะทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย
โรม 12:1-2 1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม
กุญแจสำคัญที่จะรู้ว่า อะไรดียอดเยี่ยม Perfect อยู่ที่การตัดสินสองเรื่อง
1.ความพอใจหรือความพอพระทัย โรม 12:1
1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย
มีอำเภอหนึ่งที่คนไทยชอบไปอยู่ คือ อำเภอใจ จนมีสโลแกนที่ว่า ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ ข้าพเจ้าเข้าไปในบล็อกที่ตั้งกระทู้ว่า คิดยังไงกับสโลแกนที่ว่า ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ เรายอมรับคำสโลแกนนี้ไม๊ ในฐานะที่เราเป็นคนไทย บางคนก็ว่า ไม่ยอมรับ สโลแกนนี้สำหรับคนไทยบางคนที่เอาไว้แก้ตัว บางคนว่า มีไว้แค่สบายๆ ไม่จริงจังเท่าไร มีคนหนี่งบอกว่า การทำตามใจตนเองมีในทุกชาติทุกประเทศ (อันนี้ ค่อนข้างปกป้องตนเองมากหน่อย แต่สำหรับชาติญี่ปุ่น คงไม่ใช่ เพราะเราได้เห็นคนญี่ปุ่นมีชื่อเสียงเรื่องวินัยมาก ไม่ทำอะไรตามใจตนเองสำหรับส่วนรวม และข้าพเจ้าก็เห็นด้วยกับคำว่า วินัย ซึ่งมีความเห็นของคนๆหนึ่งเขียนได้ดี ข้าพเจ้าอยากจะเอามาอ่านให้ฟัง
“ถ้าคนเข้าใจความหมายของเสรีภาพไม่ถูกต้อง เสรีภาพนั้นก็จะมาขัดแย้งกับวินัย เหมือนกับในบางสังคมที่มีปัญหาการขาดวินัยเกิดขึ้น เพราะคนไปยึดถือเสรีภาพในทางที่ผิดคือไม่ถึงความหมายของเสรีภาพนึกว่า เสรีภาพ คือการทำได้ตามใจชอบ เพราะฉะนั้นการตามใจตนเองได้ ทำตามใจชอบได้ ก็คือการมีเสรีภาพ แล้วบอกว่าเสรีภาพคือองค์ประกอบของประชาธิปไตย เมื่อเข้าใจ เสรีภาพอย่างนี้ วินัยก็มีไม่ได้ กลายเป็นว่า คนพวกนี้ เอาข้ออ้างจากหลักการของประชาธิปไตยมาทำลายประชาธิปไตย ฉะนั้นเมื่อคนไม่เข้าถึงสาระของประชาธิปไตยก็เกิดความขัดแย้งในตัวมันเองนี่คือการเข้าใจความหมายของเสรีภาพผิด”
ไม่รู้ว่าคนเขียนเป็นคริสเตียนหรือเปล่า แต่พี่น้องเห็นด้วยไม๊กับความเห็นของคนๆนี้ การทำอะไรตามใจคือไทยแท้ สำหรับบางคน และไม่ควรที่จะมีในท่ามกลางคนที่เรียกตนเองว่า เป็นคริสเตียนไทย พระคัมภีร์ก็ได้กล่าวไว้ในทำนองเดียวกัน อย่างนี้
กาลาเทีย 5:13 13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านก็เพื่อให้มีเสรีภาพ อย่าเอาเสรีภาพของท่านเป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด
สำหรับคริสเตียน ต้องเลือกที่จะดำเนินชีวิตที่ไม่ตามใจตนเองแล้ว ยังต้องเลือกที่จะดำเนินชีวิตตามความพอพระทัยของพระเจ้า และคนที่เป็นคริสเตียนที่เติบโต จะรู้และมีประสบการณ์กับสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งมักจะสวนทางกับความพอใจของตนเอง และในการเรียนรู้นั้น ทำให้ชีวิตคริสเตียนที่เติบโตจะมีวิถีการดำเนินชีวิตที่พระเจ้าพอพระทัยเป็นอันดับแรก นั่นแปลว่า เขาต้องตัดสินใจอยู่ทุกวัน ตลอดเวลา เพราะชีวิตการเป็นคริสเตียน ก็ยังต้องต่อสู้กับความต้องการของเนื้อหนัง ไม่ใช่ว่า จะกลายเป็นทูตสวรรค์ ไม่ต้องกิน ไม่ต้องใช้ ไม่ต้องนอน ไม่ต้องพักผ่อน ไม่มีความรู้สึกอยากอีก แต่ในทางตรงกันข้าม การเป็นคริสเตียนยิ่งต้องพบกับความยุ่งยาก ที่ต้องตัดสินใจเลือก ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย หรือตัวเองพอใจ เพราะฉะนั้น ขอให้เราทั้งหลาย ที่เป็นคริสเตียน ออกจากโลกสวยที่มีคริสเตียนไม่น้อยสอนเราว่า แล้วเราจะสวยได้ภายในข้ามคืน เส้นทางนี้ มาราธอนค่ะ และยังมีอุปสรรคอีกเยอะแยะ รวมทั้งหนาม ก้อนหินที่เราเป็นคนเก็บ เป็นคนปลูกไว้รอบตัวเรานั่นเอง การจะรู้ว่าอะไรดียอดเยี่ยม จึงต้องเรียนรู้ทุกวัน ทุกเวลา ใส่ใจกับรายละเอียดของชีวิต ที่ไม่ใช่แค่ด้านดี แต่ด้านเลว ด้านอ่อนแอของตนเองที่ต้องจัดการด้วย อ.เปาโลได้ใช้สำนวนว่า
1โครินธ์ 9:27 27 แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้
สำนวนการจัดการกับความต้องการของเนื้อหนังที่อ.เปาโลใช้คำว่า ทุบตีร่างกาย แปลว่า ควบคุมจิตใจของตนเองมิให้ไปตามอำเภอใจ ความจริงอ.เปาโลใช้คำว่า เสรีภาพ นั่นเอง อ.เปาโลกล่าวในพระคัมภีร์ตอนอื่นถึงเสรีภาพหรือสิทธิส่วนบุคคล ที่อ.เปาโลมี แต่ไม่ใช้ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น และไม่เป็นภาระ และเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเชื่อแน่ว่า นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
เราอยู่ในสังคมที่เรียกร้องสิทธิ์ และใช้สิทธิ์เต็มที่จนไม่สนใจว่า คนอื่นจะถูกละเมิดสิทธิ์หรือเป็นภาระสำหรับคนอื่นหรือไม่ คนไทยมีคำว่า เกรงใจ ภาษาอังกฤษไม่มีคำแปล และ ฝรั่งมีคำว่า Integrity ซึ่งภาษาไทยก็ไม่มีคำแปลที่ตรงตัว จึงมักจะแปลว่า คุณธรรมหรือ ซื่อสัตย์กับตนเอง เกรงใจกับซื่อสัตย์ต่อตนเอง หากสองคำนี้ ถ้าเอามารวมกันหารสอง จะทำให้สังคมน่าอยู่ และเปอเฟ็คขึ้น
และข้าพเจ้าคิดว่า วิถีชีวิตคริสเตียนที่จะสามารถมีทั้งคำว่า เกรงใจกับซื่อสัตย์ได้ มีหนทางเดียวคือ ถวายตัวของคริสเตียนให้กับพระเจ้า ทำให้พระเจ้าพอพระทัย แล้วเราจะมีคำสองคำนี้ในตัวเรา เพราะเราได้ให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง แทนตัวเองเป็นศูนย์กลาง การถวายตัว คือการยอมสลายความปรารถนาของตนเอง และยอมที่จะให้ชีวิตของตนเองอยู่ภายใต้พระหัตถ์ของพระเจ้า ว่าพระเจ้าจะนำอย่างไร ให้ทำอะไร
มีคำแนะนำคริสเตียนเวลาจะตอบโต้กับคนอื่น ให้คิดว่า ถ้าเป็นพระเยซู พระองค์จะทำอย่างไร ถ้าเป็นพระเยซูตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ พระองค์จะพูดว่าอะไร เพราะพระเยซูมักจะตรัสว่า พระองค์กระทำทุกอย่างเพื่อพระบิดาทรงพอพระทัย แม้กระทั่งในคืนสุดท้ายก่อนที่พระแยซูจะถูกจับ ถูกตรึงที่กางเขน พระองค์ต้องต่อสู้กับความต้องการตามใจตนเอง
ลูกา 22:42 “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดีอย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด”
ทุกคนต้องตัดสินใจ ว่า จะเอาความพอใจของตนเอง หรือความพอพระทัยของพระเจ้า ข้าพเจ้าของย้ำ เราทุกคนอยู่จุดที่ต้องตัดสินใจนี้ ทุกคน
2.จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน โรม 12:2
2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม
มาถึงคำนี้ หลายคนอาจคิดว่า ตนเองมีเสรีภาพที่จะเลือกว่า ไม่เปลี่ยนก็ได้ ยังคงรักษาสถานะ ชีวิตเก่าไว้อย่างเต็มร้อย หรือห้าสิบห้าสิบ หรือ เปลี่ยนสิบเปอร์เซ็น เป็นการถวายสิบลดของชีวิตที่เปลี่ยนแค่สิบเปอร์เซ็นก็พอ แต่หากเราดูข้อพระคัมภีร์ตอนนี้ ต่อเนื่องจากข้อ 1 ในโรมบทที่ 12 เราจะพบคำว่า อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ คือกฏเกณฑ์ ที่ต้องทำ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ คือ กฎฝ่ายวิญญาณที่คริสเตียนทุกคนต้องตอบสนอง แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ คือผลลัพธ์ ผลดีที่จะได้รับจะตามมา มีคริสเตียนไม่น้อยคิดอยากได้สิ่งที่ไม่มีวันเกิดขึ้น คือนิสัยที่เปลี่ยนใหม่ แต่พฤติกรรมไม่เลิก และไม่ยอมอยู่ในกติกาของการเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมรับการตีสอนของพระเจ้า (วินัยใหม่) บทเรียนชีวิตที่พระเจ้าให้เกิดขึ้น ไม่ยอมเรียนรู้ แต่แก้ตัว และแถไปวันๆ มีเหตุผลข้างๆคูๆ เหตุผลที่พระเจ้าไม่ยอมรับและมนูษย์ดีๆทั้งหลายก็ไม่ยอมรับ แต่จะเอาคนส่วนใหญที่เสียแล้วมาเป็นพวก อย่างนี้ เรียกว่า จะต้องเจอคำว่า จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน เหมือน เวลาพ่อแม่จะตีสั่งสอนเด็กดื้อ จะมีคำพูดว่า จะฟังหรือไม่ฟัง จะทำตามหรือไม่ทำตาม จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ล้วนเป็นคำที่ต้องบังคับด้วยการตีสอน ถ้าการตีสอนมาจากพระเจ้า จงรู้เถิดว่า พระองค์กำลังสื่อสารกับเราว่า จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน
ฮีบรู 12:1-11 10 เพราะบิดาที่เป็นมนุษย์ตีสอนเราเพียงชั่วเวลาเล็กน้อยตามความเห็นดีเห็นชอบของพวกเขา แต่พระองค์ทรงตีสอนเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อเราจะมีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์11 การตีสอนทุกอย่างดูไม่น่ายินดีเลยในเวลานั้น แต่น่าเศร้าใจ แต่ภายหลังก็ก่อให้เกิดผลคือสันติสุขและความชอบธรรม แก่บรรดาคนที่ถูกฝึกฝนโดยการตีสอนนั้น (2011)
การตีสอนของพระเจ้า ก็คือการนำลูกของพระองค์ไปให้ถึงการรู้ว่าอะไรดียอดเยี่ยม ในที่นี้ คือการมีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระเจ้าและเกิดผลของชีวิตที่มีสันติสุขและความชอบธรรม แต่นี่คือการถูกฝึกด้วยการตีสอน ข้าพเจ้ามักอธิษฐานกับพระเจ้าว่า อย่าให้ข้าพเจ้าต้องเรียนรู้ว่าอะไรดียอดเยี่ยมจากการตีสอน แต่ขอให้ข้าพเจ้าเรียนรู้แบบปกติดีกว่า แบบลูกที่เชื่อฟัง ไม่ใช่อย่างลูกที่ดื้อ และเจอกับคำว่า จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ขอให้เราทั้งหลายจงตระหนักว่า พระเจ้าคาดหวังเราให้ไปถึงการรู้ว่า อะไรดียอดเยี่ยมในชีวิตของเรา อาเมน
“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…รู้ว่าอะไรดียอดเยี่ยม”
1.ความพอใจหรือความพอพระทัย
2.จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน