“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์….ใส่ใจสุขภาพดีทุกด้าน”
แล้วอะไรคืออุปสรรค คำตอบคือสุขภาพที่แย่ ไม่แข็งแรง อะไรคือสาเหตุ คำตอบคือ ความไม่ใส่ใจกับสุขภาพ หรือขาดความรู้ในการดูแลสุขภาพ คำว่า สุขภาพดีทุกด้าน องค์การอนามัยโลกได้ให้
คำนิยามไว้ ได้แก่
สุขภาพจึงมีความหมายที่เน้นความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม นั่นคือ ต้องมีสุขภาพกาย สุขภาพจิต และสุขภาพทางสังคมครบทุกด้าน และในที่ประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลก เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2541 ได้ตกลงเติมคำว่า “Spiritual Well-being” หรือสุขภาวะทางจิตวิญญาณเข้าไป ในคำจำกัดความของสุขภาพเพิ่มเติม จึงอาจกล่าวได้ว่า สุขภาพ หมายถึง ภาวะของการดำรงชีวิตที่มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ รวมทั้งการอยู่ร่วมกันในสังคมได้ด้วยดี อยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม และการใช้สติปัญญา
ความหมายของ “สุขภาพ” ในปัจจุบัน มีองค์ประกอบ 4 ส่วน ด้วยกันคือ
1. สุขภาพกาย (Physical Health) หมายถึง สภาพที่ดีของร่างกาย กล่าวคือ อวัยวะต่างๆอยู่ในสภาพที่ดี มีความแข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ร่างกายสามารถทำงานได้ตามปกติ และมีความสัมพันธ์กับทุกส่วนเป็นอย่างดี และก่อให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีในการทำงาน
2. สุขภาพจิต (Mental Health) หมายถึง สภาพของจิตใจที่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ มีจิตใจเบิกบานแจ่มใส มิให้เกิดความคับข้องใจหรือขัดแย้งในจิตใจ สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีความสุข สามารถควบคุมอารมณ์ได้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งผู้มีสุขภาพจิตดี ย่อมมีผลมาจากสุขภาพกายดีด้วย ดังที่ John Lock ได้กล่าวไว้ว่า “A Sound mind is in a sound body” คือ “จิตใจที่แจ่มใส ย่อมอยู่ในร่างกายที่สมบูรณ์”
3. สุขภาพสังคม (Social Health) หมายถึง บุคคลที่มีสภาวะทางกายและจิตใจที่สุขสมบูรณ์ มีสภาพของความเป็นอยู่หรือการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข ไม่ทำให้ผู้อื่น หรือสังคมเดือดร้อน สามารถปฏิสัมพันธ์และปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้เป็นอย่างดีและมีความสุข
4. สุขภาพจิตวิญญาณ (Spiritual Health) หมายถึง สภาวะที่ดีของปัญญาที่มีความรู้ทั่ว รู้เท่าทันและความเข้าใจอย่างแยกได้ในเหตุผลแห่งความดีความชั่ว ความมีประโยชน์และความมีโทษ ซึ่งนำไปสู่ความมีจิตอันดีงามและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ในองค์ประกอบสุขภาพทั้ง 4 ด้านนั้น แต่ละด้านยังมี 4 มิติ ดังนี้
1. การส่งเสริมสุขภาพ เป็นกลไกการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพสังคม และสุขภาพจิตวิญญาณ
2. การป้องกันโรค ได้แก่ มาตรการลดความเสี่ยงในการเกิดโรค รวมทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะโรค ด้วยวิธีการต่างๆ นานา เพื่อมิให้เกิดโรคกาย โรคจิต โรคสังคม และโรคจิตวิญญาณ
3. การรักษาโรค เมื่อเกิดโรคขึ้นแล้ว เราต้องเร่งวินิจฉัยโรคว่าเป็นโรคอะไร แล้วรีบให้การรักษาด้วยวิธีที่ได้ผลดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดเท่าที่มนุษย์จะรู้และสามารถให้การบริการรักษาได้ เพื่อลดความเสียหายแก่สุขภาพ หรือแม้แต่เพื่อป้องกันมิให้เสียชีวิต
4. การฟื้นฟูสภาพ หลายโรคเมื่อเป็นแล้วก็อาจเกิดความเสียหายต่อการทำงานของระบบอวัยวะหรือทำให้พิการ จึงต้องเริ่มมาตรการฟื้นฟูให้กลับมามีสภาพใกล้เคียงปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้
คำที่น่าสนใจก็คือคำว่า การรักษาและการฟื้นฟู (ซ่อมแซม) สำหรับคนทั่วไป จะให้ความสนใจกับสุขภาพร่างกายกับสุขภาพจิตใจ แต่ยังขาดสุขภาพจิตวิญญาณ ประโยคที่สำคัญที่บทนิยามของเรื่องสุขภาพได้กล่าวคือ
แม้ว่าสุขภาพโดยองค์รวมแล้วจะเป็นภาวะของมนุษย์ที่เชื่อมโยงกันทั้ง ทางกาย ทางจิต ทางปัญญา และทางสังคม แต่ในเรื่องของสถิติสาขาสุขภาพนั้น มีข้อจำกัดในการศึกษาทำให้ในขั้นต้นจะกล่าวถึงเฉพาะสุขภาพทางกาย และสุขภาพทางจิต เท่านั้น
ความจริงการใส่ใจต่อเรื่องของสุขภาพทุกด้าน มีอยู่ในพระคัมภีร์ ตั้งแต่สมัยโมเสส พระเจ้าทรงให้โมเสสเขียนหนังสือเบญจบรรพห้าเล่ม และแต่งตั้งปุโรหิตให้ทำหน้าที่กำกับดูแลคนอิสรเอลให้ทำตามบทบัญญัติของโมเสส เนื้อหาสาระของบัญญัติกฏเกณฑ์และกฎหมายของพระเจ้า มีเป้าหมายให้คนอิสราเอลมีสุขภาพที่ดีทุกด้าน
เฉลยธรรมบัญญัติ 6:1-3 1 “ต่อไปนี้เป็นบัญญัติ กฎเกณฑ์และกฎหมายซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย ทรงบัญชาให้สอนท่าน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้กระทำตามในแผ่นดินซึ่งท่านจะข้ามไปยึดครองนั้น2 เพื่อว่าพวกท่านจะได้ยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านโดยรักษากฎเกณฑ์และพระบัญญัติของพระองค์ทั้งสิ้น ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านทั้งตัวท่านและบุตรหลานของท่าน ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของท่าน เพื่อว่าวันคืนของพวกท่านจะได้ยืนยาว3 โอ คนอิสราเอลทั้งหลาย เหตุฉะนั้นขอจงฟัง และจงระวังที่จะกระทำตามเพื่อพวกท่านจะไปดีมาดี และเพื่อท่านทั้งหลายจะทวีมากยิ่งนัก ในแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านได้ทรงสัญญากับท่าน
เพราะคนอิสราเอลในยุคโบราณขาดความรู้ และยังไม่มีการคิดค้นวิทยาการที่ก้าวหน้าเหมือนในยุคของเรา บทบัญญัติกฎเกณฑ์กฏหมายต่างๆจึงเป็นแบบพื้นฐาน ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้ว่า ถ้าพระเจ้าบอกรายละเอียดว่า ทำไมไม่ให้กิน ไม่ให้ดื่มอาหารบางอย่าง ก็เพราะว่า มันมีคลอเลสเตอร์รอล มีไขมันทราสน์ มีนู่นนี่นั่น คนอิสราเอลจะงงกับคำเหล่านี้ แต่มาในยุคของเรา วิทยาการที่ก้าวหน้าไปเรื่อยๆทำให้เราค้นพบความรู้ใหม่ๆ ความจริง
พระคัมภีร์กล่าวไว้แล้วว่า ไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ฟ้านี้ แต่เป็นการค้นพบสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนมากกว่า
ปัญญาจารย์ 1:9-10 9 สิ่งที่เป็นขึ้นแล้ว คือสิ่งที่จะเป็นขึ้นอีก สิ่งที่ทำกันแล้ว คือสิ่งที่จะต้องทำกันอีก และไม่มีสิ่งใดใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์10 มีสักสิ่งหนึ่งหรือที่เขาจะพูดได้ว่า “ดูซี สิ่งนี้ใหม่” สิ่งนั้นมีอยู่แล้ว ในสมัยก่อนเราทั้งหลาย
สุภษิต 25:2 2 ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าคือการซ่อนสิ่งต่างๆ ไว้ แต่ศักดิ์ศรีของพระราชา คือการค้นสิ่งต่างๆ ให้ปรากฏ
ในยุคของเรามีการตื่นตัวเรื่องการใส่ใจต่อสุขภาพที่ดีของร่างกายและจิตใจอย่างมาก ทำให้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ Health care เรื่องสุขภาพขายดีอย่างเทน้ำเทท่า แต่ตรงกันข้าม สุขภาพฝ่ายจิตวิญญาณ Spiritual well being กลับถดถอย และคนเลิกเข้าวัดเข้าวา เข้าโบสถ์ วัดร้าง โบสถ์ร้าง เกิดขึ้นมากมาย เกิดอะไรขึ้นกับคนในยุคนี้ และยิ่งคนใส่ใจต่อสุขภาพร่างกาย และจิตใจ แต่ทำไมอัตราการตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุ และการฆ่าตัวตายจึงสูงมา คนป่วยทางจิตและร่างกายก็มีอัตราที่สูง คงต้องกลับมาทบทวนสิ่งที่ WHO องค์การอนามัยโลกวิเคราะห์ และเพิ่มเข้ามาเกี่ยวกับนิยามคำว่า สุขภาพที่ดี นั่นคือ
สุขภาพจิตวิญญาณ (Spiritual Health) หมายถึง สภาวะที่ดีของปัญญาที่มีความรู้ทั่ว รู้เท่าทันและความเข้าใจอย่างแยกได้ในเหตุผลแห่งความดีความชั่ว ความมีประโยชน์และความมีโทษ ซึ่งนำไปสู่ความมีจิตอันดีงามและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
คนในยุคของเราขาดสุขภาพจิตวิญญาณ คนในยุคของเรากำลังถดถอยทางด้านศีลธรรม
การพยายามที่จะมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดี คือภาวะที่เรียกว่า ซ่อมสร้าง ฟื้นฟู
รากศัพท์ของคำว่า ชีวิต ในเฉลยธรรมบัญญัติ 6:2 แปลว่า การทำให้มีชีวิต ให้ชีวิตอย่างต่อเนื่อง ให้ชีวิตมีอรรถรส อนุรักษ์ชีวิต ปลุกชีวิต ฟื้นฟูชีวิต ซ่อมชีวิต นำชีวิตกลับเข้าที่เข้าทาง ให้ชีวิตที่ปลอดภัย และแน่นอน สุขภาพดีทั้งชีวิต นี่คือรากศัพท์ของคำว่า ชีวิตที่หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติใช้ในตอนนี้
เฉลยธรรมบัญญัติ 6:1-3 1 “ต่อไปนี้เป็นบัญญัติ กฎเกณฑ์และกฎหมายซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย ทรงบัญชาให้สอนท่าน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้กระทำตามในแผ่นดินซึ่งท่านจะข้ามไปยึดครองนั้น2 เพื่อว่าพวกท่านจะได้ยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านโดยรักษากฎเกณฑ์และพระบัญญัติของพระองค์ทั้งสิ้น ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านทั้งตัวท่านและบุตรหลานของท่าน ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของท่าน เพื่อว่าวันคืนของพวกท่านจะได้ยืนยาว3 โอ คนอิสราเอลทั้งหลาย เหตุฉะนั้นขอจงฟัง และจงระวังที่จะกระทำตามเพื่อพวกท่านจะไปดีมาดี และเพื่อท่านทั้งหลายจะทวีมากยิ่งนัก ในแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านได้ทรงสัญญากับท่าน
การรักษาบัญญัติ กฏเกณฑ์ และกฎหมายของพระเจ้า คือการใส่ใจต่อสุขภาพองค์รวมทั้งหมด
บางคนเอาพระเจ้าแต่ไม่สัมพันธ์กับคนอื่น อันนี้ ไม่ดี บางคนเอาแต่เรื่องสุขภาพร่างกายและจิตใจของตนเอง แต่ไม่เอาพระเจ้าและไม่เอาคนอื่น ก็ไม่ดี มีภาพที่เราต้องใส่ใจทั้งพระเจ้า ตนเอง และเพื่อนบ้าน อันนี้ สุขภาพองค์รวมดี หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติได้กล่าวถึง ผลจากการใส่ใจต่อสุขภาพองค์รวมด้วยคำว่า …ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของท่าน เพื่อว่าวันคืนของพวกท่านจะได้ยืนยาว…..เพื่อพวกท่านจะไปดีมาดี…. นั่นหมายถึง สุขภาพที่ดี และความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่าถึงสิ่งที่แสดงถึงสุขภาพที่ดี
มัทธิว 7:20 20 เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา
มัทธิว 12:35 35 คนดีก็เอาของดีมาจากคลังแห่งความดีในตัวของเขา คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังแห่งความชั่วในตัวของเขา
ข้าพเจ้าอยากจะประยุกต์พระคัมภีร์ตอนนี้ว่า คนสุขภาพดี ก็ส่งต่อสุขภาพที่ดี แต่คนป่วยก็ส่งต่อความป่วย ก็คือบาดแผลให้กับคนอื่น
ฮีบรู 12:15 15 จงระวังให้ดีอย่าให้ใครเพิกเฉยต่อพระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมา ทำความยุ่งยากให้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้คนเป็นอันมากเสียไป
คนที่ขมขื่นก็จะส่งต่อความขมให้กับคนอื่น ดังนั้น พระคัมภีร์ในฮีบรูในข้อก่อนหน้านี้ จึงกล่าวถึงการมีสุขภาพที่ดี คือหายดี
ฮีบรู 15:12-14 12 เพราะเหตุนั้นจงยกมือที่อ่อนแรงขึ้น และจงให้หัวเข่าที่อ่อนล้ามีกำลังขึ้น 13 และจงทำทางให้ตรงเพื่อให้เท้าของท่านเดินไป เพื่อว่าขาที่เขยกนั้นจะได้ไม่เคล็ด แต่จะหายเป็นปกติ14 จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบกับคนทั้งหลาย และอุตส่าห์ที่จะได้ใจบริสุทธิ์ ซึ่งถ้าใจไม่บริสุทธิ์ก็จะไม่มีผู้ใดได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย
ไม่ใช่ป่วยไม่ได้ บาดเจ็บไม่เป็น แต่สาระสำคัญของพระคัมภีร์ตอนนี้ คือการฟื้นฟู การแก้ไข การรักษาให้หายดี เพราะฉะนั้น การจะมีสุขภาพที่ดี คือการรับการบำบัด การรักษาให้หายดี ไม่ปล่อยให้ความเจ็บป่วยนั้น (ทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ) ยังคงอยู่ หรือแย่ลงไปกว่าเดิม ต้องรีบรักษาให้หายดี มีสุขภาพที่ดีทุกด้าน มิฉะนั้นอาจจะจบไม่ดี ไปไม่ถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราป่วย ถ้าเป็นทางร่างกาย ก็ตรวจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรคนั้นๆ ถ้าเป็นด้านจิตใจ ก็หาจิตแพทย์ แต่ถ้าฝ่ายจิตวิญญาณ จะหาใคร แน่นอน ในยุคอิสราเอลโบราณ ปุโรหิตคือคนที่ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ตรวจสอบ ปุโรหิตยุคนั้น ทำทั้งสามด้าน คือทั้งตรวจร่างกาย ตรวจจิตใจ และจิตวิญญาณด้วย แต่ในยุคของเรา ผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณของเรา คือศิษยาภิบาล ที่ทำหน้าที่ดูแลและตรวจสอบ ในคริสตจักรของเรามีการกระจายความเป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณลงไปตามลำดับ ตั้งแต่ ศิษยาภิบาล หัวหน้าหน่วย หัวหน้าเซลล์ ผู้ช่วย และพี่เลี้ยง ตามกรณียากง่าย (เหมือนอิสราเอลในสมัยพระคัมภีร์เดิม ก็มีการกระจายผู้นิจฉัยไปตามแต่ละหัวเมือง แต่ละเผ่า) คริสตจักรของเรามีโครงสร้างเป็นคริสตจักรเซลล์ ไม่ใช่เพื่อแบ่งก๊กแบ่งเหล่า แต่เพื่อให้แน่ใจว่า ทุกคนได้รับการใส่ใจสุขภาพดีทุกด้าน แต่สิ่งที่ต้องการความร่วมมือจากชีวิตส่วนตัวของแต่ละคนก็คือ
1.สำรวจชีวิตตนเองตลอดเวลา ฮีบรู 12:12
12 เพราะเหตุนั้นจงยกมือที่อ่อนแรงขึ้น และจงให้หัวเข่าที่อ่อนล้ามีกำลังขึ้น
ถ้าไม่ทดสอบตนเอง ก็จะไม่รู้ว่า มีปัญหา คำสั่งในพระคัมภีร์ตอนนี้ กำลังบอกว่าให้ยกมือและหัวเข่า นั่นคือการตรวจสอบกำลังของตนเอง ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ว่า ตนเองอ่อนแอ และไม่มีกำลังขนาดไหน คนที่ไม่ได้ออกกำลังกายบ่อยๆ เมื่อไปออกกำลังกาย เล่นกีฬาอะไรสักอย่าง หรืออกแรงยกของ ที่นานๆจะออกกำลังที หลังจากนั้นจะปวดเมื่อย และในขณะที่ออกแรง ก็จะรู้ว่าตนเองมีแรงขนาดไหน บางคนคิดว่า ตนเองมีแรง แต่พอยกจริง กลับไม่มีแรงอย่างที่ตนเองคิด
เช่นเดียวกัน ในทางด้านอารมณ์ ความคิด บางคนคิดว่า ตนเองสามารถจะรับมือได้กับอารมณ์โกรธ เศร้า หรือกลัว แต่พอเอาเข้าจริงๆ สติแตก panic กลัวมากเกิน เศร้ามากเกิน และโกรธจนควบคุมตนเองไม่อยู่ เป็นเพราะไม่เคยสำรวจตนเอง (สังเกตุตนเองบ่อยๆ) มารู้ตัวอีกที ก็อาจสร้างความเสียหายไปมากก็มี
ดังนั้น จงสำรวจตนเองเสมอ พระคัมภีร์ใช้คำว่า พิสูจน์
1เธสะโลนิหา 5:21 21 จงพิสูจน์ทุกสิ่ง สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น
เป้าหมายของผู้เขียนพระคัมภีร์ตอนนี้ไม่ใช่ให้พิสูจน์ด้านเดียว แต่ให้พิสูจน์ทุกสิ่ง หมายถึงสองด้าน นอกจากภายนอกแล้ว ยังพิสูจน์ภายในของชีวิตตนเองด้วย ไม่ใช่ไปเที่ยวพิสูจน์คนอื่นไปทั่ว แต่ขาดการพิสูจน์ (รากศัพท์แปลว่า ทดสอบ ตรวจสอบ) ตนเอง ให้เราถามตัวเองว่า ครั้งสุดท้าย เราตรวจสอบตัวเองเมื่อไร และเราใช้อะไรเป็นมาตรฐานในการตรวจสอบตนเอง
ฟิลิปปี 4:8-9 8 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ขอจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดู 9 จงกระทำทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้และได้รับไว้ ได้ยิน และได้เห็นในข้าพเจ้าแล้ว และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงสถิตกับท่าน
นี่เป็นแนวทางของการสำรวจตนเองเสมอ อ.เปาโลได้สอนคริสเตียนในยุคนั้นว่า พวกเขามีต้นแบบที่ดี มีมาตรฐานที่ดี ให้ดู ให้ฟัง ให้รับไว้ อย่าปฏิเสธ ปิดประตูปิดหู จากการฟัง และจงมองดูที่แบบอย่างที่ดี
เมื่อสำรวจตัวเองตลอดเวลา และรู้ว่าตัวเองอ่อนแอมุมใด จงรีบทำตามขั้นต่อไป
2.เป็นที่ปรึกษา มีที่ปรึกษาฝ่ายจิตวิญญาณ ฮีบรู 12:13
13 และจงทำทางให้ตรงเพื่อให้เท้าของท่านเดินไป เพื่อว่าขาที่เขยกนั้นจะได้ไม่เคล็ด แต่จะหายเป็นปกติ
พระคัมภีร์ลูกาได้บันทึกเกี่ยวกับยอห์น ผู้ให้บัพติศมาในน้ำว่า
ลูกา 3:3-6 3 แล้วยอห์นจึงไปทั่วที่ลุ่มแม่น้ำจอร์แดน ประกาศให้กลับใจเสียใหม่และรับบัพติศมา เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปเสีย4 ตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือถ้อยคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า “เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า จงเตรียมมรรคาแห่งพระเป็นเจ้า จงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป 5 หุบเขาทุกแห่งจะถมให้เต็ม ภูเขาและเนินทุกแห่งจะให้ต่ำลง ทางคดจะกลายเป็นทางตรง และทางที่สูงๆ ต่ำๆ จะเป็นทางราบ 6 มนุษย์ทั้งปวงจะได้เห็นความรอดของพระเจ้า”
ยอห์น บัพติสโต ทำหน้าที่เหมือนผู้ให้คำปรึกษาแก่คนอิสราเอล สำนวนที่กล่าวถึงบทบาทของยอห์นในตอนนี้ โดยการยกข้อพระคัมภีร์อิสยาห์เกี่ยวกับการทำหน้าที่ผู้ให้คำแนะนำ คล้ายกับในฮีบรู 12:13 นี้คือ ทำทางให้ตรง นั่นหมายถึงทางในจิตใจของคน จิตใจของคนถูกเปรียบเทียบว่า คดเคี้ยว ขึ้นๆลงๆ พระเยซูมักจะตำหนิพวกฟาริสีว่า เป็นพวกหน้าซื่อใจคด หน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาของยอห์นได้เริ่มต้นจากการเชิญชวนให้คนหันกลับมาหาพระเจ้า ด้วยการประกาศประโยคเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ที่ทรงประกาศ
ลูกา 3:3 3 แล้วยอห์นจึงไปทั่วที่ลุ่มแม่น้ำจอร์แดน ประกาศให้กลับใจเสียใหม่และรับบัพติศมา เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปเสีย
แต่พอประชาชนมารับบัพติศมาในน้ำกับยอห์น ยอหน์ตรวจสอบก่อนเลยว่า ประชาชนที่มานั้นจริงใจไม๊
ลูกา 3:7-8 7 ยอห์นจึงกล่าวแก่ประชาชนที่ออกมารับบัพติศมาจากท่านว่า “เจ้าชาติงูร้าย ใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น8 เหตุฉะนั้น จงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นกับอับราฮัม จากก้อนหินเหล่านี้ได้
จงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น พิสูจน์ ตัวเองก่อน ยอห์นทำหน้าที่ที่ปรึกษาที่เฉียบขาดมาก เข้มงวด และกำลังบอกกับประชาชนว่า การมาแสดงตัวว่าจะเอาพระเจ้าครั้งนี้ ไม่ใช่เล่นๆ แต่ต้องจริงจัง
คริสเตียนในยุคของเรา อ่อนแอ ปวกเปียกเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะคริสเตียนไทย อะไรๆก็อ้างความรัก ทำอะไรเลาะแหละไม่จริงจัง เอาวิถีเดิมๆที่เคยๆกับศาสนาเดิมของตนเองมาใช้กับวิถีของพระเจ้า ดูเหมือนต้องง้อให้มาเป็นคริสเตียน แต่ยอห์นพูดชัดเจน ว่า ไม่ง้อ เรื่องนี้ เป็นเรื่องคอขาดบาดตายของแต่ละคนเอง เรามักกลัวคนไม่มาเชื่อพระเจ้า
มีคนนายทหารเรือท่านหนึ่งพูดกับข้าพเจ้าในเชิงดูหมิ่นคริสเตียนว่า ของดีไม่ต้องประกาศหรอก คนเขาก็จะมาเชื่อเองแหล่ะ เป็นเพราะมีคริสเตียนบางคน(ไม่น้อย)ไม่ได้ประกาศแก่นแท้ของศาสนาคริสต์ แต่กลับประกาศอะไรก็ไม่รู้ทำให้คนดูถูก อย่างยอห์น ผู้ให้บัพติศมาในน้ำ ประกาศแก่นแท้ของศาสนายูดายแก่คนยิว เขาฟัง เขาเข้าใจทันทีว่า เขาเป็นพวกที่นับถือศาสนาแต่เปลือกนอก เขาต้องการที่ปรึกษา ดังนั้น ประชาชนจึงถามยอห์น บัพติศโตว่า
ลูกา 3:10-14 10 ฝ่ายประชาชนจึงถามท่านว่า “เราจะต้องทำประการใด”11 ท่านจึงตอบเขาว่า “ผู้ใดมีเสื้อสองตัวจงปันให้แก่คนไม่มี และใครมีอาหารจงปันให้เหมือนกัน”12 พวกเก็บภาษีก็มาขอรับบัพติศมาด้วย และถามท่านว่า “อาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าต้องทำประการใด”13 ท่านจึงตอบเขาว่า “เจ้าทั้งหลายอย่าเก็บภาษีเกินพิกัด”14 ฝ่ายพวกทหารถามท่านด้วยว่า “พวกข้าพเจ้าเล่า จะต้องทำประการใด” ท่านตอบเขาว่า “อย่ากรรโชก อย่าใส่ความเพื่อเอาเงิน แต่จงพอใจในค่าจ้างของตน”
ยอห์นให้คำปรึกษาแก่ประชาชนเชิงปฏิบัติ เป็นธรรมะที่เป็นการกระทำ นี่เป็นตัวอย่างจากคนสามอาชีพ
วันนี้ เรามีอาชีพและบทบาทที่หลากหลาย ในภาคปฏิบัติกับบทบาทและอาชีพที่เราเป็นอยู่ เราต้องการที่ปรึกษา คนแนะนำ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ และคนที่มีพระวิญญาณฯ คือที่ปรึกษาที่ดีที่สุดสำหรับคริสเตียน อย่าไปปรึกษาคนที่ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ และคนที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จงพัฒนาตนเองให้พร้อมจะเป็นที่ปรึกษาที่ดีด้วย การให้คำปรึกษาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แน่นอน คุณจะไม่ให้เนื้อหนังมีส่วนในการให้คำปรึกษา แต่เรื่องของความรอบรู้ยังเป็นความรับผิดชอบที่ผู้นำฝ่ายวิญญาณจำเป็นต้องพัฒนาตนเอง เหมือนกับปุโรหิตผู้รับการเจิม ต้องรู้บทบัญญัติ กฎเกณฑ์และกฎหมายของโมเสส ดังนั้น ผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ เป็นผู้ได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ต้องรอบรู้พระคำของพระเจ้า
คริสเตียนชอบเป็นที่ปรึกษา แต่ไม่ค่อยรับคำปรึกษา (มีที่ปรึกษา) คริสเตียนชอบสอนคนอื่น แต่ไม่ค่อยรับการสอนจากคนอื่น อันนี้ น่าเป็นห่วง และไม่ดี การใส่ใจสุขภาพดีทุกด้าน ต้องมีที่เป็นและมีที่ปรึกษาฝ่ายวิญญาณ
3.รับการบำบัดให้หายดี ฮีบรู 12:14
14 จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบกับคนทั้งหลาย และอุตส่าห์ที่จะได้ใจบริสุทธิ์ ซึ่งถ้าใจไม่บริสุทธิ์ก็จะไม่มีผู้ใดได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย
คนที่จะช่วยคนอื่น ต้องเดินอยู่ในกระบวนการบำบัดให้หายดีด้วย หลายคนพยายามช่วยคนอื่น ตัวเองป่วยและแย่กว่าคนที่ตนเองกำลังช่วย อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้การช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ผลก็เป็นได้ เอาแต่รับใช้ๆๆๆๆ แต่ชีวิตไม่เกิดผล คงต้องมาสำรวจตนเองอีกครั้ง และเดินเข้าสู่กระบวนการบำบัดตนเองให้หายดี มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ถ้าคิดว่า การรับใช้จะทำให้มีความสุข เข้าใจผิดแล้ว เพราะเส้นทางการรับใช้มีแต่ต้องทนทุกข์ ถ้าไม่มีความสุข รับใช้ไม่ได้ยาวนาน การบำบัดให้หายดี ทำให้เกิดความสุข ไม่ต้องทนพิษบาดแผล เจ็บปวดในขณะรับใช้
คำที่พระคัมภีร์ตอนนี้ใช้ถึงสองครั้ง อุตส่าห์ที่จะได้ใจบริสุทธิ์ ซึ่งถ้าใจไม่บริสุทธิ์ก็จะไม่มีผู้ใดได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย รากศัพท์คำนี้ มาจากคำว่า ฮากีออส ซึ่งมีสองความหมาย ความหมายว่า บริสุทธิ์สำหรับพระเจ้าแปลว่า ศักดิ์สิทธิ์ เข้าใกล้แล้วตาย แต่สำหรับมนุษย์แปลว่า ปราศจากตำหนิ และคำที่ใช้ตอนนี้ ใช้เป็นคำกริยา แปลว่า ทำให้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ ทำให้ปราศจากปะปน Purifier
การบำบัด ให้หายดี คำว่า บำบัด ภาษาไทยได้หลายความหมาย ในทางแพทย์ คือการรักษาเยียวยา ในทางรีไซเคิล คือการเปลี่ยนของเสียใช้การไม่ได้ให้กลับมาใช้การได้ดี ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Restore, Renew การคืนสู่สภาพดีดังเดิม
2โครินธ์ 5:17 17 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
อานาไคนู Anakainoo เราต้องรับการบำบัด เปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นสิ่งใหม่ กลับสู่สภาพที่เหมือนเดิมที่เราเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า
โฮเชยา 6:1 1 “มาเถิด ให้เรากลับไปหาพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงฉีก และจะทรงรักษาเราให้หาย พระองค์ทรงโบยตี และจะทรงพันบาดแผลให้แก่เรา
อิสยาห์ 58:8 8 แล้วความสว่างจะพุ่งออกมาแก่เจ้าอย่างอรุณ และแผลของเจ้าจะเรียกเนื้อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมของเจ้าจะเดินนำหน้าเจ้า และพระสิริของพระเจ้าจะระวังหลังเจ้า
เยเรมีย์ 30:17 17 เพราะเราจะเรียกเนื้อขึ้นมาให้แก่เจ้า และเราจะรักษาบาดแผลของเจ้าให้หาย พระเจ้าตรัส เพราะเขาทั้งหลายเรียกเจ้าว่าพวกนอกคอก ‘คือศิโยนซึ่งไม่มีใครต้องการ’
“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์….ใส่ใจสุขภาพดีทุกด้าน”
1.สำรวจชีวิตตนเองตลอดเวลา
2. เป็นที่ปรึกษา มีที่ปรึกษาฝ่ายจิตวิญญาณ
3. รับการบำบัดให้หายดี