“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…รับมงกุฎแห่งชีวิต”
มงกุฎ เป็นรางวัลสำหรับการชนะในเกมส์ และเป็นสัญลักษณ์ของเกียรติยศ นางงามจักรวาล หรือนางงามประเทศต่างก็มีมงกุฎสวมด้วย กษัตริย์ของประเทศต่างๆก็มีมงกุฎสวมศีรษะ ความหมายของมงกุฎในโลกนี้สำหรับผู้ที่มีเกียรติสมควรได้สวมมงกุฎ ซึ่งคนสวมมงกุฎจะมีเพียงหนึ่งเดียวสำหรับแต่ละบริบท ถ้าเป็นการแข่งขัน ก็หมายถึงผู้ชนะ ถ้าเป็นนางงาม ก็หมายถึงคนเดียวที่ได้รับการตัดสินว่า งามที่สุด ถ้าเป็นกษัตริย์
ก็หมายถึงผู้ที่ได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์องค์เดียวของประเทศนั้นๆ แต่สำหรับคริสเตียนทุกคน คำว่า มงกุฎมีความหมายอย่างไร
คำว่า มงกุฎ ถูกใช้ในพระคัมภีร์สำหรับคริสเตียนทุกคน
เป็นรางวัล สำหรับแต่ละคนที่ต่อสู้กับตนเองและเอาชนะตนเองได้
1โครินธ์ 9:24-25 24 ท่านไม่รู้หรือว่าคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกันก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รับรางวัลมีคนเดียว เหตุฉะนั้นจงวิ่งเพื่อชิงรางวัลให้ได้25 ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบ เขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย
เป็นเครื่องหมายของความอดทน ต่อการทดลองใจ ในที่นี้ ใช้คำว่า ถูกพิสูจน์ ถูกทดสอบให้ทำดีจากความดี และการชนะการทดลองให้ทำบาปจากความชั่วร้าย
ยากอบ 1:12 12 คนที่อดทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์
คือผู้เชื่อ เป็นมงกุฎของผู้ที่นำคนรับเชื่อและทำหน้าที่เลี้ยงดูสั่งสอนในฝ่ายจิตวิญญาณ
ฟิลิปปี 4:1 1 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ผู้เป็นที่รัก เป็นที่ปรารถนา เป็นที่ยินดี และเป็นมงกุฎของข้าพเจ้า พวกที่รักของข้าพเจ้า จงยึดมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
เราจะเห็นว่า สิ่งที่กำหนดไว้เป็นเงื่อนไขสำหรับมงกุฎในชีวิตของคริสเตียน ทุกคนสามารถมีและเป็นได้ ไม่ใช่เกิดมาแล้วเป็นเลย Born to be แต่เป็น Train to be สามารถฝึกฝนที่จะเป็นได้ พระวจนะที่เราจะเรียนรู้ความจริงเรื่องนี้ อยู่ในหนังสือ2 ทิโมธี
อ.เปาโลได้เขียนจดหมายถึงทิโมธี คนหนุ่ม ที่กำลังทำหน้าที่บทบาทผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณในวัฒนธรรมของคนยิวเวลานั้นที่เป็นระบบผู้อาวุโส Seniority มีทั้งผู้อาวุโส ทั้งชายและหญิง ในบริบทที่มีผู้เชื่อที่หลากหลาย ทั้งชายหญิง ที่อายุน้อยกว่าด้วย อีกทั้งยังมีการต่อต้าน การสอนที่ผิดเพี้ยน ตกขอบ และยังต้องประกาศกับคนที่ยังไม่รู้จักกับพระเยซูคริสต์เจ้าอีก อ.เปาโลก็กำลังติดคุกในกรุงโรม ที่กำลังใกล้จะถูกฆ่าตาย ด้วยข้อกล่าวหาเป็นความเท็จที่พิสูจน์ไม่ได้ ด้วยกล่าวหาว่า เปาโลได้นำคนกรีก ชาวเมืองเอเฟซัสเข้าไปในวิหารของคนยิว ซึ่งทำให้วิหารมีมลทิน เรื่องราวกลายเป็นใหญ่โต เพราะการฟ้องนั้นตั้งใจจะให้เปาโลถูกฆ่าด้วยกฎหมายของโรม แต่เพราะเปาโลมีสันชาติโรมจึงทำการตัดสินอย่างทันทีไม่ได้ เปาโลต้องถูกส่งไปกรุงโรมเพื่อตัดสินคดีความ ต้องรอนแรมไปที่ต่างๆ เรือแตก ถูกงูพิษกัด แต่ที่ เปาโลฉวยโอกาสในการประกาศ และทำพันธกิจกับทุกคนที่เปาโลเจอ พระเจ้าทรงสำแดงแก่เปาโลว่า เขาจะไม่ตาย และจะไปถึงกรุงโรม และจดหมายที่เขียนถึงทิโมธีฉบับนี้ เปาโลรู้ตัวว่า ใกล้ถึงเวลานั้นแล้ว แต่ตลอดเส้นทางที่เปาโลถูกคุมตัว เปาโลได้ทำหน้าที่ประกาศ และทำพันธกิจได้อย่างสมบูรณ์ เปาโลจึงหนุนใจและสอนทิโมธีถึงเส้นทางแห่งมงกุฎแห่งชีวิตแก่ทิโมธี เป็นเส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ ซึ่งปรากฏในหนังสือเอเฟซัสดังนี้
เอเฟซัส 4:11-13 11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
เปาโลมีความชัดเจนในภาพของคริสเตียน ผู้ที่พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเรียกให้เดินทางเดียวกันกับพระองค์ เปาโลจึงเขียนสรุปให้กับทิโมธีเป็นวิถีปฏิบัติของคริสเตียนทุกคน
2ทิโมธี 4:1-8(ฉบับแปล 2011)1 ข้าพเจ้าขอเตือนท่านอย่างจริงจังเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและพระเยซูคริสต์ผู้จะทรงพิพากษาคนเป็นและคนตาย และขอเตือนโดยอ้างถึงการมาปรากฏของพระองค์และราชอาณาจักรของพระองค์ว่า 2 จงประกาศพระวจนะ จงทำอย่างขะมักเขม้นทั้งในขณะที่คนสนใจและไม่สนใจ จงชักชวน ตักเตือน และหนุนใจ ด้วยความอดทนและด้วยการสั่งสอนอย่างเต็มที่ 3 เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้ แต่พวกเขาจะรวบรวมบรรดาอาจารย์ไว้สำหรับตน ตามความอยากของตัวเองเพื่อสนองหูที่คัน 4 พวกเขาจะเลิกฟังความจริงและหันไปฟังนิยายต่างๆ 5 แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคงทุกเรื่อง จงอดทนต่อความทุกข์ยาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงทำพันธกิจของท่านให้ครบบริบูรณ์ 6 เพราะว่าข้าพเจ้าถูกเทลงเหมือนดั่งเครื่องดื่มบูชาแล้ว และถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจะต้องจากไป 7 ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว 8 ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้พิพากษาที่ชอบธรรมจะประทานเป็นรางวัลแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น และไม่ใช่แก่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น แต่จะประทานแก่ทุกคนที่รักการเสด็จมาของพระองค์
มงกุฎแห่งความชอบธรรม คือมงกุฎแห่งชีวิต คือรางวัลของการต่อสู้ ความอดทน ชัยชนะตัวเอง และผ่านการทดสอบ ชนะการทดลองจากมารซาตาน มงกุฎแห่งชีวิตไม่ได้เกิดจากการทำเพื่อตนเองเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการทำให้คนอื่นได้รับความรอด ได้รับการเลี้ยงดูให้เติบโต และคน เหล่านั้นเป็นมงกุฎแห่งชีวิตสำหรับผู้ทำหน้าที่ประกาศและทำพันธกิจของตนเองอย่างครบถ้วน
เปาโลได้กล่าวว่า มงกุฎนี้ สำหรับคนที่รักพระเยซูตั้งแต่ต้นจนจบ คือคนที่รักการเสด็จมาของพระองค์ด้วย แนวทางที่จะไปให้ถึงมงกุฎแห่งชีวิตมีดังนี้
1.จงประกาศและทำพันธกิจกับทุกคนที่พบเจอ 2ทิโมธี 4:1-2
1 ข้าพเจ้าขอเตือนท่านอย่างจริงจังเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและพระเยซูคริสต์ผู้จะทรงพิพากษาคนเป็นและคนตาย และขอเตือนโดยอ้างถึงการมาปรากฏของพระองค์และราชอาณาจักรของพระองค์ว่า 2 จงประกาศพระวจนะ จงทำอย่างขะมักเขม้นทั้งในขณะที่คนสนใจและไม่สนใจ จงชักชวน ตักเตือน และหนุนใจ ด้วยความอดทนและด้วยการสั่งสอนอย่างเต็มที่
คำว่า คนเป็นและคนตาย นั่นหมายความว่า ไม่มีความแตกต่างเลย ทุกคนจะต้องอยู่ต่อหน้าบัลลังค์พิพากษาของพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ ความตายก็ไม่สามารถทำให้คนตายรอดจากการพิพากษาไปได้ ดังนั้น หน้าที่ของคริสเตียนที่เป็นอยู่ คือการประกาศกับทุกคนในทุกโอกาส และทำหน้าที่ชักชวน เตือนสติ และหนุนใจ ด้วยความอดทน และสั่งสอนเต็มที่ ให้คนหันกลับมาหาพระเจ้า ให้คนได้ยินข่าวประเสริฐการช่วยกู้ของพระเยซูคริสต์เจ้า เพราะว่า วันหนึ่ง คนที่ตายไป ก่อนที่เขาจะได้ยินข่าวประเสริฐ คนเหล่านี้จะอ้างว่า ไม่มีใครบอกเขา ถ้าเป็นคนที่เราเคยพบเจอ บางทีคนเหล่านั้น ก็จะโทษว่า เพราะเราไม่ประกาศกับเขา เขาจึงไม่รู้ว่า มีทางที่ช่วยเขาได้ให้รอดจากการพิพากษาลงโทษได้ อะไรจะน่ากลัวกว่า กัน ระหว่างการถูกปฏิเสธจากคนที่พบเจอ กับการได้พบเจอกับพระเยซูแล้วถูกพระองค์ปฏิเสธ ด้วยคำว่า เราไม่รู้จักเจ้า
พระเยซูได้ยกตัวอย่างการต้องยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังค์การพิพากษา แยกคนของพระองค์ออกไปทางซ้ายและขวา คนทางซ้าย คือคนที่ไม่พยายามประกาศ และไม่ทำพันธกิจ ในขณะที่คนทางขวาพยายามประกาศ และทำพันธกิจ ด้วยคำอุปมาเรื่องการตอบสนองต่อความหิวอาหาร กระหายน้ำดื่ม และให้เสื้อผ้าแก่คนที่เปลือยเปล่า ความหมายของคำอุปมา ตีความได้ทั้งตามตัวอักษร และในมิติฝ่ายวิญญาณ คือการทำพันธบริการ (ประกาศทางอ้อม) และการประกาศซึ่งหน้า (บอกเรื่องราวของพระเยซูแก่คนนั้น)
มัทธิว 25:35-36,40 35 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้36 เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา’….40 แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย’
น่าสนใจที่ว่า เรากำลังใช้เวลากับคนที่เราพบเจอ เพื่อจะมีโอกาสประกาศ หรือทำพันธบริการหรือไม่ หรือเรากำลังใช้เวลากับคนที่ปิดประตู และปิดโอกาส ที่จะให้เราทำพันธบริการ และประกาศกับเขา พระเยซูทรงสอนสาวกของพระองค์ให้ฉลาดเหมือนงู และรู้หลบหลีกภัยเหมือนนกพิราบ และหนึ่งในคำแนะนำของพระเยซูแก่สาวกที่พระองค์ทรงส่งออกไปเป็นคู่ๆว่า มีตอนหนึ่งว่า …
มัทธิว 10:14 14 ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่านทั้งหลายและไม่ฟังคำของท่าน เมื่อจะออกจากเรือนนั้นเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีที่ติดเท้าของท่านออกเสีย เพื่อแสดงว่าท่านไม่รับผิดชอบต่อไป
คำแนะนำนี้ใช้ได้กับ คนที่ได้ประกาศแล้วเท่านั้น ไม่ใช่เอามาอ้างก่อนการประกาศ เพราะกลัวเขาไม่ฟัง และยังเป็นนัยให้รู้ว่า ทุกคนที่เราพบเจอ คือความรับผิดชอบที่เราจะต้องประกาศ ไม่ใช่บังเอิญที่ได้เจอกัน หรือได้มาอยู่ใกล้กัน มายั่วยุ อารมณ์โกรธให้แก่กันและกัน โกรธได้ แต่อย่าให้ตะวันตกดินแล้วยังทำบาปอยู่ (บาปแปลว่า อย่าพลาดไปจากน้ำพระทัยพระเจ้า โดยเฉพาะการไม่ได้ประกาศกับคนบางคน)
2.แม้คนจะไม่ฟัง ไม่รับ ก็จงประกาศและทำพันธกิจให้ครบบริบูรณ์ 2ทิโมธี 4:3-5
3 เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้ แต่พวกเขาจะรวบรวมบรรดาอาจารย์ไว้สำหรับตน ตามความอยากของตัวเองเพื่อสนองหูที่คัน 4 พวกเขาจะเลิกฟังความจริงและหันไปฟังนิยายต่างๆ 5 แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคงทุกเรื่อง จงอดทนต่อความทุกข์ยาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงทำพันธกิจของท่านให้ครบบริบูรณ์
คำว่า ครบบริบูรณ์ ตรงนี้ใช้คำว่า Full proof คือได้ผ่านบททดสอบเต็มๆ สอบผ่าน ในเรื่องการประกาศและพันธบริการ
บางคนอาจมีคำถามว่า ทำไมถึงต้องเป็นเราที่ต้องทนทุกข์เพื่อคนอื่น ต้องยอมอดเพื่อคนอื่นจะมีกิน ต้องยอมจ่ายเพื่อคนอื่นจะมี ต้องยอมสละความสุขส่วนตัวเพื่อคนอื่นจะมีความสุข ต้องยอมและต้องยอม เพราะนี่แหล่ะ คือ Full proof พันธกิจของท่านกำลังเข้าใกล้การผ่านการทดสอบ
หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน อย่าติดอยู่กับความสนุกสนาน เพียงชั่วระยะสั้น แต่จงมองให้ไกลๆ อย่ามองแต่เพียงสิ่งที่ตามมองเห็น แต่จงมองในมิติที่มองไม่เห็น
2โครินธ์ 4:18 18 เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์
คำว่า ครบบริบูรณ์ไม่ได้หมายความว่า ประกาศทุกครั้งคนจะเชื่อ หรือประกาศทุกคน แล้วทุกคนจะยอมรับ แต่บางที ทุกครั้งจะมีคนไม่ยอมรับ และทุกครั้งอาจจะมีการต่อต้าน แต่การทำพันธกิจให้ครบบริบูรณ์ หมายถึง จะไม่มีใครสักคนถูกมองข้าม ถูกเพิกเฉย หรือหยุดการประกาศ หรือเลือกประกาศกับแค่บางคน เท่านั้น
5 แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคงทุกเรื่อง จงอดทนต่อความทุกข์ยาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงทำพันธกิจของท่านให้ครบบริบูรณ์
พึงระลึกเสมอว่า เรากำลังประกาศ ไม่ใช่ให้ตัวเองรู้สึกดี แต่เรากำลังทำให้คนที่เราประกาศรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเขา แสดงให้คนเหล่านั้นรู้ว่า พระเจ้าทรงรักพวกเขา และชีวิตของพวกเขามีค่าสูงมาก มีความสำคัญมากต่อพระเจ้า
2 โครินธ์ 5:18-19 18 ทั้งสิ้นนี้เกิดมาจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกันกับพระองค์ทางพระเยซูคริสต์ และทรงโปรดประทานให้เรามีพันธกิจเรื่องการคืนดีกัน19 คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์ มิได้ทรงถือโทษในการผิดของเขา และทรงมอบเรื่องการคืนดีกันนั้นให้เราประกาศ
ถ้าเราทะเลาะกับเขาแล้ว เราจะนำเขาคืนดีกับพระเจ้าได้อย่างไร ขอพระเจ้าทรงโปรดยกโทษให้อภัยกับเราทุกคน ข้าพเจ้าเองก็ต้องกลับใจใหม่ เพราะอยากจะทะเลาะกับเพื่อนบ้านข้างๆมาก แต่พระเจ้าทรงปกป้องข้าพเจ้าที่เพื่อนบ้านไม่ออกมาทะเลาะกับข้าพเจ้า
จงมองการประกาศ และการทำพันธบริการ เป็นเพชรที่จะนำมาประดับบนมงกุฎแห่งชีวิต ขอให้มงกุฎของเราบนสวรรค์จะส่องประกาย และงดงาม
สดุดี 132:18 18 เราจะเอาความอายห่มศัตรูของท่าน แต่มงกุฎของท่านจะแวววับอยู่บนท่าน”
จงประกาศและทำพันธกิจให้ครบถ้วน
มีคำหนึ่งที่พูดเกี่ยวกับ การล้มเลิกไปก่อนเวลา ทำให้คนอื่นมาตัดยอดแทนเรา เพียงเพราะเราไม่อดทนอีกสักนิด รอคอยอีกสักหน่อย รีบร้อนล้มเลิกซะก่อน เพชรบางเม็ดกระเด็นไปติดที่มงกุฎของคนอื่นแทนที่จะเป็นมงกุฎของเรา
3.ต่อสู้อย่างเต็มกำลังและวิ่งแข่งจนครบถ้วน 2ทิโมธี 4:6-8
6 เพราะว่าข้าพเจ้าถูกเทลงเหมือนดั่งเครื่องดื่มบูชาแล้ว และถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจะต้องจากไป 7 ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว 8 ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้พิพากษาที่ชอบธรรมจะประทานเป็นรางวัลแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น และไม่ใช่แก่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น แต่จะประทานแก่ทุกคนที่รักการเสด็จมาของพระองค์
คำว่า การต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ภาษากรีกใช้คำว่า fought good fight แปลว่า ต่อสู้อย่างสง่างาม และคำว่า วิ่งแข่งจนครบถ้วน finished my course คือ เล่นเกมส์ชีวิตของตนเองจนจบ ไม่ล้มกระดาน ไม่เลิก
มีนักกีฬาวิ่งแข่งที่ล้มลงในระหว่างแข่งขันจนข้อเท้าบาดเจ็บ ไม่สามารถวิ่งได้สองขา ต้องเขย่ง กระโดดขาเดียวต่อไป แล้วพ่อของเขาได้ลงมาจากอัตจรรย์ มาช่วยพยุงเขาเดินไปด้วยกันจนจนถึงเส้นชัย แม้จะคนสุดท้าย แต่ได้รับการปรบมือจากผู้ชมทั้งสนามที่รอคอยเขาเดินกระเผลกไปพร้อมกับพ่อของเขา เดินไป กอดพ่อ ร้องไห้ไป แต่สุดท้ายกลายเป็นรอยยิ้ม เมื่อเสียงปรบมือทั้งสนาม ส่งเสียงว่า นี่แหล่ะ คือผู้ชนะที่แท้จริง เขาได้รับมงกุฎที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่มันสวมไว้ที่ใจของเขาแล้ว ตลอดไป เป็นความหมายเดียวกันกับที่อ.เปาโลได้กล่าวคำว่า วิ่งแข่งจนครบถ้วน ไม่ล้มเลิก ไม่ออกจากสนามกลางคัน ไม่ล้มกระดานชีวิต ไม่หันหลังกลับ เป็นสำนวนเดียวกันกับที่พระเยซูได้ตรัสว่า
ลูกา 9:62 62 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ผู้ใดเอามือจับคันไถแล้ว หันหน้ากลับเสีย ผู้นั้นก็ไม่สมควรกับแผ่นดินของพระเจ้า”
ที่มาของคำตรัสของพระเยซูตอนนี้ คือมีคนที่พระองค์ทรงเรียกให้ติดตามพระองค์ไป แต่คนเหล่านี้ กลับมีข้ออ้างสารพัด ที่จะปฏิเสธการทรงเรียกของพระองค์ ย้อนขึ้นไปในบทเดียวกันของหนังสือลูกาตอนนี้ ในข้อ 61, 60. 59
ลูกา 9:59-61 59 พระองค์ตรัสแก่อีกคนหนึ่งว่า “จงตามเรามาเถิด” แต่คนนั้นทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาข้าพระองค์ก่อน”60 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด แต่ส่วนท่าน จงไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า”61 อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์จะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตให้ข้าพระองค์ไปลาคนที่อยู่ในบ้านของข้าพระองค์ก่อน”
แท้จริง พระเยซู กำลังเรียกให้คนติดตามพระองค์ เพื่อจะได้มงกุฎแห่งชีวิตสำหรับพวกเขา แต่การยุ่งอยู่กับสิ่งต่างๆของโลกนี้ ที่เป็นเรื่องอนิจจัง ทำให้พลาดที่จะรับมงกุฎแห่งชีวิต เป็นที่น่าเสียดาย มีบางคนไม่ต่อเนื่อง มีบางคน ไม่ได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ไม่ได้วิ่งแข่งจนจบเกมส์ ทั้งๆที่สามารถจะทำได้ เพราะการให้ความสำคัญกับมิติของโลกนี้มากกว่ามิติของฟ้าสวรรค์
มัทธิว 7:13-14 13 “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก14 เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย
หนทางนี้ คือการต่อสู้กับตัวเอง การวิ่งแข่งตามกติกา ใครจะฝ่าฝืน แหกกฎอย่างไร เรายังคงอยู่ในกติกา ยังรัก ยังติดตามในทางของพระเยซู ใครจะทำเล่นๆ จริงจังบ้างไม่จริงจังบ้าง แต่เรายังบ้าอยู่คนเดียวได้ เพราะนี่คือ การต่อสู้อย่างเต็มกำลังและวิ่งแข่งจนครบถ้วนของตัวเรา
“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…รับมงกุฎแห่งชีวิต”
1.จงประกาศและทำพันธกิจกับทุกคนที่พบเจอ
2.แม้คนจะไม่ฟัง ไม่รับ ก็จงประกาศและทำพันธกิจให้ครบบริบูรณ์
3.ต่อสู้อย่างเต็มกำลังและวิ่งแข่งจนครบถ้วน