“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…พบพระเยซูได้ทุกที่”
โลกของเราทุกวันนี้ พยายามจะทำให้ดูเสมือนจริง คำว่าดูเสมือนจริง VR มาจากคำภาษาอังกฤษคำว่า Virtual Reality ตอนนี้ ที่รัสเซียมีการนำเสนอข่าวทางทีวีแบบ 3D คือเสมือนจริง เชิญชมคลิปวีดีโอค่ะ
ดูๆก็น่าจะให้ความน่าตื่นเต้นดี แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้เรามองความจริงของพระเจ้าเป็นเสมือนจริง คือ ไม่มีอยู่จริง พระเยซูทรงตรัสว่า
ยอห์น 14:6 6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา
พระเยซูได้พิสูจน์ว่า พระองค์เป็นของจริง Jesus is Real พระองค์ไม่สิ่งเสมือนจริงที่มนุษย์สร้างขึ้น สิ่งที่พระเยซูพูด จึงเป็นจริง พระคัมภีร์ฮีบรูได้กล่าวถึงการเป็นจริงของพระเยซูว่า
ฮีบรู 13:8 8 พระเยซูคริสต์ยังทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้ และเวลาวันนี้ และต่อๆ ไปเป็นนิจกาล
พระเยซูทรงเป็นจริง เป็นได้ อย่างที่พระองค์ตรัส พระองค์ทรงสามารถอยู่ทุกที่ เพื่อให้เราพบพระองค์ได้ ทุกเวลา ทุกบทบาทของพระองค์ เรามาดูสิ่งที่พระเยซูทรงตรัสเกี่ยวกับพระองค์เอง และมีผู้เชื่อ สาวกของพระเยซูอยู่ในเหตุการณ์ ในที่ต่างๆได้
เอเฟซัส 1:22-23 22 พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร23 ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน
วันนี้ พระเยซูคริสต์ทรงอยู่กับคริสตจักรของพระองค์ ทุกที่ ผุ้คนที่เชื่อในพระองค์ สามารถสื่อสารกับพระเยซูได้ในทุกมุมของโลก
ยอห์น 12:26 ถ้าผู้ใดจะรับใช้เรา ผู้นั้นก็ต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะทรงประทานเกียรติแก่ผู้นั้น
มัทธิว 28:18-20 18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว19 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”
อย่าสับสนว่า เรากำลังรอคอยพระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้ง แต่ทำไม พระเยซูยังอยู่กับเรา เราพบพระเยซูในรูปแบบไหน ทำไมพระเยซูถึงตรัสว่า นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” พระเยซูยังตรัสว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาอีก
มัทธิว 25:31 “เมื่อบุตรมนุษย์ทรงพระสิริเสด็จมากับทั้งหมู่ทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์
พระเยซูอยู่ที่ไหนกัน ในหนังสือมัทธิวบทนี้ได้อธิบายถึงการปรากฏของพระเยซูในชีวิตประจำวันของเรา
1.ในสนามการรับใช้ มัทธิว 25:34-40
34 ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักร ซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก35 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้36 เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา’37 เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร38 ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า และได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกาย และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร39 ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร’40 แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย’
พระเยซูได้ตรัสคำอุปมานี้ เปรียบพระองค์เองเป็นกษัตริย์ที่จะเสด็จมาเพื่อจะตัดสินพิพากษาการกระทำของคนที่ทำตัวว่าเป็นของจริง ในขณะที่ของจริงถูกพิพากษา ที่ไม่จริงก็จะปรากฏด้วย ในที่นี้ เรียกว่า แกะ กับแพะ (หมายถึงคริสเตียนทุกคนที่ขณะมีชีวิตอยู่ดำเนินชีวิตอย่างแกะที่มีพระเยซูเป็นผู้เลี้ยง หรืออย่างแพะที่หลงฝูงมาอยู่กับแกะ)
32 บรรดาประชาชาติต่างๆ จะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวก เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ33 ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย
เราว่า พระเยซูจะแยกแกะอย่างไร แน่นอน ว่า พระองค์จะเรียกแกะด้วยเสียงของผู้เลี้ยง และแกะจะตอบสนอง อย่างแกะที่รู้จักผู้เลี้ยง แต่แพะไม่ใช่ แพะไม่ตอบสนองต่อผู้เลี้ยง แพะไม่รู้จักผู้เลี้ยง
ในชิวิตประจำวันของคริสเตียนที่มาโบสถ์เพื่อนมัสการ เพื่อเรียนพระคัมภีร เพื่อฟังคำเทศนา ล้วนคือบริบทที่ฝึกเราในการตอบสนองต่อเสียงของผู้เลี้ยง เราซาบซึ้งใจ เราอิ่มเอิบใจ นั่นคือ เรากำลังตอบสนองกับการรับอาหารทางจิตวิญญาณ เหมือนเด็กที่กำลังเติบโต เมื่อรับอาหารจากอกของแม่ ได้ยินเสียงแม่ ก็จะขาดรับ หันไปทิศทางของอาหารที่ป้อนให้ เช่นเดียวกัน แกะก็จะตอบสนองต่อเสียงของผู้เลี้ยง
นี่คือสิ่งที่อ.เปาโลได้กล่าวไว้ในหนังสือฮีบรูว่า อย่าขาดประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาด เพราะนั่นคือการสะดุดหยุดการพัฒนาการการตอบสนองต่อผู้เลี้ยง
พระเยซูทรงยกคำอุปมาว่า วันหนึ่งเมื่อพระองค์เสด็จมา การตอบสนองของแกะต่อผู้เลี้ยง การรู้จักผู้เลี้ยงคือ กระบวนการแยกแกะออกจากแพะ พระเยซูทรงตรัสอย่างนี้ เพื่อจะบอกว่า แกะที่ฟังเสียงของผู้เลี้ยงมีวิถีชีวิตของตนเองอย่างไร
35 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้36 เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา’
แกะที่โตแล้ว จะพบกับผู้เลี้ยงของตนเองด้วยมุมมองอย่างเดียวกันกับผู้เลี้ยง คือมองเห็นความต้องการของแกะด้วยกัน เรียกว่า เป็นแกะผู้ใหญ่ ที่ทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ ผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณไม่ใช่แค่สอน แต่สามารถตอบสนองต่อความต้องการขั้นพื้นฐานของคนอื่นได้
ภาษาอังกฤษใช้คำว่า holistic ministry แปลว่า พันธกิจครบองค์รวม องค์การอนามัยโลก WHO ได้ให้คำนิยามของคำว่า สุขภาพดี หมายถึงการให้ความช่วยเหลือ ให้คนมีสุขภาพที่ดี ต้องมีเรื่องปัจจัยสี่ (อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และคุณภาพชีวิตด้านสังคมแล้ว ปัจจัยหก ยังมีเรื่องของจิตวิญญาณด้วย มองในมุมกลับ เรื่องของจิตวิญญาณจะต้องมีเรื่องของปัจจัยสี่ ปัจจัยห้าด้วย ด้วย
พระเยซูอยู่ที่ไหน ผู้รับใช้ของพระองค์จะอยู่ที่นั่น นี่เป็นหน้าที่ของผู้ที่เชื่อในพระเยซูที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน จะพบพระเยซูในที่ที่มีความต้องการทุกด้าน ปัจจัยสี่ ปัจจัยห้า และปัจจัยหก ส่วนปัจจัยอื่น นอกเหนือจากนี้ จะทำให้คุณสูญเสียการพบกับพระเยซู เดี๋ยวนี้ โทรศัพท์มือถือ กลายเป็นปัจจัยเจ็ด และปัจจัยอื่นๆก็ตามมา มนุษย์ให้บทสรุปกับเงินว่าจะสามารถตอบสนองต่อปัจจัยต่างๆได้
การช่วยเหลือขององค์กรที่ไม่แสวงหากำไรจะไม่ให้เงิน แต่จะจัดหาปัจจัยสี่ ปัจจัยห้า และปัจจุบันเพิ่งจะรวมปัจจัยหกไปด้วย
เมื่อพระเยซูทรงเสด็จมายังโลกนี้ พระองค์ทรงมีสายตามุมมองอย่างนี้
มัทธิว 9:35-36 35 พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ประกาศข่าวประเสริฐ แห่งแผ่นดินของพระเจ้า ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย36 และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง
พระเยซูทรงมองเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเนื่องจากบาป มันมากมายทีเดียว บาปทำให้คนเป็นโรค เจ็บป่วย ทุกอย่าง ถูกรังควานด้วยผี วิญญาณชั่ว บาปทำให้มนุษย์ขาดจากพระเจ้า ทำให้มนุษย์ขาดสวัสดิภาพและความปลอดภัย พระเจ้าเป็นผู้นำสวัสดิภาพมายังมนุษย์ แต่บาปได้เป็นอุปสรรคต่อการเชื่อมต่อกับพระเจ้า
นี่คือเหตุผลว่า พระเยซูต้องเสด็จมาเพื่อจัดการกับบาป และผู้ที่เชื่อในพระองค์คือตัวแทนของพระเยซู เป็นมือ เป็นเท้า เป็นเครื่องมือที่จะนำการปลดปล่อย การเลี้ยงดูไปถึงคนทั้งโลก คริสตจักรคือคำตอบของโจทย์นี้ และเราทั้งหลายถูกเรียกมาเพื่อจะถูกส่งออกไปทำพันธกิจนี้ พระเยซูทรงเรียกคนให้เป็นสาวกของพระองค์ด้วยคำว่า จงตามเรามา เพื่อพระองค์อยู่ที่ไหน ผู้รับใช้ของพระองค์ก็จะอยู่ที่นั่น ถ้าเราอยากจะพบกับพระเยซู เราต้องอยู่ในสนามการรับใช้ สนามการรับใช้จะมีคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ คนที่กำลังเดือดร้อน คนที่กำลังถูกรับควาน คนที่เป็นแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง น่าสนใจตรงนี้ว่า ไม่ใช่แพะ แต่เป็นแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง แล้วแพะโผล่มาตอนไหน แพะคือใคร เป็นไปได้ไม๊ ที่จะเป็นคริสเตียนที่ไม่ทำตัวเป็นแกะ ก็จะเป็นแพะอยู่ท่ามกลางฝูงแกะ วันที่พระเยซูเสด็จมา แพะจะโผล่ออกมา บางคนจะเซอร์ไพร์สว่า เอ๊ะ เป็นแกะอยู่ดีๆ ทำไมกลายเป็นแพะ
จงพบพระเยซูในสนามการรับใช้ พระองค์จะนำ จะสอนให้เราทำหน้าที่ผู้รับใช้ในทีมเดียวกันกับพระองค์ ในความไพบูลย์ของพระเยซูจะเด่นชัดในสนามรับใช้ คุณจะไม่ขาดแคลนสิ่งใดเลย ถ้าพระเยซูสั่ง พระองค์จ่าย
มีคำเปรียบเทียบชีวิตคริสเตียน จงเป็นเหมือนท่อให้น้ำไหลผ่าน แล้วคุณจะไม่ขาดพระพรใหม่ๆที่เข้ามาในชีวิตเลย คริสเตียนบางคน เป็นเหมือนท่อที่ปิดก๊อกน้ำ มีแต่น้ำค้าง เป็นพระพรที่รอวันแห้งหมดไป ไม่มีพระพรใหม่ไหลผ่าน เพราะหวงที่จะเปิดก๊อกให้กับคนอื่น ทำตัวแต่จะรับ แต่กลับรับก็ไม่ได้เพราะกลัวที่จะให้ เลยตันอยู่แค่พระพรเก่าๆ เพราะไม่พบพระเยซู
ยอห์น 4:13-14 13 พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก14 แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์”
ในสนามการรับใช้จริง (ไม่ใช่เสมือนจริง) ต้องพบพระเยซูของจริง จะไม่มีคำว่า แห้ง ไม่มีวันกระหาย อาจจะเหนื่อย ได้พักก็หายเหนื่อย แต่แห้ง หมายถึงไม่มีชีวิตชีวา มีแต่จะหมดไฟ และหมดพลังไป
ผู้รับใช้ของพระคริสต์…พบพระเยซูได้ทุกที่
2. ทำหน้าที่เป็นบานประตูนิรันดร์ วิวรณ์ 3:20
20 นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา
และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา
การเป็นบานประตูนิรันดร์เกิดขึ้น เริ่มต้นด้วยการเปิดใจของเราให้พระเยซูเข้ามาในชีวิต การนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน เป็นกิจกรรมของการสร้างความสัมพันธ์ของคนในยุคโบราณ ปัจจุบันเราก็ยังทำอยู่ สำหรับคนยุคนั้น คือความเป็นส่วนตัว คือเวลาของครอบครัวและมิตรสหายเท่านั้น คนแปลกหน้า คนอื่น ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วย เมื่อเรารับเชื่อ คือการเปิดใจให้พระเยซูเข้ามาสัมพันธ์กับเรา และเราสัมพันธ์กับพระองค์ ชีวิตที่สัมพันธ์กับพระเยซู จะเปลี่ยนตัวเราเป็นบานประตูนิรันดร์สำหรับคนอื่นด้วย
….ประตูเปิด เป็นสำนวนหมายถึงมีโอกาสดีๆ ประตูปิด หมายถึง พลาดโอกาสดีๆ หรือไม่มีโอกาสเลย
วิวรณ์3:7-8 7 “จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองฟีลาเดลเฟียว่า ‘พระองค์ผู้บริสุทธิ์ ผู้สัตย์จริง ผู้ทรงถือลูกกุญแจของดาวิด ผู้ทรงเปิดแล้วจะไม่มีผู้ใดปิด ผู้ทรงปิดแล้วจะไม่มีผู้ใดเปิด ได้ตรัสดังนี้ว่า8 “ ‘เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า ดูเถิด เราได้ตั้งประตูซึ่งเปิดไว้ตรงหน้าพวกเจ้า ประตูนี้ไม่มีใครปิดได้ เรารู้ว่าเจ้ามีกำลังเพียงเล็กน้อย แต่กระนั้นเจ้าก็ได้ประพฤติตามคำของเรา และไม่ได้ปฏิเสธนามของเรา
ในหนังสือวิวรณ์ได้กล่าวถึงคำตรัสของพระเยซูที่พูดกับเจ็ดคริสตจักรซึ่งหมายถึงคริสจักรของพระเยซูจะมีเจ็ดลักษณะ และคริสตจักรฟิลาเดลเฟีย เป็นคริสตจักรที่มีชื่อมาจากรากศัพท์แปลว่า รักกันฉันต์พี่น้อง (ครอบครัวเดียวกัน) วิวรณ์ตอนนี้ ได้กล่าวถึงประตู และลูกกุญแจที่คริสตจักรนี้จะใช้ พระเยซูทรงเป็นเชื้อสายของดาวิดที่พระคัมภีร์ได้กล่าวคำทำนายไว้ล่วงหน้าว่า พระเมสสิยาห์ ผู้ปลดปล่อย ผู้ไถ่ จะมาบังเกิดจากเชื้อสายนี้
คนยิวรอคอยการเสด็จมาเพื่อปลดปล่อยพวกเขาออกจากการเป็นทาส จากการถูกกดขี่ในยุคของอาณาจักรโรม และเมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์ทรงตอบโจทย์ชีวิตต่างๆให้กับคนยิวในเวลานั้น จนคนมากมายติดตามพระองค์ และต้องการจะตั้งพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ เพราะได้เห็นสิ่งต่างๆที่พระเยซูทรงสอน ทรงทำ ได้พิสูจน์ว่า พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นความหวัง เป็นแสงสว่างนำทางอย่างแท้จริง แต่พระเยซูทรงสอนสาวกของพระองค์ (สาวกแปลว่า ผู้เรียนรู้) ผู้ที่ติดตามพระเยซูด้วยใจจริง
พระเยซูทรงบอกกับสาวกว่า พวกเขานั่นแหละคือผู้ที่จะทำกิจอย่างเดียวกันกับพระเยซู พระองค์ได้มอบลุกแจ เพื่อจะเปิดหรือปิดประตู
มัทธิว16:18-19 18 ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้19 เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย”
ชีวิตของสาวก (คริสเตียนแท้) คือ บานประตูนั่นเอง ประตูคือเปิดโอกาส หรือปิดโอกาส
สดุดี 24:7-8 7 ประตูเมืองเอ๋ย จงยกหัวของเจ้าขึ้น บานประตูนิรันดร์เอ๋ย จงยกขึ้นเถิด เพื่อกษัตริย์ผู้ทรงพระสิริจะได้เสด็จเข้ามา
8 กษัตริย์ผู้ทรงพระสิรินั้นคือผู้ใด คือพระเจ้า ผู้เข้มแข็งและทรงอานุภาพ พระเจ้าผู้ทรงอานุภาพในสงคราม
คริสตจักร คือประตูเมืองที่เราอาศัยอยู่ในมิติฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง คริสตจักรคือผู้เปิดหรือปิดบรรยากาศสวรรค์ให้กับที่ที่คริสตจักรตั้งอยู่ คริสตจักรไม่ใช่ตัวอาคาร แต่คือผู้เชื่อทุกคน เราทุกคนคือผู้กำหนดบรรยากาศสวรรค์ ในครอบครัว ในที่ทำงาน ในที่ที่เราไป พระเยซูอยู่ที่ไหน ผู้รับใช้ของพระองค์อยู่ที่นั่น รักกันฉันท์พี่น้อง ในครอบครัวเดียวกันของพระเจ้า
เราจะพบพระเยซูได้ที่ไหน เมื่อเราเป็นบานประตูนิรันดร์ให้กับคนอื่น
นั่นหมายถึงการเปิดโอกาสให้พระเยซูทรงเสด็จมาทำบทบาทเป็นผู้เข้มแข็ง สำหรับผู้ที่อ่อนแอ เป็นผู้ทรงฤทธานุภาพสำหรับผู้ที่จำกัด และเป็นพระเจ้าผู้ทรงอานุภาพในสงครามกับมารซาตาน คือนำชัยชนะมาสู่ผู้ที่พ่ายแพ้ ไม่มีทางสู้
มีคำพูดหนี่งกล่าวว่า ศิษยาภิบาลเป็นผู้เฝ้าประตูเมือง นั่นหมายความว่า มีประตูนิรันดร์มากมายอยู่ในคริสตจักร หน้าที่ของศิษยาภิบาลคือทำให้บานประตูผงกหัวขึ้นต้อนรับการเสด็จมาของพระเยซู ในฐานะของผู้ทรงพระสิริ ผู้เป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็ง และเป็นผู้ทรงฤทธานุภาพในการสงคราม เพื่อจะต่อสู้กับศัตรูตัวจริง คือมารซาตาน)
ให้เราบอกับคนข้างๆว่า คุณคือบานประตูนิรันดร์ จงเปิดให้พระเยซูเสด็จเข้าไปในชีวิตของคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง มิตรสหาย และคนรอบข้าง จงเปิดประตูได้แล้ว แล้วคุณจะพบพระเยซูที่นั่น
“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…พบพระเยซูได้ทุกที่”
1.ในสนามการรับใช้
2.ทำหน้าที่เป็นบานประตูนิรันดร์