“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…เชื่อและวางใจ”
เมื่อวานข้าพเจ้าจับนกน่ารักได้ตัวหนึ่ง มันบินมาติดอยู่ในห้องเก็บของที่ข้าพเจ้าเปิดเอาไว้ เลยจับได้ง่าย มันพยายามจะดิ้นให้หลุดจากมือ ต้องประคองสองมือไม่ให้หลุด รู้ว่า นี่คือนกเลี้ยง ถ้าปล่อยไป คงตาย เพราะหากินเองไม่ได้ ก็นึกๆว่า บ้านไหนเลี้ยงนก จำได้ว่า บ้านที่สามถัดจากเราไป มีกรงนก น่าจะเลี้ยงนก เลยเดินไปเรียกเจ้าของบ้าน ดันเจอแมวอยู่หน้าบ้าน นอนหมอบเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง ทำให้ยิ่งแน่ใจเลยว่า ถ้าปล่อยนกตัวนี้ไป มันน่าจะเสร็จแมวแน่ๆ สุดท้ายก็คือนกจากบ้านนี้จริงๆ เขาไม่รู้ว่า มันหายไป เลยได้มันคืนมา ข้าพเจ้ารู้สึกดีมากเลยที่ได้ช่วยชีวิตของนกตัวเล็กๆนี้ได้
เหตุการณ์นี้ ทำให้หวนคิดไปถึงเรื่องนกแก้วที่เคยเลี้ยงไว้หลายปีที่แล้ว และมันหลุดไป วันที่มันหลุดไป ข้าพเจ้าอธิษฐานกับพระเจ้า และพระเจ้าก็ยืนยันกับข้าพเจ้าว่า เจ้าจะได้มันกลับคืนมา จนผ่านไปเกือบปี วันหนึ่งได้รับการไหว้วานจากเพื่อนให้เอาถาดขนมไปคืนที่บ้านแม่ค้า ซึ่งไม่เคยไป และอยู่ห่างจากบ้านข้าพเจ้าเป็นสิบกิโลเมตร เมื่ออยู่หน้าบ้านแม่ค้าก็เห็นนกแก้วอยู่ในกรง เลยขอแม่ค้าไปเล่นกับนก พอนกเห็นเรา มันก็ตีปีกดีใจมาก นี่คือนกของเราที่หายไป ก็เลยบอกแม่ค้าว่า นี่คือนกของชั้น ที่บินหายไปนานแล้ว แม่ค้าก็ตอบว่า ใช่ มันบินมาตกหน้าบ้านแบบหมดสภาพ แล้วก็เก็บกล้วยจากถังขยะให้มันกิน ขนมันขึ้นสวยกว่าที่ชั้นเลี้ยงเองเสียอีก เลยจ่ายค่าเลี้ยงดูให้แม่ค้า ก็ได้นกคืนกลับมาพร้อมกับกรง ขณะขับรถกลับบ้าน ข้อพระคัมภีร์ที่ว่า พระเจ้าทรงเลี้ยงนกน้อยใหญ่ก็ผุดขึ้นในความคิด
มัทธิว 6:26 26 จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ
ข้าพเจ้าขับรถไป น้ำตาไหลพรากไป ซาบซึ้งในการรักษาสัญญาของพระเจ้า และซาบซึ้งถึงการเลี้ยงดูของพระองค์ นกตัวนี้ได้คืนมาในวันเดียวกันกับที่ประเทศไทยได้รับทับหลังนารายณ์คืนมา จำได้ว่า มาถึงบ้าน เปิดทีวี ก็ออกข่าวนี้พอดี สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เรามองว่า หายไปแล้ว คิดว่าจะไม่ได้รับคืนกลับมาแล้ว หรือสูญเสียไปแล้ว ช่างมัน แต่สำหรับพระเจ้า พระองค์ทรงใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆในชีวิตของเรา พระองค์จะไม่ยอมให้เราสูญเสียไปเปล่าๆ พระองค์ต้องนำคืนกลับมาให้เรา
เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ที่ข้าพเจ้ากำนกตัวเล็กในอุ้งมือ มันพยายามจะดิ้นให้หลุดจากอุ้งมือของข้าพเจ้า ตัวของข้าพเจ้าเองคิดพิจารณาว่า นี่คือนกเลี้ยง ปล่อยไป นกตัวนี้ตายแน่ มองหน้ามัน มันคงจะมองเราเป็นยักษ์ใจร้ายที่ไม่ยอมปล่อยมันไป มันพยายามจะดิ้น ข้าพเจ้าก็ยิ่งกำมันแน่น แต่ไม่ให้มันบาดเจ็บ เพราะต้องการรักษามันไว้ ต้องหาเจ้าของมันให้เจอ คุยกับเพื่อนบ้านอีกคน ก็พยายามหาว่า จะเอาอะไรมาทำกรงให้มัน เพื่อจะหาเจ้าของมันให้เจอ
พระเจ้าคงจะพิจารณาชีวิตของพวกเราทุกคนแบบนี้เหมือนกัน ถ้าปล่อยไป เราแต่ละคนคงแย่ คงตายแน่ พระเจ้าจึงยึดเราไว้ ดังพระคำที่กล่าวว่า
โรม 8:38-39 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้
มีตัวอย่างที่มักจะสาธิตกับพวกเราว่า การจับมือแบบเช็กแฮนด์ ฝ่ายหนึ่งปล่อยมือ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมปล่อย ฝ่ายที่ปล่อยก็ไม่สามารถดึงมือกลับได้ ฝ่ายที่ไม่ยอมปล่อย คือพระเจ้า ที่ยังคงยึดมือของเราไว้ แม้ว่าในบางครั้ง เราจะรู้สึกว่า เราไม่เอาพระเจ้า เราทิ้งพระเจ้า นี่คือสิ่งที่มีพระคัมภีร์อีกตอนยืนยันเรื่องนี้
2ทิโมธี 2:11-13 11 ข้อนี้เป็นความจริง คือถ้าเราตายกับพระองค์ เราก็จะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ 12 ถ้าเรามีความอดทน เราก็จะได้ครองร่วมกับพระองค์ ถ้าเราไม่ยอมรับพระองค์ พระองค์ก็จะไม่ทรงยอมรับเราเช่นเดียวกัน 13 ถ้าเราไม่มีความสัตย์จริง พระองค์ก็ยังทรงไว้ซึ่งความสัตย์จริง เพราะพระองค์จะไม่ทรงเป็นพระองค์เองไม่ได้
ความไม่สัตย์จริงที่พระคัมภีร์กล่าวถึงตรงนี้ หมายถึง ความไม่เชื่อไม่วางใจในพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง พระเจ้าก็ยังคงเป็นที่ไว้วางใจได้ ความไว้วางใจได้ของพระเจ้าไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย เหมือนกับคำที่กล่าวว่า แม้จะมีคนที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง ความไม่เชื่อของคนเหล่านั้นไม่ได้ทำลายการดำรงอยู่ของพระองค์ ทำนองเดียวกัน ถ้าเราไม่วางใจในพระเจ้า พระเจ้าก็ยังเป็นที่ไว้วางใจได้ ความไม่เชื่อของเราไม่ได้มีผลต่อพระเจ้า แต่ในทางกลับกัน มีผลต่อเราแน่ๆ หากเราไม่วางใจในพระเจ้า เราก็พลาดประสบการณ์กับพระเจ้าและพลาดพระพรมากมาย
รอยเท้าบนพื้นทราย เป็นบทกวีความฝันของชายคนหนึ่งที่ฝันว่าได้เดินเคียงข้างไปกับพระเจ้า มีรอยเท้าสองคู่เดินไปด้วยกัน วันหนึ่ง พายุพัดโถมเข้ามาที่ชายหาดนั้น และเขาได้เห็นรอยเท้าเหลือเพียงคู่เดียว แล้วเขาก็ถามหาพระเจ้าว่า พระเจ้าหายไปไหน พระเจ้าตอบเขาว่า พระองค์ไม่ได้หายไปไหน แต่รอยเท้าที่เจ้าเห็นนั้น คือรอยเท้าของเราที่อุ้มเจ้าเอาไว้
นกที่ข้าพเจ้ากำเอาไว้ในอุ้งมือ เพื่อปกป้องมัน มันไม่เข้าใจว่านี่คืออุ้งมือที่ปกป้องมันไว้ มันคิดแต่ว่า มันต้องการเสรีภาพ ต้องการจะบิน ทั้งๆที่มันบินไม่เก่ง และบนตก บินตกอยู่นั่น ทำให้ข้าพเจ้าจับมันได้ง่าย มันหารู้ไม่ว่า มีแมวหมอบรอมันอยู่หน้าบ้านเจ้าของของมัน
ผู้รับใช้ของพระคริสต์…เชื่อและวางใจ จะทำให้ชีวิตของตนเองปลอดภัย และมีบทเรียนมากมาย ที่จะนำมาเป็นตัวอย่างแก่เราจากตัวอย่างในเรื่องของพี่น้องคู่แรกของโลก
ปฐมกาล 4:1-4 1 ฝ่ายชายนั้นสมสู่อยู่กับเอวาภรรยาของตน นางก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชื่อคาอิน นางจึงกล่าวว่า “พระเจ้าทรงโปรดให้ฉันได้ผู้ชายคนหนึ่ง”2 ต่อมานางก็ให้กำเนิดน้องชายของเขาชื่ออาแบล อาแบลเป็นคนเลี้ยงแกะ ส่วนคาอินเป็นคนทำไร่ไถนา3 อยู่มาวันหนึ่งคาอินนำพืชผลที่เกิดจากไร่นามาถวายพระเจ้า4 ส่วนอาแบลก็นำแกะหัวปีจากฝูงและไขมันของแกะมาถวาย พระเจ้าทรงพอพระทัยอาแบลและเครื่องบูชาของเขา
ผู้รับใช้ของพระคริสต์…เชื่อและวางใจ ต้องเรียนรู้บทเรียนของคาอิน
1.รับคำเตือนสติให้หยุดความไม่พอใจ ปฐมกาล 4:6-7
6 พระเจ้าจึงตรัสถามคาอินว่า “เจ้าโกรธเคืองหน้าบูดบึ้งอยู่ทำไม7 ถ้าเจ้าทำดี เราก็จะพอใจรับเจ้ามิใช่หรือ ถ้าเจ้าทำไม่ดี บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู อยากตะครุบเจ้า เจ้าจะต้องเอาชนะบาปนั้นให้ได้”
พระเจ้าเตือนคาอินว่า ให้ระวัง บาปกำลังหมอบคอยที่จะตระครุบคาอิน เพราะคาอิน กำลังเก็บความไม่พอใจไว้ในใจของตนเอง ซึ่งเป็นช่องทางที่จะทำให้ตัวเองกลายเป็นเหยื่อของบาปที่หมอบคอยอยู่ที่ประตู
วันนี้ ในรุ่งอรุณได้มีการกล่าวถึง ประตูจิตใจของเรา ต้องมีคนยามเฝ้าระวัง ไม่ให้สิ่งที่ไม่สะอาดเข้ามาในชีวิตได้ พระเยซูได้สอนประชาชนเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่สะอาดทำให้ชีวิตของเราเป็นมลทิน ไม่ใช่สิ่งที่กินเข้าไปในกระเพาะ อย่างที่พวกฟาริสีสอน แต่สิ่งที่เข้าไปในจิตใจ และสิ่งที่ออกมาจากจิตใจต่างหากที่ต้องใส่ใจ
มัทธิว 15:18-20 18 แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน19 ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ออกมาจากใจ20 สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่ซึ่งจะรับประทานอาหารโดยไม่ล้างมือก่อน ไม่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
ความไม่พอใจ เป็นช่องทางให้เกิดความคิดชั่วร้าย (อันดับแรก) พระเยซูยกตัวอย่างเรื่อง การฆ่าคน…. พระคัมภีร์ได้กล่าวถึง มาตรฐานของพระเจ้า แม้คิดก็ถือว่าได้กระทำแล้ว เรื่องการเป็นผู้ฆ่าคน ในมาตรฐานของพระคัมภีร์ใหม่ในหนังสือ 1ยอห์น ได้วางมาตรฐานไว้อย่างนี้ว่า
1ยอห์น 3:15 15 ผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้องของตนผู้นั้นก็เป็นผู้ฆ่าคน และท่านทั้งหลายก็รู้แล้วว่า ผู้ฆ่าคนนั้นไม่มีชีวิตนิรันดร์ดำรงอยู่ในเขาเลย
ความเกลียดชัง เป็นปฏิกิริยาต่อเนื่องเกิดจากความไม่พอใจ คาอินไม่เชื่อไม่วางใจคำเตือนที่มาจากพระเจ้า คาอิน ปล่อยตัวเองหลุดออกจากมือที่พระเจ้าทรงกุมคาอินไว้ด้วยคำเตือน
ปฐมกาล 4:8 8 ฝ่ายคาอินก็พูดชวนอาแบลน้องชายของตนว่า “เราไปนากันเถอะ” เมื่ออยู่ที่นาด้วยกัน คาอินก็โถมเข้าฆ่าอาแบลน้องชายของตนเสีย
น่าเสียดาย น่าเสียใจ ที่เกิดเหตุพี่ฆ่าน้อง เพราะการไม่เชื่อและไม่วางใจในคำเตือนของพระเจ้า
2.รับคำเตือนเพื่อให้กลับใจ ปฐมกาล 4:9-10
9 พระเจ้าตรัสถามคาอินว่า “อาแบลน้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน” คาอินจึงทูลว่า “ข้าพระองค์ไม่ทราบ ข้าพระองค์หรือเป็นผู้ดูแลน้อง”10 พระองค์ตรัสว่า “เจ้าทำอะไรไป โลหิตของน้องเจ้าส่งเสียงร้องฟ้องขึ้นมาจากดิน
พระเจ้าถามคาอิน เกี่ยวกับเรื่องน้อง ว่าอาแบล อยู่ที่ไหน ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าไม่รู้ แต่พระเจ้าต้องการให้คาอินสำนึกบาป และสารภาพบาป ในตอนนี้ ถ้าคาอินสำนึกบาป และสารภาพกลับใจใหม่ พระเจ้าทรงเป็นผู้เดียวที่สามารถยกบาปให้ได้ พระองค์ต้องการยกบาป แต่คาอินกลับซ่อนบาป (เพราะคิดอย่างโง่ๆว่า พระเจ้าถามเพราะพระเจ้าไม่รู้)
บ่อยครั้งก็มีคริสเตียนที่คิดว่า พระเจ้าไม่รู้ว่า เขาไปทำบาป แอบซ่อนบาปอะไรไว้ ทำเนียนๆ มาโบสถ์แบบไม่มีใครรู้
กาลาเทีย 6:7 7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น
คำเตือนให้กลับใจ เพราะได้ทำบาปแล้ว แต่คาอินแก้ตัวแทนที่จะกลับใจ แถมเสียดสีอีกว่า “ข้าพระองค์ไม่ทราบ ข้าพระองค์หรือเป็นผู้ดูแลน้อง” คำตอบของคาอิน ได้ปิดโอกาสของตัวเอง ที่จะได้รับการยกโทษให้อภัยจากพระเจ้า เมื่อคาอินไม่ยอมสำนึกด้วยตัวเอง คาอินก็ต้องเจอกับพยานหลักฐานที่ฟ้องผิดตัวของคาอิน 10 พระองค์ตรัสว่า “เจ้าทำอะไรไป โลหิตของน้องเจ้าส่งเสียงร้องฟ้องขึ้นมาจากดิน
ผู้รับใช้ของพระคริสต์….เชื่อและวางใจในพระเจ้า ต้องอย่าเป็นผู้ร้ายปากแข็ง เพราะพระเจ้าจะไม่ปล่อยคนของพระองค์ไปง่ายๆ พระองค์กุมเราไว้ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ มีสำนวนที่พูดว่า พ่อแม่จะตีลูกตัวเอง ดีกว่า ปล่อยให้คนอื่นมาตี (เพราะถ้าคนอื่นตี ลูกอาจตาย แต่ถ้าพ่อแม่ตี ไม่ถึงตายหรอก)
แต่มีลูกบางคนที่ไม่ยอมรับโอกาสที่หยิบยื่นให้จากพ่อแม่ ก็ไปตายเพราะคนอื่นที่หมอบคอยตระครุบอยู่นอกบ้าน พระเจ้าทรงเป็นพ่อแม่ของเรา แม้พระองค์จะตี ก็ตีเพื่อให้เรารอดตาย (เหมือนกับมือที่ข้าพเจ้ากุมนกตัวเล็กไว้แน่นขึ้นจนมันขยับไม่ได้ ตอนแรกกลัวมันเจ็บ กุมเอาไว้หลวมๆ แต่มันดิ้น ข้าพเจ้ากลัวว่า มันจะหลุดมือไป ทีนี้ละ เป็นเรื่อง เลยต้องบีบแน่นขึ้น เพื่อให้แน่ให้แน่ใจว่า มันจะไม่หลุดมือไปเป็นอันตราย
ลองคิดดูว่า ถ้ามันหลุดมือไป มันตกลงพื้น ใครจะไวกว่ากัน ระหว่าง แมวกับข้าพเจ้า แน่นอน แมวไวกว่า อะไรจะเกิดขึ้น ถ้ามันไปอยู่ในปากแมว
1เปโตร 5:7-8 7 จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย 8 ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้
น่าสนใจในข้อพระคัมภีร์ตอนนี้ ก่อนที่จะเตือนว่า ระวังสิงโตคือมารซาตาน คำเตือนอันหนึ่งที่มาก่อน คือ 7 จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ คำว่า กระวนกระวาย คือคำเดียวกันกับที่พระเยซูทรงสอนในมัทธิว
มัทธิว 6:25-26 25 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ26 จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ
นกอีกแล้ว พระเยซูทรงเปรียบเทียบชีวิตของเราเหมือนกับนกในอากาศ ชีวิตของเรามีค่ามากกว่านก ขอให้เราเชื่อและวางใจในพระเจ้า เราประเสริฐกว่า คือมีค่ามากกว่านก จงรับคำเตือนเพื่อให้กลับใจ
คำเตือน อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เราอึดอัด เหมือนมือของพระเจ้ากุมเราไว้ เหมือนพระเจ้าอุ้มเราไว้ เหมือนรอยเท้าเดียวที่เราเห็น แต่นั่นคือรอยเท้าของพระเจ้า และบทเรียนสุดท้ายของคาอินที่คริสเตียนบางคนไถลไปไกล จากโอกาสที่จะกลับใจ ทำยังไงดี….
3.วิเคราะห์ผลแก้ปัญหา ปฐมกาล 4:11-12
11 บัดนี้เจ้าจะต้องถูกสาปจากที่ดินที่ได้อ้าปากรับโลหิตน้องจากมือเจ้า12 ต่อไปเมื่อเจ้าทำนาจะไม่เกิดผลมาก เจ้าจะต้องหลบหนีและพเนจรไปในโลก”
ทำนาไม่เกิดผล ต้องตกในสภาพหลบหนี และพเนจร การทำนาไม่เกิดผล เปรียบเหมือนการทำอะไรก็ไม่ได้รับผลที่ดี สภาพหลบหนี คือตกอยู่ภายใต้ความกลัว และพเนจร เปรียบเหมือนกับการไม่ปักหลัก มั่นคงสักที ทั้งหมดนี้ ทำให้มีชีวิตอยู่อย่างไม่เป็นสุข (เหมือนไม่ได้รับพระพร)
อย่าเพิ่งรู้สึกสิ้นหวัง อย่ารู้สึกว่า เป็นการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับเราตลอดไป มีทางแก้ไข แต่อันดับแรก เราต้องยอมรับความจริงว่า มันคือผลจากบาปของการไม่เชื่อและวางใจ และเป็นผลจากการพลาดโอกาสที่พระเจ้าให้ในการกลับใจใหม่ หากเราวิเคราะห์คำสั่งสอนของพระเยซูในการเป็นสาวกของพระองค์
ยอห์น 13:35 35 ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา”
1ยอห์น 3:11-12 11 นี่เป็นคำสั่งสอนที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เริ่มแรก คือให้เราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน12 จงอย่าเป็นเหมือนคาอินที่มาจากมารและได้ฆ่าน้องของตนเอง และเหตุใดเขาจึงฆ่าน้อง ก็เพราะการกระทำของเขาชั่วและการกระทำของน้องนั้นชอบธรรม
ทางที่จะนำเรากลับออกจากสภาพการสูญเสียของคาอิน คือ ความรักกันและกัน
1เปโตร 4:8 8 ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรหมดก็คือจงรักซึ่งกันและกันให้มาก เพราะว่าความรักลบล้างความผิดมากมายได้
เราเชื่อและวางใจในคำนี้หรือไม๊ พระเยซูทรงตรัสว่า อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย แต่วางใจ
ยอห์น 14:1 1 “อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย
เมื่อเราวิเคราะห์ผลให้พบรากของปัญหา จงจบลงด้วยการแก้ปัญหา การรักกันและกัน คือคำตอบสุดท้าย ของการเชื่อและวางใจในพระเจ้า อาเมน
ผู้รับใช้ของพระคริสต์…เชื่อและวางใจ
1.รับคำเตือนสติให้หยุดความไม่พอใจ
2.รับคำเตือนเพื่อให้กลับใจ
3.วิเคราะห์แก้รากปัญหา