“ล้มยักษ์ที่เกินกำลังของตนเอง”
ซูโม่ เป็นกีฬามวยปล้ำประจำชาติญี่ปุ่น การแข่งขันซูโม่ จะไม่มีการแบ่งรุ่นตามน้ำหนัก นักซูโม่ที่ตัวเล็กสุดอาจต้องต่อสู้กับนักซูโม่ที่ตัวใหญ่สุดอย่างช่วยไม่ได้ เป้าหมายของนักซูโม่คือการล้มคู่ต่อสู้ให้ลงไปนอนบนพื้นสังเวียน หรือให้ก้าวเท้าออกไปนอกวงให้ได้ (เรียกว่า”โยริกิริ”) การแข่งขันยกนึงจะใช้เวลาประมาณ6วินาที ด้วยความจำกัดของเวลาในแต่ละยก จึงต้องมุ่งล้มคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว แต่ก็อาจจะพลาดท่าเสียทีเองก็ได้ อาจจะมีบางกรณีที่ล้มลงหรือสัมผัสกับพื้นดินเเทบจะพร้อมกัน จะถือว่านักซูโม่คนเเรกที่ลงถึงพื้นก่อนเป็นผู้ชนะ ซึ่งจะเรียกกรณีเเบบนี้ว่า ศพ เป็นเทคนิค ที่ทำให้คู่ต่อสู้ล้ม ด้วยเอาตัวเองล้ม กรรมการก็จะตัดสินการล้มพร้อมกันให้คนที่ล้มก่อนชนะ
กติกาซูโม่เรื่องการล้มทั้งคู่ ใครล้มก่อน คนนั้นชนะ สอดคล้องกับคำสอนของพระเยซูคริสต์เรื่อง เมล็ดข้าวที่ต้องตกลงบนดิน
ยอห์น 12:24-25 24 เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงดินและตายไป ก็จะคงอยู่เมล็ดเดียว แต่ถ้าตายไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก25 คนที่รักชีวิตตัวเองต้องเสียชีวิต และคนที่เกลียดชังชีวิตตัวเองในโลกนี้จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์
พระเยซูทรงชี้ให้เห็นยักษ์ในชีวิตของมนุษย์ทุกคน คือ ความตาย เพราะทุกคนรักและหวงชีวิตตนเอง แต่ไม่สามาถรับมือกับการธำรงชีวิตไว้ถึงนิรันดร์ได้ ในการพยายามรักษาชีวิตให้ดำเนินต่อไปบนโลกนี้ ยิ่งรักชีวิตมากเท่าไหร่ การมีชีวิตก็ยิ่งเหมือนอยู่ในสนามต่อสู้อย่างซูโม่
ในยุคนี้ เราได้เห็นความพยายามดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอดของคนมากมาย ในรูปแบบต่างๆกันไป ยักษ์ ตัวใหญ่ของแต่ละคนที่ต้องปล้ำสู้ กับแรงต้านของชีวิต บางคนเทียบปัญหาของตนเองเหมือนกับยักษ์ที่ใหญ่กว่า ตัวเองเล็กมากในสนามแห่งการต่อสู้นี้ เกินกำลังตัวเองที่จะล้มยักษ์
เราคงได้ยินคำพูดที่ว่า ปัญหาที่กำลังเผชิญนั้น มันใหญ่เกินตัว แต่เรามักลืมมองปัญหาใหญ่กว่า นั้นคือตัวเราเอง
มัทธิว 16:24-25 24 ขณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา25 เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด
ถ้าเราจะ ล้มยักษ์ ต้องล้มแบบล้มพร้อมกัน และแตะพื้นก่อนยักษ์ฝ่ายตรงกันข้าม ตายต่อตัวเองก่อน เป็นศพก่อน แล้วจะฟื้นกลับคืนมา การตายต่อตัวเอง ทำให้ปัญหาต่างๆ ไม่สามารถส่งอิทธิพลต่ออารมณ์ความคิดของเราได้
โรม 8:36-37 36 ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์จึงถูกประหารวันยังค่ำ และนับว่าเป็นแกะสำหรับจะเอาไปฆ่า37 แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย
การที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน ดูเหมือนพระเยซูแพ้ แต่พระองค์กลับชนะ พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า การตายบนไม้กางเขนของพระเยซู คือชัยชนะ
ฮีบรู 12:1-2 1 เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา2 หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ได้ทรงอดทนต่อกางเขน เพื่อความรื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์ ทรงถือว่าความละอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญและพระองค์ได้ประทับ ณ เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า
พระเยซูมาเพื่อบุกเบิกความเชื่อว่า มียักษ์ในชีวิตของมนุษย์ทุกคน เราต้องการพระเยซู เป็นผู้บุกเบิกความเชื่อให้เราทุกคนสามารถทำได้ ในการล้มยักษ์ภายในตัวเราเอง อดทนต่อกางเขนของพระเยซู คือโมเดล การล้มยักษ์ เราทุกคนมีกางเขนของตนเอง ที่จะต้องแบกไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ในขณะที่โลกนี้ พยายามจะให้เราทิ้งกางเขนของตนเอง และเดินตามโลกนี้ พ่ายแพ้ต่อตัณหาความปรารถนาของตนเอง กระแสของสังคม ของโลกนี้ มุ่งให้ใจคนเป็นใหญ่ ใจคนเป็นยักษ์ตัวจริง
2เปโตร 2:19 19 …..เพราะว่ามนุษย์พ่ายแพ้แก่สิ่งใด เขาก็เป็นทาสของสิ่งนั้น
คำไทย มีคำว่า แพ้ใจตนเอง และเรามักจะโทษปัจจัยภายนอกว่าทำให้ตนเองพ่ายแพ้ แต่ความจริง คือจิตใจภายในต่างหากที่ควบคุมเราเหมือนยักษ์ ที่มีแรงมาก
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ปัญหาอยู่กับเราไม่นาน แล้วมันก็ไป แต่เรามักจะชอบอยู่กับปัญหานานๆ การอยู่กับปัญหานานๆ หมกหมุ่นกับมันตลอดเวลานั่นแหล่ะคือยักษ์ที่กำลังควบคุมเรา เราต้องล้มยักษ์ ด้วยการต่อสู้เอาชนะตนเองให้ได้
กาลาเทีย 5:17 17 เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำจึงกระทำไม่ได้
ในการต่อสู้ เราต้องเลือกว่า เราจะอยู่ฝ่ายไหน เนื้อหนัง หรือพระวิญญาณ
2โครินธ์ 10:4-5 4 เพราะว่าอาวุธของเราที่ใช้สู้รบไม่ใช่แบบมนุษย์ แต่เป็นฤทธานุภาพจากพระเจ้าที่จะทำลายป้อมปราการได้ คือทำลายเหตุผลปลอมทั้งหลาย 5 และความเย่อหยิ่งทุกรูปแบบที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และจะยึดกุมความคิดทุกประการให้มาเชื่อฟังพระคริสต์
เราต้องการฤทธิ์เดชจากพระเจ้าในการต่อสู้ ฤทธิ์เดชของพระเจ้ามีจริง มีไว้ให้เราทุกคน ไม่ใช่ให้เราแผลงฤทธิ์ แต่ให้เราต่อสู้กับตัวเราเอง เมื่อใดที่เราชนะตัวเอง ฤทธิ์เดชจากพระเจ้าจะทำงานผ่านชีวิตของเรา ต่อสู้กับยักษ์ภายนอกได้ไม่ยาก ควบคุมภายนอกได้อย่างง่ายดาย
เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่แล้ว พวกเราได้ไปทำพันธกิจที่โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์บางกรวย และเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ ก่อนเราเดินทางไป ในช่วงนมัสการตอนเช้า ข้าพเจ้าพูดทางธรรมมาสต์กับพี่น้องแล้วว่า มีบางอย่างต้องการขัดขวางไม่ให้เราไปทำพันธกิจครั้งนี้ ทั้งเชื้อหิดระบาด ทั้งไฟไหม้ดาดฟ้าโรงเรียน แต่เราจะไป เราจะนำการเยียวยาไปให้กับเด็กๆที่โรงเรียนนี้ (และนี่คือ การเอาชนะเหตุผล ความกลัวใดๆ)
หลังจากเราเสร็จพันธกิจการเยียวยา มีเด็กร้องไห้รับการเยียวยาหลายคน เราได้หว่านเมล็ดแห่งความหวัง ความเชื่อ และความรัก ให้เด็กได้รู้จักพระเยซู ต้องขอบคุณพันธกิจลูกโป่งของเซลล์ตลาดพลู ได้ทำให้เด็กๆ ยังไม่กลับหอนอน และขณะนั้นเอง เกิดไฟไหม้ รุนแรงมาก มีเด็กบางคนกลับเข้าไปห้าคนติดในไฟนั้น แต่ก็ออกมาได้อย่างปลอดภัย วันนี้ ข้าพเจ้าเขียนสูจิบัตรเล่ารายละเอียดลำดับเวลาและเหตุการณ์ให้พี่น้องได้บันทึกเป็นการเริ่มต้นพันธกิจ สู่ การเก็บเกี่ยวใหม่ ในฤดูกาลใหม่ ที่เราจะไม่ทำอะไรเดิมๆที่ไม่เกิดผล สิ่งใหม่ๆกำลังเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ไปวันนั้น อะไรจะเกิดขึ้น ….เด็กส่วนใหญ่จะนอนหลับในหอนอนตอนบ่ายวันอาทิตย์ ที่แล้ว สะเก็ดไฟจากพัดลมที่ถูกใช้งาน มันจะทำหน้าที่ของมัน คือช็อต และเกิดประกายไฟ
เรากำลังต่อสู้กับยักษ์ที่มองไม่เห็น ดูเหมือนน่ากลัว เราไม่ต้องใช้ฤทธิ์เดชเพื่อต่อสู้ เราใช้หัวใจ ที่มีความรัก เราก็ชนะ และพระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่างให้กับเรา
แต่ยักษ์ตัวจริง ภายในตัวเราต่างหากที่น่ากลัวกว่า แต่อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์สองทิโมธีได้กล่าวว่า
2ทิโมธี 1:7 7 เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ประทานใจที่ขลาดกลัวแก่เรา แต่ประทานใจที่ประกอบด้วยฤทธานุภาพ ความรัก และการบังคับตนเองแก่เรา
ใจใหม่ที่พระเจ้าประทานให้กับเรา คือใจที่ประกอบด้วยฤทธ์(กำลัง) ความรัก และการบังคับตนเอง
ยักษ์ตนแรกภายในชีวิตเราคือความต้องการของเนื้อหนัง พระคัมภีร์สองทิโมธีกำลังบอกเราว่า พระเจ้าประทานใจที่มีฤทธิ์(กำลัง) ใจที่มีความรัก และใจที่มีการบังคับตนเอง สามอย่างนี้อยู่ในใจใหม่ ที่จะมีกำลังอย่างซูโม่ เพื่อปล้ำสู้กับยักษ์หลายตัวในตัวเรา คือความต้องการของเนื้อหนัง และยักษ์ตัวสำคัญก็คือ…
ความเย่อหยิ่งทุกรูปแบบที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า
เพื่อเป้าหมายคือ ……และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์
ทำไมเราต้องเชื่อฟังพระเยซูทุกประการ เหตุผลก็คือ การบังคับบัญชาจากพระเยซู คือกำลังฤทธิ์เดชที่เราจะชนะยักษ์ภายนอกตัวเรา เช่นปัญหา อุปสรรค์ของชีวิตได้ทุกอย่าง พระเยซูตรัสว่า
ลูกา 6:47-49 47 ทุกคนที่มาหาเราและฟังคำของเราแล้วทำตาม เราจะสำแดงให้พวกท่านรู้ว่าเขาเป็นเหมือนอะไร48 เขาเป็นเหมือนคนหนึ่งที่สร้างบ้าน เขาขุดลึกลงไปแล้ววางรากฐานอยู่บนศิลา เมื่อมีน้ำท่วมและมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวมาซัดบ้านนั้น มันก็ไม่หวั่นไหว เพราะถูกสร้างไว้อย่างมั่นคง49 ส่วนคนที่ได้ยินและไม่ทำตาม ก็เป็นเหมือนคนหนึ่งที่สร้างบ้านอยู่บนดินโดยปราศจากรากฐาน เมื่อมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวมาซัดบ้านนั้น มันก็พังทลายลงทันที และความหายนะของบ้านนั้นก็ยิ่งใหญ่”
พายุชีวิต เป็นหนึ่งในยักษ์ภายนอกที่พร้อมจะทำลายชีวิตที่ไม่มั่นคง ชีวิตที่หวั่นไหวง่ายกับแรงปะทะต่างๆนาๆ
ข่าวสารต่างๆที่เราได้ยิน ล้วนเป็นเรื่องของชีวิตของคนที่พังทะลาย เพราะพายุชีวิต คนไม่น้อยฆ่าตัวตาย และสังคมก็สรุปว่า เป็นโรคซึมเศร้า จนมีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ในอนาคตอันใกล้ โรคซึมเศร้าจะครองโลก นั่นคือ คนส่วนใหญ่จะถูกควบคุมด้วยยักษ์ตัวนี้
เรากำลังอยู่ในสนามต่อสู้อย่างซูโม่ ที่เราต้องเจอกับคู่ต่อสู้ตัวใหญ่กว่าเรา แต่ความจริงก็คือ ยักษ์ใหญ่ถูกล้มจากคู่ต่อสู้ตัวเล็กกว่า ด้วยเทคนิค ทักษะในการล้มยักษ์ และนี่คือ ภาพของชีวิตคริสเตียนที่ต้องต่อสู้เพื่อล้มยักษ์ใหญ่ที่เกินกำลังของตัวเราเอง จึงมีคำในพระคัมภีร์กล่าวว่า
ฟิลิปปี 4:13 13 ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
รากศัพท์กรีก คำว่า เสริมกำลัง strengthen แปลว่า ทำให้สามารถ ทำให้มีกำลัง ทำให้แข็งแรง นั่นหมายความว่า แม้ตัวเราจะเล็ก แม้ตัวเราจะอ่อนแอ แม้ด้อยสติปัญญา แม้จะถูกจำกัด ด้วยอะไรก็ตาม เราสามารถจะล้มยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าได้ โดยการพึ่งพาพระเจ้าผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา
ฟิลิปปี 2:13 13 เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ให้ท่านมีใจปรารถนา ทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์
ลูกา 1:37 37 เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเจ้าทรงกระทำไม่ได้”
วันนี้ เวลานี้ พี่น้องกำลังเผชิญกับอะไร ที่มันเกินกำลังของตนเอง จงลุกขึ้น ต่อสู้ ล้มยักษ์ทั้งสองยักษ์ ชนะยักษ์ภายในที่เป็นความต้องการของเนื้อหนังก่อน ยักษ์ภายนอก ก็จะล้มไปอย่างง่ายดาย
2โครินธ์ 3:17 17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น
เสรีภาพ คือการหลุดจากการควบคุมของยักษ์ในชีวิต ทั้งภายใน และภายนอก จงดำเนินชีวิตให้พระเจ้ามีส่วนในการตัดสินใจกับชีวิตตลอดเวลา จะทำให้เรามีเสรีภาพ ด้วยการฟังเสียง เชื่อฟัง ตอบสนอง ต่อการสำแดง เร้าใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผ่านการอธิษฐาน ผ่านการนมัสการ ผ่านพระวจนะ ผ่านคำเทศนา ผ่านคำหนุนใจ คำตักเตือน คำแนะนำที่ดีๆ นี่คือ การต่อสู้กับยักษ์ที่เกินกำลังตนเอง แล้วคุณจะล้มยักษ์ได้หลายตนทีเดียว
ปัญหาจะไม่ใช่ปัญหา อุปสรรคจะไม่ใช่อุปสรรค แรงกดดันจะไม่ใช่แรงกดดัน ความจำกัดจะไม่ใช่ความจำกัดอีกต่อไปสำหรับคนของพระเจ้า ผู้เชื่อและดำเนินชีวิตอย่างสาวกของพระเยซู เพราะพระองค์สอนให้เราเผชิญกับความจริงว่า มียักษ์ที่เกินกำลังเรา แต่เราต้องต่อสู้ ไม่วิ่งหนี และเป้าหมายในการต่อสู้ คือล้มยักษ์ ชนะให้ได้ ผ่านมันไปให้ได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังเราทุกคนด้าน
ดาวิด ฆ่าโกลิอัท มนุษย์ยักษ์ (สูงสามเมตรเกือบสี่เมตร มีกำลังมหาศาล และเป็นที่หวาดกลัวของกองทัพอิสราเอลทุกคน) แต่ดาวิดใช้เพียงแค่ก้อนหินเล็กๆก้อนเดียว ที่ใช้เป็นกระสุนใส่ในสายสลิง ด้วยความชำนาญ ในการเหวี่ยงกระสุนก้อนหินนั้นอย่างแม่นยำ โกลิอัทล้มลงทันที
วันนี้ เราทุกคน มีกระสุน คืออาวุธ (พระแสงดาบของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า) เพื่อใช้ล้มยักษ์ แต่สิ่งที่เราต้องการคือ การฝึกปรือ การอบรม การซ้อมในสนามจริง ความแม่นยำ ในการใช้อาวุธนั้น ระวังที่จะใช้อาวุธผิดประเภท ผิดเป้าหมาย ผิดคู่ต่อสู้ จะกลายเป็นการต่อสู้ที่ไม่จำเป็น
2โครินธ์ 10:3-5 3 เพราะว่า ถึงแม้ว่าเราอยู่ในโลกก็จริง แต่เราก็มิได้สู้รบตามโลกียวิสัย4 เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า อาจทำลายป้อมได้5 คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์
“ล้มยักษ์ที่เกินกำลังของตนเอง”