“ชีวิตที่เกิดผล…มีสัญญาณฝ่ายวิญญาณดี”
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา โทรศัพท์ของข้าพเจ้าไม่สามารถรับสายหรือโทรออกได้ ใครโทรเข้ามาพอรับสายก็ขาด โทรออกไปได้สักพักสายก็ขาด ดูเหมือนขาดการติดต่ออย่างสิ้นเชิง ใช้ 3G ก็ไม่ได้ ดีที่มีไลน์ในคอมพิวเตอร์ เลยติดต่อผ่านไลน์ให้ทีมงานช่วยโทรหาคนนั้นคนนี้แทน เมื่อเอาโทรศัพท์ไปให้ที่ศูนย์ตรวจสอบ ผลปรากฏว่า เป็นที่โทรศัพท์เสีย ไม่ใช่ซิมการ์ด คำแนะนำก็คือ ต้องเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่อย่างเดียว การสื่อสารติดขัด ติดต่อไม่ได้เลย นี่คือภาพเดียวกันกับการสื่อสารฝ่ายวิญญาณ ถ้าเครื่องรับสัญญาณฝ่ายวิญญาณของเราไม่สามารถรับสายหรือโทรออกได้ เราจะทำอย่างไร มีคริสเตียนจำนวนไม่น้อย ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ เพราะเห็นว่ายังไม่ถึงคราวจำเป็น แต่พอถึงคราวจำเป็นจริงๆ ทำอะไรไม่ถูก จะโทรออก (พูดกับพระเจ้า) หรือรับสายเข้า (ฟังเสียงของพระเจ้า) ก็ไม่ได้ ต้องอาศัยคนอื่นทำแทน อาจารย์ช่วยอธิษฐานเผื่อหน่อย พี่เลี้ยง หัวหน้าเซลล์ ช่วยอธิษฐานเผื่อหน่อย คำถาม….คุณไม่รู้สึกอึดอัดเหรอ คำตอบก็คือ ถ้าเราเคยรับสัญญาณฝ่ายวิญญาณเหมือนกับเคยใช้โทรศัพท์ แล้ววันหนึ่ง สัญญาณฝ่ายวิญญาณหายไป เหมือนกับสัญญาณโทรศัพท์หายไป ไม่สามารถโทรออกหรือรับสายได้ เราจะรู้สึกอึดอัด ไม่คล่องตัว เราต้องตรวจสอบเครื่องโทรศัพท เช่นเดียวกับเราต้องตรวจสอบสัญญาณฝ่ายวิญญาณของเราว่า มีบางอย่างผิดปกติแล้ว เราจะไม่อยู่นิ่งเฉย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เพราะว่า ในยามฉุกเฉิน เราจำเป็นต้องใช้ เราจะไม่สามารถใช้งานได้ เราคงได้ยินเรื่องราวของคนที่ไม่เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับโทรศัพท์มือถือ พอเกิดเรื่องฉุกเฉิน มีโทรศัพท์ก็เหมือนไม่มี อย่างกรณีของข้าพเจ้าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามีแขกต่างประเทศที่ต้องต้อนรับจากอินโดนีเซีย และมีแขกต่างประเทศที่อยู่เชียงใหม่ที่มีเรื่องฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือด่วน โทรศัพท์ข้าพเจ้าพัง ก็ต้องรีบเปลี่ยนใหม่ ลังเลใจว่าจะซื้อตอนไหนดี ที่ดีที่สุดสำหรับเรา เปลี่ยนครั้งหนึ่งก็ต้องใช้งานนาน พระเจ้าทรงรู้ก็เลยให้คนส่งเงินมาให้เปลี่ยนโทรศัพท์ พอเปลี่ยนปุ๊ป ได้รับสัญญาณเลย ว่าลูกเพื่อนประสบอุบัติเหตุอยู่เชียงใหม่ ต้องบินกลับสหรัฐเพื่อรับการผ่าตัด วันนี้ต้องไปรับที่สนามบินดอนเมือง เมื่อวานซืนและเมื่อวานก็สามารถติดต่อได้อย่างรวดเร็ว ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราไม่เตรียม พร้อมในเรื่องสัญญาณฝ่ายวิญญาณที่ดี ชีวิตที่มีพระเจ้าของเราอาจจะเหมือนไม่มีพระเจ้าเลย การตัดสินใจร่วมกันระหว่างเรากับพระเจ้าก็จะขาดหายไป กลายเป็นเราต้องตัดสินใจสำคัญๆด้วยตัวเราเอง ซึ่งบ่อยคร้ังจะมีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง มีคำแนะนำอันหนึ่งกล่าวว่า เวลาตัดสินใจอะไรที่สำคัญ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของชีวิต ให้มองชีวิตกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตนเองดังนี้ ภาษาอังกฤษจะมี 4 พี (P) ได้แก่ Problem (ปัญหา) People(เรื่องคน) Pressure (ความกดดันบางอย่าง) Peace (ความนิ่งสงบ) สามพีแรกเป็นคลื่นรบกวนฝ่ายวิญญาณภายในชีวิตที่แรงกว่าคลื่นรบกวนภายนอกทั้งมวล ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับความคิด ถ้าเรายอมให้ความคิดของเราวนเวียนอยู่กับสามเรื่องนี้ ยากที่เราจะมีความนิ่งสงบ และยากที่จะนำไปสู่การตัดสินใจที่ดี และยากที่จะรับสัญญาณตอบรับจากพระเจ้า ยกเว้นสิ่งรบกวนสามอย่างนี้จะถูกแทรกแซงทำลาย และตัวอย่างในพระคัมภีร์มีให้เราได้เรียนบทเรียนด้วยกันจากหนังสือกิจการ 9:1-9 1 ฝ่ายเซาโลยังขู่คำราม กล่าวว่าจะฆ่าศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสีย จึงไปหามหาปุโรหิตประจำการ2 ขอหนังสือไปยังธรรมศาลาในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าพบผู้ใดถือทางนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง จะได้จับมัดพามายังกรุงเยรู ซาเล็ม3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้น มีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ4 เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสมาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”5 เซาโลจึงทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” พระองค์ตรัสว่า “เราคือเยซู ซึ่งเจ้าข่มเหง6 แต่เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และเจ้าจะต้องทำประการใดจะมีคนบอกให้รู้”7 คนทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก ได้ยินพระสุรเสียงนั้น แต่ไม่เห็นใคร8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส9 ตาท่านก็มืดมัวไปถึงสามวัน และท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย หนังสือกิจการบันทึกเรื่องราวของการกระจัดกระจายของศิษย์พระเยซูไปตามที่ต่างๆ (แม้ว่า พวกอัครทูตและผู้นำบางคนจะยังอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มอย่างปลอดภัย) แต่ศิษย์พระเยซูอีกจำนวนมากก็กระจัดกระจายออกจากเยรูซาเล็ม และพระคัมภีร์ตอนนี้ได้บันทึกอารมณ์เซาโลในเวลานั้นจากคำพูดที่ต้องการจะฆ่าศิษย์พระเยซูอย่างเดียว คำพูดแบบนี้เต็มไปด้วยความรุนแรง ความเคียดแค้น ความโกรธ ความโหดเหี้ยม ความอิจฉา และการกระหายเลือด เปรียบเหมือนกับสุนัขป่าที่พร้อมจะขย้ำฝูงแกะที่อ่อนแอกว่า ปากของคนที่เต็มด้วย ความรุนแรง ความเคียดแค้น ความโกรธ ความโหดเหี้ยม ความอิจฉา และการกระหายเลือด ก็เปรียบเสมือนปากของสุนัขป่าที่จ้องจะขย้ำแกะ ขอให้เราทั้งหลายระมัดระวัง จากจุดเริ่มต้นของอารมณ์ของตัวเราว่า เรากำลังเต็มไปด้วยอะไรอยู่ในใจของเรา ความรุนแรง ความเคียดแค้น ความโกรธ ความโหดเหี้ยม ความอิจฉา หรือการกระหายเลือด ตัวอย่างเป้าหมายของเซาโลคือการจัดการกับศิษย์ของพระเยซูที่ไม่มีพิษสง ไร้เดียงสา ปากของเซาโลในเวลานั้น เร่าร้อนไปด้วยถ้อยคำแห่งการทำลาย 1 ฝ่ายเซาโลยังขู่คำราม กล่าวว่าจะฆ่าศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสีย… ยอห์น 3:15 15 ผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้องของตนผู้นั้นก็เป็นผู้ฆ่าคน และท่านทั้งหลายก็รู้แล้วว่า ผู้ฆ่าคนนั้นไม่มีชีวิตนิรันดร์ดำรงอยู่ในเขาเล เซาโลกำลังทำสิ่งที่นำไปสู่ความพินาศของตนเอง ในพระคัมภีร์กิจการบทที่เซาโลกลับใจแล้วเป็นเปาโลได้เป็นพยานว่า พระเยซูตรัสกับเขาว่า กิจการ26:14 …ซึ่งเจ้าถีบประตักก็เจ็บตัวเจ้าเอง’ พระเยซูคริสต์กำลังเตือนเซาโลว่าการกระทำด้วยอารมณ์ของเซาโลในเวลานั้นกำลังทำร้ายตัวของเขาเอง มัทธิว 5:22-24 22 เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของตน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องว่า ‘อ้ายโง่’ ผู้นั้นต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษและผู้ใดจะว่า ‘อ้ายบ้า’ ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก23 เหตุฉะนั้นถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน24 จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน คำสอนของพระเยซูคริสต์เจ้าตอนนี้กำลังบอกว่า จงตรวจสอบสัญญาณการสื่อสารฝ่ายวิญญาณก่อนที่จะมาถวายเครื่องบูชากับพระเจ้า (การถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าคือ การสื่อว่า ต้องการรับการสื่อสารจากรพะเจ้า) แต่….ถ้าไม่กลับไปคืนดี ถ้าไม่หยุดดูถูกพี่น้อง ถ้าไม่หยุดด่าว่าคนอื่น ถ้ายังโกรธ ถ้ายังมีเหตุขัดเคือง ไม่มีทางที่จะรับการสื่อสารจากพระเจ้าได้ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ จะรบกวนการสื่อสารกับพระเจ้า และพระเจ้าก็จะไม่สื่อสารกับคนที่มีการรบกวนภายใน สดุดี 66:18 18 ถ้าข้าพเจ้าได้บ่มความชั่วไว้ในใจข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าคงไม่ทรงสดับเพราะว่า สัญญาณการสื่อสารฝ่ายวิญญาณของเราเองกำลังมีปัญหา ส่งข่าวออกไปก็ไม่ได้ และก็รับข่าวสารเข้ามาก็ไม่ได้ เหมือนโทรศัพท์ของข้าพเจ้าที่เจ๊งบ๊ง ซ่อมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่อย่างเดียว (ข้าพเจ้าเรียกอาการอย่างนี้ว่า ตายสนิท) ในท่ามกลางพวกเราจะมีสักกี่คนที่จะรู้สึกว่า สัญญาณฝ่ายวิญญาณกำลังอยู่ในอาการตายสนิท ส่งข่าวออกไปก็ไม่ได้ และก็รับข่าวสารเข้ามาก็ไม่ได้ พระเยซูคริสต์ถึงสอนว่า 24 จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน พระองค์กำลังบอกว่า เสียเวลาเปล่า ถ้ายังไม่กลับไปจัดการกับตัวเอง พระเจ้าพูดเท่าไรเราก็จะไม่ได้ยิน เพราะเครื่องรับสัญญาณฝ่ายวิญญาณเสีย เนื่องจากอารมณ์เสียๆมากมายรบกวนสัญญาณฝ่ายวิญญาณ เหมือนกับเซาโลที่เครื่องฝ่ายวิญญาณเสียด้วยอารมณ์ที่เสียๆ นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไม ในช่วงที่เซาโลกลับใจ จึงต้องตาบอดสามวัน และนี่คือบทเรียนสำหรับเราในวันนี้
1. ต้องมีการล้มลงในแสงสว่าง กิจการ 9:3-5
3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้น มีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ4 เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสมาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”5 เซาโลจึงทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” พระองค์ตรัสว่า “เราคือเยซู ซึ่งเจ้าข่มเหง มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า พระเจ้าต้องทำให้ข้าพเจ้าหงายหลัง ข้าพเจ้าจึงจะเงยหน้ามองขึ้นไปเบื้องบน เป็นคำพูดที่บ่งบอกว่า เรามักจะสนใจแต่สิ่งที่อยู่เบื้องล่าง โคโลสี3:2 2 จงเอาใจใส่สิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งซึ่งอยู่ที่แผ่นดินโลก เซาโลในเวลานั้น สนใจแต่สิ่งที่อยู่เบื้องล่าง เขาสนใจว่า คนที่อยู่ตรงกันข้ามกับเขาต้องตายสถานเดียว โดยไม่สนใจว่า เบื้องบนว่าอย่างไร โดยเฉพาะการสนใจของเซาโลนั้นกำลังทำลายสิ่งที่มาจากเบื้องบน “เราคือเยซู ซึ่งเจ้าข่มเหง พระเยซูทรงตรัสว่า การที่เซาโลกำลังข่มเหงคนที่ไม่มีพิษสง ไร้เดียงสาอย่างศิษย์ของพระเยซู ก็คือการข่มเหงพระองค์ด้วย มัทธิว 25:40 40….‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย’ เซาโลกำลังเผชิญกับความจริงของพระคัมภีร์ข้อนี้ (น่ากลัวเพียงใด) นี่เป็นการทำให้ต้องหันกลับอย่างชนิด 180 องศา โดยไม่รอช้า ไม่อืดอาด มีคริสเตียนไม่น้อยที่พระเจ้าส่งสัญญาณก็แล้ว เตือนก็แล้ว ห้ามก็แล้ว ก็ยังชักช้าอืดอาด ไม่ต้องสนอง ไม่กลับใจใหม่ คำเตือนมาถึงในวันนี้ ก็คือ อย่าให้ต้องถูกทำให้ล้มลงแล้วจึงจะรับการสื่อสารได้ ถ้าล้มแล้วลุกขึ้นมาได้อย่างเซาโลก็ดีไป แต่เกรงว่า ล้มแล้ว ยังไม่ทันลุก จะโดนซ้ำจนลุกไม่ไหว 1เปโตร 5:8 8 ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้ เกรงว่าเราจะไม่ได้ล้มลงถึงดินอย่างเซาโลแล้วมีโอกาสลุกขึ้น เพราะศัตรูคือมารมาซ้ำเสียก่อน เพราะการล้มลง เป็นสำนวนที่หมายถึงการทำบาปแล้วไม่กลับใจใหม่ ยิ่งทำยิ่งสนุก และความไวในการรับสัญญาณจากพระเจ้าก็จะยิ่งตายด้านเสื่อมลงไปเรื่อยๆ มารก็เข้ามาได้ใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ พระคัมภีร์มีคำว่า “จงต่อสู้กับมารแล้วจะหนีท่านไป” คือสำนวนที่บอกเราว่า การต่อสู้ คือการรักษาอาณาเขตของเรามิให้มารเข้ามาใกล้เราได้ การต่อสู้ ยังเป็นการบอกอีกว่า เป็นการพยายามเอาชนะตนเอง คือการต่อสู้กับบาปในชีวิตของเรา บาป แปลว่า พลาดไปจากเป้า (น้ำพระทัยพระเจ้า) การต่อสู้ยังเป็นการนำตัวเราเข้าใกล้น้ำพระทัยของพระเจ้าอีกด้วย ทำไมเซาโลต้องล้มลงถึงดิน จึงจะรับการสื่อสารจากพระเยซูคริสต์เจ้าได้ นั่นคือการทำลายความเย่อหยิ่งของเซาโลทั้งหมด (พบกับความน่ากลัวที่แท้จริง) มีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ เซาโลจึงล้มลงถึงดิน อ.เปาโลได้เป็นพยานในภายหลังว่า เวลาที่แสงสว่างส่องมานั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน ดังนั้น แสงที่ส่องมาที่เซาโลเวลานั้น เป็นแสงสว่างพิเศษกว่าแสงอาทิตย์เที่ยงวัน เป็นแสงสว่างที่มากกว่าปกติ จนเซาโลไม่สามารถที่จะยืนเผชิญกับแสงสว่างนั้นได้ จนต้องล้มลงถึงดิน เมื่อล้มลงถึงดิน เซาโลถึงจะได้ยิน และได้ยินพระสุรเสียงตรัสมาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างการล้มลงด้วยแสงสว่างของเซาโลกับการล้มลงของคริสเตียนเนื่องจากความมืดบอดของชีวิต การล้มลงในแสงสว่าง ทำให้ได้ยินพระสุรเสียงของพระเยซูคริสต์ แต่การล้มลงในความมืด จะไม่สามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเยซูคริสต์ และยิ่งอยู่ในความมืดนานเท่าใด หูฝ่ายวิญญาณก็จะดับ ไม่ได้ยินเสียงอย่างถาวร เราจึงเห็นคนที่หลงไปกับโลกนี้ หลงไปกับอบายมุข หลงไปกับสิ่งที่เสพแล้วติดทั้งหลาย หูฝ่ายวิญญาณจะตึง หูฝ่ายวิญญาณหมายถึงการเตือนที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนนั้นจะรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้คนอื่นมาเตือน ถ้าต้องให้คนอื่นมาเตือนแสดงว่า เข้าขั้นวิกฤติแล้ว (ไอซียู) ต้องรับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น จงล้มลงในแสงสว่าง อย่าล้มลงในความมืด แม้เซาโลจะข่มเหงและทำให้คริสเตียนมากมายต้องตายไป พระเจ้าก็สามารถใช้เซาโลให้นำคนกลับใจใหม่จำนวนมากเพื่อมาชดเชยการสูญเสียจากการกระทำด้วยอารมณ์ของเซาโล แต่ก็ยังดีที่เซาโลล้มในแสงสว่าง การล้มลงในความสว่าง นั่นคือ การยอมที่จะหันกลับ ยอมที่จะเปลี่ยนแปลง ยังมีหวังในคนที่ล้มลงในความสว่างมากกว่าคนที่ล้มลงในความมืด เซาโลเป็นบทเรียนในเรื่องความกระตือรือร้นในการรับใช้พระเจ้าแม้จะด้วยอารมณ์ที่เลวร้ายมาก แต่ยังมีจุดที่พระเยซูคริสต์สามารถที่จะหักมุมให้กลายเป็นเครื่องมือที่พระเจ้าใช้การได้ ในภายหลังพระเยซูได้ตรัสกับอานาเนียให้ไปหาเซาโล 15 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า “จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำนามของเราไปยังประชาชาติ กษัตริย์และพวกอิสราเอล ท่าทีในจิตใจที่ยังมีพระเจ้าทำให้พระเจ้ายังมีหวังในเซาโล แต่เซาโลต้องล้มลงในความสว่างก่อน ในยุคของเรามีเรื่องของการล้มในพระวิญญาณ ซึ่งเราบางคนที่นี่ก็มีประสบการณ์ แต่ในภายหลังก็กลายเป็นเหมือนความนิยมที่จะล้ม คือถ้าไม่ล้มเดี๋ยวดูไม่ศักดิ์สิทธิ์ มีการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนาๆว่า ถูกผลักบ้าง หรือล้มลงไปเองบ้าง อันนี้ไม่อยากให้เราไปสนใจประเด็นนั้น แต่อยากให้เราสนใจว่า การล้มลงในแสงสว่าง อาจเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่ได้ล้มจริงๆก็มี โดยเฉพาะในชีวิตของเราที่มีความหมายถึงการยอมจำนนต่อ การสำแดงความจริงของพระเจ้าต่อตัวเรา เมื่อมีคำเตือน มีคำห้ามคำแนะนำ แรงๆ จงติดดิน เหมือนกับที่เซาโลล้มลงถึงดิน จงอย่าฝืน แล้วจะไม่เจ็บตัวมาก สำนวนไทย มีคำว่า ถูกตอกหน้าหงาย นั่นคือ ความเสียฟอร์ม เสียหน้า แต่ถ้าเป็นมาจากพระเยซูคริสต์เจ้า จงรู้เถิดว่า นี่คือ Discipline การแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูก ไม่ใช่การลงโทษ และเมื่อใดที่มี Discipline การแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูก นั่นคือการยกระดับชีวิตของเราให้สูงขึ้นกว่าเดิม ไม่อย่างนั้น เราก็ยังย่ำอยู่ความผิดพลาดเดิม และถอยหลัง ตกต่ำกว่าเดิม จงล้มในความสว่าง คือการถูกทำให้ถ่อมใจที่แท้จริง
2.ล้มแล้วลุกขึ้น กิจการ 9:6-9
6 แต่เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และเจ้าจะต้องทำประการใดจะมีคนบอกให้รู้”7 คนทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก ได้ยินพระสุรเสียงนั้น แต่ไม่เห็นใคร8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส9 ตาท่านก็มืดมัวไปถึงสามวัน และท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย แผนการของพระเจ้า คือให้เซาโลล้มลงในความสว่าง แล้วต้องลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว การล้มลงในความสว่าง คือ Discipline การแก้ไขจากผิดให้ถูก จะมีคำแนะนำว่า ควรต้องทำอย่างไรต่อ 6 แต่เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และเจ้าจะต้องทำประการใดจะมีคนบอกให้รู้”นี่คือย่างก้าวของความไว้วางใจที่เซาโลต้องเรียนรู้ สภาพหลังจากล้มแล้วลุก จะเหมือนคนตาบอด 7 คนทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก ได้ยินพระสุรเสียงนั้น แต่ไม่เห็นใคร ในเวลาต่อมา อ.เปาโล (เซาโล) ได้เป็นพยานถึงอาการของคนทั้งหลายที่อยู่ในเหตุการณ์การกลับใจใหม่ของเซาโลว่า กิจการ 22:9 9 ฝ่ายคนทั้งหลายที่อยู่กับข้าพเจ้าได้เห็นแสงสว่าง แต่พระสุรเสียงที่ตรัสกับข้าพเจ้านั้นเขาหาได้ยินไม่ นั่นหมายความว่า คำเตือน คำห้าม คำหยุดที่พระเยซูกำลังพูดกับเซาโลนั้น คนอื่นไม่ได้ยิน นั่นคือ เครื่องรับสัญญาณฝ่ายวิญญาณของเซาโลเปิดออกแล้ว เขาจึงได้ยินและเข้าใจอยู่คนเดียว คุณเคยเป็นอย่างนี้ไม๊ ข้าพเจ้าเป็นบ่อยๆ คนอื่นไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าได้ยิน บางทีคริสเตียนคนอื่นได้ยิน ข้าพเจ้าไม่ได้ยิน แต่บางทีทั้งข้าพเจ้าได้ยิน อย่างเดียวกับคริสเตียนคนอื่นได้ยิน เช่น อ.โอซาว่า กับข้าพเจ้าไปรับใช้ด้วยกันที่แม่สอด จังหวัดตากโดยคำเชิญของผู้นำชาวกระเหรี่ยงทั้งของไทยและพม่า เราได้ยินอย่างเดียวกันจากพระเจ้าโดยที่เราไม่ได้คุยกันก่อนเลย เราแก้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่น จงล้มในความสว่าง เมื่อล้มแล้ว จงลุกขึ้น คอยฟังต่อไปว่า พระเจ้าจะบอกว่าให้ทำอะไร จะมีคนที่พระเจ้าจะใช้มาเพื่อบอกกับเรา และนี่คือย่างก้าวของการเข้าสู่สัญญาณฝ่ายวิญญาณที่ดี ที่ไว ที่พร้อมรับการสื่อสารจากพระเจ้า ไม่ต้องกลัวว่า คุณจะไม่มีโอกาสสื่อสารความต้องการของตนเองกับพระเจ้า มัทธิว 6:33 33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ พระเยซูกำลังบอกว่า ถ้าเรารับการสื่อสารจากพระเจ้าก่อน เราแทบไม่ต้องเอ่ยปากเลย แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ ข้าพเจ้าไม่คิดที่จะเปลี่ยนโทรศัพท์ราคาแพง เพราะว่า ต้องรอให้มันถูกก่อน (ใช้หลักว่า รอได้ ทนได้กับอาการโทรศัพท์ติดๆดับๆ เพื่อฟังคำแนะนำดีๆ) ข้าพเจ้าตัดสินใจที่จะทนใช้เครื่องเก่า แต่พระเจ้ารู้ว่า ข้าพเจ้ามีความจำเป็น พระองค์ก็เลยส่งโทรศัพท์มาให้ทันทีหนึ่งเครื่อง คิดดูสิว่า พระเจ้ายังทนไม่ได้กับความติดขัดของข้าพเจ้า แล้วพระองค์จะยิ่งทนไม่ได้กับสัญญาณฝ่ายวิญญาณที่ติดๆดับๆของเราขนาดไหน ขอให้เราจงเป็นคนที่ล้มลงและลุกขึ้น คือปรับสัญญาณฝ่ายวิญญาณใหม่กับพระเจ้า เหมือนกับที่เซาโลอยู่ในช่วงปรับสัญญาณใหม่กับพระเจ้า 8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส9 ตาท่านก็มืดมัวไปถึงสามวัน และท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย ช่วงตาบอด เป็นช่วงที่หลายคนอาจตระหนกตกใจว่า ตนเองทำอะไรไม่ได้เลย ต้องให้คนอื่นจูงไป กินอะไรไม่ลง แต่ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า นี่คือเวลาที่ดีที่สุดของเซาโล และของเราทั้งหลายด้วย เพราะเป็นเวลาที่เราต้องพึ่งพาพระเจ้า โดยเฉพาะพระเจ้าให้การพึ่งพานั้นอยู่ที่คนที่จะจูงเราไป ทำหน้าที่เหมือนพี่เลี้ยงที่จะพาไป ทิศทางแน่นอน เซาโลได้รับแล้วว่า ต้องเข้าเมือง เรารู้หรือไม่ว่า เวลานี้เป็นเวลาที่อ่อนแอ เซาโลมีศัตรูโดยตัวของเซาโลเอง เพราะเขาตั้งใจไปทำร้ายคริสเตียน นี่ดีว่า คริสเตียนที่เซาโลตั้งใจไปทำร้ายนั้น เป็นเหมือนแกะที่ไร้เดียงสา แกะไม่ตอบโต้แม้ผู้ที่กำลังจะฆ่ามันอยู่ตรงหน้า ดังนั้น แกะจึงไม่ฉวยโอกาสในยามที่ผู้ที่จะฆ่ามันตกเป็นเบี้ยล่าง อย่างเซาโล ถ้าเดินเข้าเมืองในสภาพของคนตาบอด ต้องมีคนจูง ช่วยตัวเองไม่ได้ ถ้าในเมืองมีแต่คนที่เหมือนกับหมาป่า เซาโลตายแน่ แต่นี่คือการเรียนรู้ที่จะวางใจพระเจ้า เซาโลเดินเข้าเมืองดามัสกัส พร้อมกับหนังสือที่จะจับคริสเตียน แต่เขาไปอย่างคนหมดสภาพ ยอมจำนนต่อพระเจ้า นี่คือคนที่ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่อย่างคนที่ไม่ดื้อแพ่ง หรือแข็งกระด้างอีกต่อไป อารมณ์ที่มีแต่ต้น เต็มไปด้วยความรุนแรง ความเคียดแค้น ความโกรธ ความโหดเหี้ยม ความอิจฉา และการกระหายเลือดหายไปหมด นี่คืออาการของการปรับสัญญาณฝ่ายวิญญาณที่ดีเข้ามาสู่ชีวิตของเซาโล ซึ่งจะกลายเป็นอ.เปาโลในเวลาต่อมา และเซาโลได้กลายเป็นคริสเตียนที่มีชีวิตเกิดผลอย่างมากมายและเป็นพระพรแก่คริสเตียนในทุกยุคทุกสมัย เพราะชีวิตที่เกิดผล…ที่มีสัญญาณฝ่ายวิญญาณที่ดีจะส่งต่อคุณงามความดี คุณค่าของชีวิตไว้แก่คนรุ่นหลัง รุ่นต่อๆไปอย่างงดงาม
“ชีวิตที่เกิดผล…มีสัญญาณฝ่ายวิญญาณดี”
1. ต้องมีการล้มลงในแสงสว่าง
2.ล้มแล้วลุกขึ้น