“ชีวิตที่ปราศจากที่ติ…ในด้านความดีงาม”
สำนวนปลูกถั่วอยากได้งา คือความคาดหวังในสิ่งที่ตนเองไม่ได้หว่านไม่ได้ลงแรง แต่คาดหวังผลที่ดีกว่าที่ตนเองทำ หรืออีกนัย หมายถึงทำอย่างไรก็ยังเป็นถั่ว ที่มีราคาถูกกว่างา เพราะว่าถั่วก็คือถั่ว งาก็คืองา จะเปลี่ยนแปลงตามที่จินตนาการไม่ได้ ถ้าอยากได้งา ก็ต้องปลูกงา ด้วยเมล็ดงา ในทำนองเดียวกัน จะเปลี่ยนหมูที่ชอบสกปรกให้มาเป็นแมวที่ชอบความสะอาด หรือเอาแมวมาเป็นหมูก็ไม่ได้ คนไทยก็มักจะใช้คำว่า ต้องไปเกิดใหม่ พระเยซูก็ใช้คำว่า บังเกิดใหม่ ยอห์น 3:3 3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้” คำว่า “เห็นแผ่นดินของพระเจ้า” ข้าพเจ้าอยากจะให้เราเห็นภาพการเปรียบเทียบของคนไทยกับสำนวนว่า “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว” นั่นคือความหมายของคนที่เห็นผิดเป็นชอบ แต่สำหรับสำนวนที่พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสกับนิโคเดมัส คือการเปรียบเทียบถึงการที่คนบาปกลายเป็นคนชอบธรรม หมายถึง คนที่เคยบาปกลายเป็นคนดี วัตถุประสงค์ที่พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสกับนิโคเดมัส มีนัยเป็นพิเศษ เพราะว่านิโคเดมัสเป็นยิวที่คิดว่าตนเองมีอับราฮัมเป็นบรรพบุรุษ ดังนั้น เมื่อพระมาซีฮาที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานมาเพื่อให้เป็น ผู้ปลดปล่อยชนชาติยิว คนยิวจะได้แผ่นดินเป็นของตนเองที่คนยิวเรียกตนเองว่า ชาวภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ชาวศิโยน นี่เป็นภาพของคนยิวที่คิดถึงชาติกำเนิดของความเป็นคนยิวทำให้พวกเขาได้รับสิทธิ์เข้าในแผ่นดินที่พระมาซีฮาจะมาตั้งใหม่ แต่พระเยซูคริสต์เจ้ากลับตอบดิโคเดมัสว่า ไม่ใช่ด้วยชาติกำเนิด แต่ต้องเป็นการบังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณจึงจะได้รับสิทธิ์เข้าในแผ่นดินของพระเจ้าโดยการเสด็จมาของพระมาซีฮา ก็คือพระคริสต์นั่นเอง พระเยซูคือพระมาซีฮา ดังนั้น พระองค์จึงถูกเรียกว่า พระเยซูคริสต์ แปลว่า ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือผู้ปลดปล่อยที่แท้จริง ผู้ที่บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณ ไม่สามารถเกิดโดยตัวของตนเองได้ แต่ต้องเกิดโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้าเท่านั้น ความเชื่อความศรัทธาคือกุญแจสำคัญ โรม 10:9-10 9 คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด10 ด้วยว่า ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด นี่คือความหมายของคำว่า คนบาปกลายเป็นคนชอบธรรมที่สามารถเข้าแผ่นดินของพระเจ้า ธรรมชาติใหม่เกิดขึ้นโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ธรรมชาติใหม่นี้ต่อสู้กับธรรมชาติเก่าในร่างกาย จิตวิญญาณที่บังเกิดใหม่ยังต้องอาศัยในเรือนดินนี้ นี่คือที่มาของความหมายการต่อสู้ระหว่างเนื้อหนังกับพระวิญญาณ ในชีวิตของผู้เชื่อทุกคน หนังสือกาลาเทีย 5:19-26 19 การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การลามก20 การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้อีกเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า22 ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ23 ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย24 ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว 25 ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย 26 เราอย่าถือตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉาริษยากันเลย คำเทศนาซีรี่ส์ผลของพระวิญญาณในวันนี้ คือ “ชีวิตที่ปราศจากที่ติ…ในด้านความดีงาม” (เราได้ผ่านซีรี่ส์เรื่อง ผลพระวิญญาณกับชีวิตที่ปราศจาที่ติในด้าน การรู้จักบังคับตน ความสุภาพอ่อนโยน และความสัตย์ซื่อ) วันนี้ คือด้านความดีงาม ที่แตกต่างจากความหมายของความดีงามในภาษาไทย ศัพท์ภาษากรีกของคำว่า “ความดี” Goodness แปลว่า ซึ่งเป็นประโยชน์, คุณงามความดี มาจากรากศัพท์ภาษากรีกคำว่า “ดี” แปลว่าเนื้อแท้ความดีงามอย่างถูกต้อง อย่างเหมาะสม คำว่า “ดี” คำนี้ถูกใช้โดยพระเยซูในขณะพระองค์ตอบเศรษฐีหนุ่ม มาระโก 10:17-18 17 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จออกไปตามทาง มีคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์ คุกเข่าลงทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะกระทำประการใด จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์”18 พระเยซูตรัสถามคนนั้นว่า “ท่านเรียกเราว่าประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐเว้นแต่พระเจ้าองค์เดียวเศรษฐีหนุ่มใช้คำว่า “ดี” เรียกพระเยซูว่า อาจารย์ผู้ประเสริฐ และเรียกสิ่งที่ตนจะทำดีประการใด คือคำเดียวกัน พระเยซูจึงตอบเศรษฐีหนุ่มด้วยคำว่า “ดี” คำเดียวกัน แต่พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ดี” ที่เป็นรากศัพท์ที่มาของคำว่า คุณงามความดี สิ่งซึ่งเป็นประโยชน์อย่างถูกต้องอย่างเหมาะสม คำถามของพระเยซูคือการถามว่า เศรษฐีหนุ่มมีเหตุผลอะไรที่เรียกพระเยซูว่า “ดี” เป็นการชี้ถึงมุมมองของเศรษฐีหนุ่มเรื่องคุณงามความดี เป็นเพียงการกระทำ แต่พระเยซูกำลังบอกว่า การกระทำอย่างเดียวยังไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าคนนั้นจะเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าได้ 18 …ไม่มีใครประเสริฐเว้นแต่พระเจ้าองค์เดียว เพราะว่าไม่มีใคร “ดี” ยกเว้นพระเจ้าองค์เดียว นั่นหมายความว่า เนื้อแท้ของคำว่า “ดี” ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างถูกต้อง อย่างเหมาะสม ในความหมายนี้ ต้อง “ดี” ออกมาจากจิตวิญญาณ ดีตั้งแต่ต้น ที่พระเยซูตรัสกับดิโคเดมัสว่า ต้องบังเกิดใหม่ จึงจะเป็นเนื้อแท้ในความชอบธรรมได้ และในความเป็นจริง ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้จริงๆ เพราะมนุษย์เกิดจากบาป และรู้จักบาปมากขึ้นเมื่อมนุษย์โตขึ้นเรียนรู้มากขึ้น มนุษย์จึงพยายามในตอนโตเพื่อเลี่ยงบาป มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า เด็กไม่ต้องสอนให้ทำบาป ก็รู้จักทำบาปตั้งแต่เด็ก มีแต่ต้องสอนให้ทำดี เด็กจึงจะไม่พลาดไปจากทางนั้น สุภาษิต 22:6,15 6 จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น…15 ความโง่มักอยู่ในใจของเด็ก แต่ไม้เรียวที่ตีสอนก็ขับมันให้ห่างไปจากเขา พระคัมภีร์ตอนนี้ทำให้เราเห็นว่าไม่ต้องมีใครสอน มนุษย์มีแรงผลักตั้งแต่ในวัยเด็กที่ยังเป็นความปรารถนาของกิเลศตัณหา ลาภยศสรรเสริญ มนุษย์จะทำ “ดี” ที่เป็นประโยชน์อย่างถูกต้องอย่างเหมาะสมต่อคนอื่นได้อย่างไร ในขณะที่มนุษย์เองมีแต่ความปรารถนาของตนเองตั้งแต่เกิด ความปรารถนาของตนเองนี่แหล่ะที่ทำให้มนุษย์เป็นเหยื่อ เอเฟซัส 4: 14 14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง สิ่งที่ทำให้เราหลงทางและสับสนอลหม่านมากที่สุดก็คือลมปากของมนุษย์ที่ไม่ใช่เนื้อแท้ของคำว่า “ความดี” จริงๆ ดังนั้น เราจำเป็นต้องเข้าใจความจริงคำว่า “ความดี”ที่มาจากเนื้อแท้ ที่พระคัมภีร์กาลาเทียได้กล่าวถึงคุณสมบัติหนึ่งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ใช้คำว่า “ความดี” ที่เป็นเนื้อแท้ อย่างถูกต้องอย่างเหมาะสม เมื่อเราเข้าใจความหมายของคุณลักษณะ “ความดี”ในผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะไม่เหมาหรือทึกทักเอาความปรารถนาของเนื้อหนังตนเองมาเป็นนิยามของ คุณลักษณะ “ความดี”ในผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จำไว้ว่า ยิ่งเรารู้จักกับของแท้มากเท่าใด เราจะยิ่ง รู้ว่าอะไรเป็นของเทียมที่อยู่ในตัวเรา และพระคัมภีร์ได้บอกเราว่า ทิศทางการนำของ เนื้อแท้ของความดีงาม มีดังนี้
1.มักจะนำคนหันกลับมาหาพระเจ้า กาลาเทีย 5:24-26ก
24 ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว 25 ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย 26 เราอย่าถือตัว… ความหมายคำว่า “อย่าถือตัว” แปลว่า อย่ามีความปรารถนาในคำยกย่องสรรเสริญที่อนิจจัง เช่น การคิดว่าฉลาดกว่า รวยกว่า มีคุณค่ามากกว่าคนอื่น มีหน้าที่การงานที่เด่นกว่าคนอื่นทั้งหมด ได้รับเกียรติยศ เป็นที่เคารพ ได้รับการปรบมือให้เป็นคนที่สังคมนิยมชมชอบ สิ่งเหล่านี้เรียกว่า ความปรารถนาในสิ่งที่อนิจจัง และเป็นเพียงของนอกกายทั้งสิ้น และคือสิ่งที่ชาวโลกต่างเรียกเป็น “คุณงามความดี” ที่มีเป้าหมายทำให้มนุษย์ยกย่องสรรเสริญกันและกัน แต่เนื้อแท้ของคำว่า “ความดี” พระเยซูคริสต์เจ้าได้กล่าวไว้ในหนังสือมัทธิว5:14-16 14 “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์ คำว่า “ความดี” ในหนังสือมัทธิวนี้ ใช้คนละคำ แต่มีความหมายเปรียบเทียบอย่างเดียวกัน คือ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างถูกต้องอย่างเหมาะสม จนคนยกย่องพระเจ้า แทนที่จะยกย่องมนุษย์ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์ ความดีงามที่เป็นประโยชน์อย่างถูกต้อง อย่างเหมาะสมอย่างแท้จริง คือการทำให้คนกลับสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้า เมื่อคนสรรเสริญพระเจ้า นั่นคือคนได้กลับคืนดีกับพระเจ้า จงทำดีให้คนคิดถึงพระเจ้า มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า การสรรเสริญพระเจ้าคือการนมัสการพระผู้สร้าง การนมัสการพระผู้สร้าง คือการที่มนุษย์ตระหนักว่า ตนเองเกิดมาจากพระเจ้า เป็นการเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ทุกวันนี้ มีการทำลายคุณค่าของความเป็นมนุษย์ด้วยการทำลายตัวตนความเป็นคน เช่น การดูถูก การด่าว่า การหัวเราะเยาะ การไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น การกล่าวหาให้ร้าย กดคนอื่นลงต่ำ ยกตนข่มท่าน คิดว่าตนเองดีกว่าคนอื่น การปฏิบัติที่ไม่สมควร ไม่เหมาะสม ทำให้คนไปถึงความสิ้นหวัง และทำให้คนทำร้ายตนเอง โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ ขออย่าให้เราเป็นเป็นคนทำลาย แต่จงเป็นคนที่เสริมสร้าง มัทธิว 5:9 9 “บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร ลูกพระเจ้าต้องไม่ก่อกวน ลูกพระเจ้าต้องรู้จักคำว่า “ความดี” ลึกซึ้ง โรม16:19 …ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านเชี่ยวชาญในการดี และให้เป็นคนทึ่มในการชั่ว คำว่า “ดี” ในที่นี้คือคำกรีกคำเดียวกันกับผลพระวิญญาณบริสุทธิ์ และประการที่สอง ทิศทางของเนื้อแท้ของความดีงาม
2.มักจะนำคนกลับสู่คุณค่าของความเป็นคน
คือการนำพระคุณของพระเจ้าให้อยู่เหนือเรื่องจิตวิญญาณ เป็นสปิริตที่ดีที่มีความสามารถในการจัดการทุกสถานการณ์ ทุกอย่าง ให้เข้าที่เข้าทาง ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ วัฒนธรรม ประชาชน พลเมือง ศีลธรรม จริยธรรม จิตวิญญาณ และวิธีการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เจ้า สุดท้ายคนที่ได้รับความดีงามเหล่านี้จะมองเห็นคุณค่าของความเป็นคนของตนเอง และได้รับประโยชน์ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ เนื้อแท้ของความดีงาม จะนำคนหลุดออกจากค่านิยมของโลกนี้ หลุดจากกับดักของซาตานที่ล่อลวงให้คนทำบาปทำลายพระฉายาของพระเจ้าในตัวเอง เราได้เห็นการลดคุณค่าของคนด้วยการดำเนินชีวิตอย่างไร้ค่า กินอาหารขยะ ใช้เวลาอย่างคนฆ่าเวลา มองดูแต่สิ่งที่ทำให้ความคิดจิตใจสกปรก บำเรอเนื้อหนังของตนเอง ใช้เสรีภาพอย่างผิดๆ ขาดจิตสำนึกที่ดี “ความดีที่ให้ประโยชน์อย่างถูกต้องอย่างเหมาะสม มักจะนำคนกลับสู่คุณค่าของความเป็นคน เมื่อครั้งที่พระเจ้าทรงสร้างโลกและสร้างสรรพสิ่ง และหลังจากเสร็จภารกิจการทรงสร้าง ปฐมกาล 1:31 31 พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ทรงเห็นว่าดีนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่หก คำว่า “ดีนัก” คำนี้ในภาษาฮีบรูแปลว่า ดีมาก เป็นการสำรวจของพระผู้สร้างที่มองดูสรรพสิ่งที่ทรงสร้างอย่างพินิจพิจารณาว่าแต่ละสิ่งที่ถูกสร้างถูกกำหนดไว้อย่างถูกต้องอย่างเหมาะสมอย่างมีคุณค่าในตัวของสิ่งทรงสร้าง ที่มีความสมบูรณ์ที่สุด “ดีนัก” คือมีคุณค่าสูงสุด สมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะการทรงสร้างมนุษย์ นั่น คือ มนุษย์ได้รับพระฉายาของพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์โรมได้เรียกพระฉายานี้ว่า พระสิริ แต่เพราะบาปของการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คู่แรก ทำให้คุณค่าของมนุษย์ถูกทำลายโดยมนุษย์เอง โรม3:23 23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้าพระสิริของพระเจ้าคือคุณค่าสูงสุดที่พระเจ้าทรงสวมใส่ไว้ในมนุษย์ตั้งแต่แรกเริ่มของการกำเนิดมนุษย์ แต่จุดเริ่มต้นของการทำลายคุณค่าของความเป็นมนุษย์ก็เกิดขึ้นหลังจากนั้น และยังเป็นนิสัยบาปที่ตกมาถึงเราในยุคต่อๆมาด้วย นั่นคือ
2.1 พยายามแก้ตัว โดยการโยนความผิดให้พระเจ้าที่ทรงประทานเอวาให้มาเป็นภรรยา ปฐมกาล 3:12 12 ชายนั้นทูลว่า “หญิงที่พระองค์ประทานให้อยู่กินกับข้าพระองค์นั้น ส่งผลไม้นั้นให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน” วันนี้ เราคุ้นเคยกับการพยายามแก้ตัว จนมีคำว่า คนดีคิดแก้ไข แต่คนจัญไรคิดแก้ตัว คนที่คิดสำนวนนี้ ไม่ได้รู้สึกดีกับคนที่แก้ตัว และอาจมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับคนที่แก้ตัว ทำไมคนจึงเอาตัวเงินตัวทองมาเปรียบกับคนที่แก้ตัว เพราะนิสัยของตัวเงินตัวทองมันจะหนี และความสามารถในการหนีของมัน คือ ถ้ามีน้ำมันจะหนีลงน้ำ ถ้ามีต้นไม้มันจะขึ้นต้นไม้ ถ้ามีรูมันจะมุดลงรู เหมือนกับคนที่พยายามแก้ตัว และที่ร้ายกว่านั้น คนที่พยายามแก้ตัวมักจะโยนความผิดให้กับคนอื่น นอกจากทำลายคุณค่าของตนเองแล้ว ยังทำลายคุณค่าของคนอื่นด้วย คำว่า จัญไร แปลว่า อยู่ใกล้แล้วซวย นิสัยบาปอีกอันหนึ่งก็คือ
2.2 โยนความรับผิดชอบ ให้กับงูที่ชักชวนให้กินผลไม้ต้องห้าม ปฐมกาล 3:13 13 พระเจ้าตรัสถามหญิงว่า “เจ้าทำอะไรไป” หญิงนั้นทูลว่า “งูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงได้รับประทาน” มีสำนวนที่ว่า กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง แต่หนีความรับผิดชอบ เมื่อเข้าตาจน ถูกจับได้ ก็โบ้ยว่าตนเองเป็นอย่างนี้เพราะถูกล่อลวง คนที่ชักชวนต้องรับผิดชอบ ตนเองไม่ได้อยาก แต่ถูกชักชวน ที่ตนเองเป็นอย่างนี้ก็เพราะคนมันยั่วยุให้โมโห ถ้าไม่มีเหตุ กรรมก็ไม่เกิด ดังนั้น คนก่อเหตุผิด คนที่ถูกอิทธิพลของเหตุไม่ผิด นี่คือวิธีคิดของคนที่หนีความรับผิดชอบ เพื่อให้ตนเองพ้นผิด คำถามที่พระเจ้าถามว่า “เจ้าทำอะไรไป” เป็นการทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ว่ามนุษย์ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์มีปัญหา แต่มนุษย์คู่แรกไม่สนใจความสัมพันธ์ แต่สนใจแต่ตนเองที่จะพ้นความผิด พ้นความรับผิดชอบ การหนีความผิด หนีความรับผิดชอบ ยิ่งทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ห่างกัน จนขาดจากกัน คุยกันเตือนกันไม่ได้อีกต่อไป อย่างที่เราได้เห็นมนุษย์คู่แรกออกจากสวนเอเดน เพราะเขาไม่อยากจะคุยกับพระเจ้า ไม่อยากจะรับการเตือนอย่างอื่น
2.3 หยิบยื่นคุณค่าของตนให้กับมาร เราจะเห็นว่า งูไม่แก้ตัว และพระเจ้าก็ไม่ได้ถามงูอย่างที่พระองค์ถามมนุษย์ เพราะงูไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างมนุษย์ พระฉายาของพระเจ้าที่สวมให้มนุษย์ คือดีเอ็นเอว่ามนุษย์มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ปฐมกาล 14:14 14 พระเจ้าจึงตรัสแก่งูว่า “เพราะเหตุที่เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะต้องถูกสาปแช่งมากกว่าสัตว์ใช้งานและสัตว์ป่าทั้งปวง จะต้องเลื้อยไปด้วยท้อง จะต้องกินผงคลีดินจนตลอดชีวิต การที่มนุษย์โยนความผิด หนีความรับผิดชอบ คือการหยิบยื่นคุณค่าของตนให้กับงู งูจึงมีสิทธิ์ที่จะกล่าวโทษมนุษย์ได้อย่างเต็มๆ 1ยอห์น 5:19 19 …ชาวโลกทั้งสิ้นอยู่ใต้อานุภาพของมารร้าย คำว่า อานุภาพของมารร้าย รากศัพท์คำว่า อานุภาพ Guilt แปลว่า ความผิด มารจะทำให้เรารู้สึกผิดตลอดเวลา คือความรู้สึกที่ถูกกล่าวโทษตลอดเวลา แม้จะผ่านไปนานแค่ไหน บางคนได้รับการยกโทษก็ยังรู้สึกผิด บางคนใส่ตระกล้าล้างน้ำก็ไม่หาย อยากย้อนอดีต แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะความผิดนั้นยังดังก้องในโสตประสาท นี่คืองานของมารที่จะคอยกล่าวโทษ และในหนังสือพระคัมภีร์วิวรณ์ได้พูดถึงมารคือผู้กล่าวโทษ วิวรณ์ 12:7-9 7 ขณะนั้นเกิดสงครามขึ้นในสวรรค์ มีคาเอล กับเทพบริวารของท่านได้ต่อสู้กับพญานาค และพญานาคกับบริวารของมันก็ต่อสู้8 แต่ฝ่ายพญานาคแพ้ และพวกพญานาคไม่มีที่อยู่ในสวรรค์อีกเลย9 พญานาคใหญ่ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่ามารและซาตาน ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลกก็ถูกผลักทิ้งลงไป พญานาคและบริวารของมันถูกผลักทิ้งลงไปในแผ่นดินโลก10 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังขึ้นในสวรรค์ว่า “บัดนี้ความรอดและฤทธิ์เดชและราชอาณาจักรแห่งพระเจ้าของเรา และอำนาจพระคริสต์ของพระองค์ได้มาถึงแล้ว เพราะว่าผู้ที่กล่าวโทษพวกพี่น้องของเราต่อพระพักตร์พระเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืนนั้น ก็ได้ถูกผลักทิ้งลงไปแล้ว อย่าให้เราก้าวในรอยเท้าเดียวกันกับอาดัมและเอวาที่โยนความรับผิดชอบให้กับมาร และสูญเสียสิทธิอำนาจให้กับมาร โดยมารมาทำบทบาทผู้กล่าวโทษเรา ขอให้เราทั้งหลายจงสำรวจคุณลักษณะของผลพระวิญญาณบริสุทธิ์ในตัวเราเสมอ เพื่อความดีงามที่ออกมาจากเรานั้นจะมาจากเนื้อแท้ของความดี ที่จะนำคนหันกลับไปสู่คุณค่าของความเป็นคน และนำคนให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า ย่างก้าวของความดีงามที่มาจากเนื้อแท้จะทำให้ชีวิตของเราฉายพระสิริของพระเจ้าสู่คนมากมาย ดังที่พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า มัทธิว5:14-16 14 “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์ ความดีงามในชีวิตของเราทำให้คนนมัสการพระเจ้า อาเมน
“ชีวิตที่ปราศจากที่ติ…ในด้านความดีงาม”
1.มักจะนำคนหันกลับมาหาพระเจ้า
2.มักจะนำคนกลับสู่คุณค่าของความเป็นคน
และเลิกนิสัยบาป เรื่อง
2.1 พยายามแก้ตัว
2.2 โยนความรับผิดชอบ
2.3 หยิบยื่นคุณค่าของตนให้กับมาร