“ชีวิตที่เป็นแบบอย่าง”

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราทุกคน เรารู้สึกขอบคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตของตัวเองมั้ย  หนึ่งชีวิตที่พระเจ้าให้เรามา ให้เราเห็นคุณค่าของชีวิต  ให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่ามีความหมาย เป็นพร เป็นประโยชน์ เป็นไปตามน้ำพระทัย  ให้เราหันไปบอกซัก 2-3 คนว่า “มองดูชั้นสิ ชีวิตชั้นมีคุณค่า มันสำคัญที่เราต้องรู้ว่าเรามีคุณค่า  สำคัญที่เราต้องกล้าพูดออกมาว่าเรามีคุณค่า  หันไปหาอีก 2-3 คน แล้วบอกว่า “มองดูชั้น  แล้วทำตามแบบอย่างชั้นนะ”  มันสำคัญมากที่เราต้องรู้ว่า ชีวิตของเรานั้นมีคนที่เฝ้ามองดูอยู่ และมันสำคัญมากที่เราจะต้องมีชีวิตที่เป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่นไม่ว่าเราจะเป็นคนรุ่นไหน  เมื่อวานนี้ขณะที่อยู่คริสตจักร อ.หนึ่งก็เตรียมเทศนาอยู่  แล้วก็อ.อุ อ.เอ ก็ทำงานอยู่หน้าโบสถ์ มีตั้กลัก มีน้องผู้ชายNGM  ทำงานกัน   อ.ไก่ แม้ตัวไม่อยู่ แต่ก็เฝ้ามองดูเราอยู่ผ่านกล้องวงจรปิด อ.ไก่ก็ไลน์มาถามอ.หนึ่ง ทำอะไรกันน่ะ   เห็นมั้ยคะพี่น้อง ชีวิตเรามีคนที่เฝ้ามองดูอยู่จริง  ๆ หัวข้อเทศนาในเช้าวันนี้ คือ “ชีวิตที่เป็นแบบอย่าง”

เราเคยได้ยินนิทานอีสปเรื่องลูกปูกับแม่ปูมั้ย ในขณะที่ แม่ปูนั้นเดินตามหลังลูกปูก็สังเกตเห็นว่า ลูกปูนั้นเดินเซไปเซมา เดินไม่ตรงสักที ถ้าเดินอย่างนี้เดี๋ยวจะไปหาอาหารไม่ทันนะ ลูกปูก็เลยบอกแม่ปูว่า ถ้าอย่างนั้นขอแม่สอนลูกที   แม่ปูได้ยินก็เดินให้ดู แต่แม่ปูก็เดินตรงไม่ได้ เดินโซเซไปมา” นิทานเรื่องนี้กำลังสอนว่า การกระทำคือการสอนที่ดีที่สุด การกระทำเพียงครั้งเดียวดังกว่าคำพูด1000 คำ  การมีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง เป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตคริสเตียน และถ้าเราเข้าใจชีวิตของพระเยซูคริสต์ เราจะพบว่า พระองค์มีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง พระเยซูสอนสาวกด้วยการกระทำ พระเยซูทำหลายสิ่งหลายอย่างให้สาวกดู  และหลังจากที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ และสาวกยังคงกระทำราชกิจ ทำทันธกิจของพระเจ้าต่อไป นั่นเพราะพวกสาวกเห็นแบบอย่าง และดำเนินชีวิตตามแบบอย่างที่พระเยซูทรงกระทำไว้ให้ดู  เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ เราอ่านเจอมั้ยว่า พระเยซูเปิดโรงเรียนสำหรับการเป็นสาวก พระเยซูเปิดหลักสูตเปิดคอร์สอบรมการรับใช้    ไม่มี แต่พระเยซูทำให้พวกสาวกดู  พระเยซูเป็นแบบอย่างแก่สาวก  ในมัทธิว บทที่ 4 เป็นช่วงเวลาที่พระเยซูทรงเรียกชาวประมงให้ตามพระองค์ไป 4: 18-22 18 ขณะที่พระองค์ทรงดำเนินอยู่ตามชายทะเลกาลิลี   ก็ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องชาวประมงสองคน   คือซีโมนที่เรียกว่าเปโตร   กับอันดรูว์น้องชาย   กำลังทอดแหอยู่ที่ทะเลสาบ 19พระองค์ตรัสกับเขาว่า   “จงตามเรามาเถิด   และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา”20เขาทั้งสองได้ละแหตามพระองค์ไปทันที 21ครั้นพระองค์เสด็จต่อไป   ก็ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องอีกสองคน   ชื่อยากอบ   บุตรเศเบดี   กับยอห์นน้องชายของเขากำลังชุนอวนอยู่ในเรือกับเศเบดีบิดาของเขา   พระองค์ได้ทรงเรียกเขา 22ในทันใดนั้น   เขาทั้งสองก็ละเรือและลาบิดาของเขาตามพระองค์ไป  หลังจากที่พระเยซูทรงเรียกผู้คนให้ติดตามพระองค์  พระเยซูใช้ชีวิตกับพวกเขา และกระทำพระราชกิจให้พวกเขาได้เห็น และเหล่าสาวกก็เฝ้ามองดู การกระทำของพระองค์  เฝ้ามองดูชีวิตของพระองค์  เฝ้ามองดูท่าที อารมณ์ความรู้สึก คำพูดของพระองค์  และทุกสิ่งจากชีวิตของพระเยซูนั้นได้กลายเป็นแบบอย่างที่งดงามของสาวกในเวลาต่อมา  พระเยซูไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์แล้วออกคำสั่งกับสาวกว่าไปทำนู่น นี่ นั่น ไม่ได้เพียงออกคำสั่งให้สาวกสำแดงความรักต่อผู้คน  แบ่งปันแก่ผู้ขัดสนยากไร้  ขับผี รักษาโรค  แต่พระเยซูทรงสำแดงสิ่งเหล่านี้เป็นการกระทำ เป็นแบบอย่างเป็นการกระทำที่มีพลัง มากกว่าแค่การพูด มัทธิว 4:23 23 พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี   ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา   ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า   และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บของชาวเมืองให้หาย มัทธิว 15:32 -38 32 ฝ่ายพระเยซูทรงเรียกพวกสาวกของพระองค์มา   ตรัสว่า   “เราสงสารคนเหล่านี้   เพราะเขาค้างอยู่กับเราได้สามวันแล้ว   และไม่มีอาหารจะกิน   เราไม่อยากให้เขาไปเมื่อยังอดอาหารอยู่   กลัวว่าเขาจะหิวโหยสิ้นแรงลงตามทาง”33พวกสาวกทูลพระองค์ว่า   “ในถิ่นทุรกันดารนี้   เราจะหาอาหารที่ไหนพอเลี้ยงคนมากเท่านี้ให้อิ่มได้”34พระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า   “ท่านมีขนมปังกี่ก้อน”   เขาทูลว่า   “มีเจ็ดก้อนกับปลาเล็กๆสองสามตัว”35พระองค์จึงสั่งประชาชนให้นั่งลงที่พื้นดิน 36แล้วทรงรับขนมปังเจ็ดก้อน   และปลาเหล่านั้นมาโมทนาพระคุณแล้ว   จึงทรงหักส่งให้เหล่าสาวกของพระองค์   เหล่าสาวกก็แจกให้ประชาชน 37และคนทั้งปวงได้รับประทานอิ่มทุกคน   อาหารที่เหลือนั้น   เขาเก็บได้เจ็ดตะกร้า 38ผู้ที่ได้รับประทานอาหารนั้น   มีผู้ชายสี่พันคนมิได้นับผู้หญิงและเด็ก 39พระองค์ตรัสสั่งให้ประชาชนไปแล้ว   ก็เสด็จลงเรือมาถึงเขตเมืองมากาดาน  พระเยซูทำอะไร  พระเยซูสั่งสอน เยียวยารักษา ห่วงใย เลี้ยงดูจัดเตรียม และทรงสำแดงความเมตตาอย่างอัศจรรย์  เราจำเรื่องราวของหญิงที่ถูกจับฐานล่วงประเวณีได้มั้ย ทุกคนกำลังตราหน้าหญิงนั้น จะเอาผิดกับหญิงนั้นแต่สิ่งที่พระเยซูทรงกระทำเป็นแบบอย่างแก่สาวกคือพระคุณ ความรัก ความเมตตา  ยอห์น 8:10-11  10พระเยซูทรงเงยพระพักตร์ขึ้นตรัสกับนางว่า   “หญิงเอ๋ย   พวกเขาไปไหนหมด   ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ” 11นางนั้นทูลว่า   “พระองค์เจ้าข้า   ไม่มีผู้ใดเลย”   และพระเยซูตรัสว่า   “เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน   จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก”

วันนี้ที่เราได้รับข่าวประเสริฐ วันนี้ที่เราได้รับความรอด นั่นเพราะสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำไว้เป็นแบบอย่างแก่สาวก และสาวกเองก็ได้สืบทอดเจตนารมณ์นั้นต่อมา จึงทำให้เราอยู่ที่นี่ในวันนี้  แล้วเราทำสิ่งใด เราทำสิ่งใดที่เป็นแบบอย่างเพื่อที่จะส่งต่อให้ผู้อื่นต่อไป  เราต้องมีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง และประการที่ 1 ของชีวิตที่เป็นแบบอย่างคือ

1.ความรับผิดชอบในการเป็นแบบอย่าง

เราทุกคนต่างมีความรับผิดชอบ ไม่เพียงแค่ชีวิตของตัวเอง แต่เรายังมีความรับผิดชอบต่อผู้อื่นในฐานะพระกายของพรคริสต์ เราไปดูเรื่องราวของคาอินกับอาแบลในปฐมกาลบทที่ 4:1-10 1ฝ่ายชายนั้นสมสู่อยู่กับเอวาภรรยาของตน   นางก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชื่อคาอิน   นางจึงกล่าวว่า  “พระเจ้าทรงโปรดให้ฉันได้ผู้ชายคนหนึ่ง”2ต่อมานางก็ให้กำเนิดน้องชายของเขาชื่ออาแบล   อาแบลเป็นคนเลี้ยงแกะ   ส่วนคาอินเป็นคนทำไร่ไถนา 3อยู่มาวันหนึ่งคาอินนำพืชผลที่เกิดจากไร่นามาถวายพระเจ้า 4ส่วนอาแบลก็นำแกะหัวปีจากฝูงและไขมันของแกะมาถวาย   พระเจ้าทรงพอพระทัยอาแบลและเครื่องบูชาของเขา 5แต่คาอินกับเครื่องบูชาของเขานั้น  พระองค์ไม่พอพระทัย   คาอินก็โกรธแค้นนัก  หน้าบูดบึ้งอยู่ 6พระเจ้าจึงตรัสถามคาอินว่า   “เจ้าโกรธเคืองหน้าบูดบึ้งอยู่ทำไม 7ถ้าเจ้าทำดี  เราก็จะพอใจรับเจ้ามิใช่หรือ  ถ้าเจ้าทำไม่ดี   บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู  อยากตะครุบเจ้า   เจ้าจะต้องเอาชนะบาปนั้นให้ได้”  8ฝ่ายคาอินก็พูดชวนอาแบลน้องชายของตนว่า   “เราไปนากันเถอะ”   เมื่ออยู่ที่นาด้วยกัน   คาอินก็โถมเข้าฆ่าอาแบลน้องชายของตนเสีย 9พระเจ้าตรัสถามคาอินว่า   “อาแบลน้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน”   คาอินจึงทูลว่า   “ข้าพระองค์ไม่ทราบ  ข้าพระองค์หรือเป็นผู้ดูแลน้อง”10พระองค์ตรัสว่า  “เจ้าทำอะไรไป   โลหิตของน้องเจ้าส่งเสียงร้องฟ้องขึ้นมาจากดิน  คาอินไม่ได้มีชีวิตที่เป็นแบบอย่างแก่น้อง เขาทำผิดต่อพระเจ้า มีท่าทีที่ผิดตั้งแต่เริ่มต้น แรงจูงใจ ทัศนคติ ไม่ถวายเกียรติพระเจ้าไม่เป็นแบบอย่าง  เรารู้สึกอย่างไรกับคำพูดของคาอิน เมื่อพระเจ้าถามเค้าว่าน้องอยู่ที่ไหน คาอินตอบอย่างไม่แยแส ไม่ใส่ใจ  คำพูดของเค้าแสดงถึงความใจดำอำมหิต   คาอินแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะไม่รับผิดชอบต่อชีวิตของน้อง “จะไปรู้ได้ยังไงว่าน้องอยู่ที่ไหน ไม่ใช่หน้าที่อะไรซักหน่อย” นี่คือความบาปในการไม่ตระหนักถึงความรับผิดชอบและหน้าที่ที่คาอินมีต่อน้อง  ถามว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเรา  ในชีวิตเรา มีอาแบล เรามีน้องที่ต้องดูแล เรามีคนรุ่นที่อยู่ถัดจากเราลงไปที่เราจะต้องดูแลเขาด้วยการมีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง ดูแลน้องดูแลคนที่มีอายุถัดลงไปจากเราด้วยการกระทำที่ดีงามตามน้ำพระทัยพระเจ้า และหากเราไม่ตระหนักถึงหน้าที่ความรับผิดชอบที่เรามีต่อผู้อื่น ต่อคนที่อายุถัดจากเราลงไป  เราก็เป็นเหมือนคาอินที่ไม่แยแส เราไม่ใส่ใจ เราใจดำ  พระเจ้ารู้ว่าคาอินทำอะไรอยู่กับน้องของเขา พระเจ้ารู้ว่าคาอินแสดงความรับผิดชอบต่อน้องของเขาอย่างไร  และพระเจ้ารู้ว่าเราทำอะไรอยู่กับน้องของเรา กับคนที่อายุถัดจากเราลงไป พระเจ้าเห็นว่าเรารับผิดชอบต่อน้องของเราอย่างไร แบบไหน  เราเป็นพี่น้องกันใช่มั้ยคะ  พระคัมภีร์ใช้สรรพนามแทนเราทั้งหลายว่าพี่น้อง นี่คือสถานะความสัมพันธ์ของเรา    และคงไม่มีคนหนึ่งคนใดพูดว่า “เธอไม่เกี่ยวอะไรกับชั้น เราไม่ได้เป็นอะไรกัน มันเรื่องของคุณไม่เกี่ยวกับผม”  มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราต่างมีชีวิตที่เป็นแบบอย่างให้กับคนที่อยู่ถัดจากเราลงไป  จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราอธิษฐาน หนุนใจ เสริมกำลัง ดูแล  น้องของเรา   จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราตระหนักในความรับผิดชอบ  เราจะเป็นครอบครัวที่แข็งแรงมาก  เราจะเป็นครอบครัวที่มีความสุขมาก  ข้าพเจ้าอยากให้เราดูภาพนี้ด้วยกัน  นี่อาจยังเป็นภาพที่ไม่สมบูรณ์ เพราะยังขาดพี่น้องอีกหลายคน  ภาพนี้เป็นการเรียงอายุคนจากมากที่สุดไปหาคนที่อายุน้อยที่สุดในคริสตจักรของเรา  คนที่อายุมากที่สุดคืออาม่า  และคนที่อายุน้อยที่สุดคือน้องโฮป  และเราก็เรียงอายุจากคนมากลงไปเรื่อย ๆ ภาพ ๆ นี้แสดงถึงคน 4 รุ่น คนอาวุโส  วัยกลางคน  คนหนุ่มสาว  และเด็ก ๆ   เราแต่ละคนในภาพนี้มีคนที่อายุถัดจากเราลงไป แม้คนที่ไม่มีภาพในนี้ แต่ให้เราลองจินตนาการ เราอยู่ในช่วงไหน  เราอยู่ก่อนใคร ใครคือคนที่ถัดจากเราลงไป   และนั่นแหละน้องของเรา อาแบลของเรา ที่เราต้องรับผิดชอบ ด้วยชีวิต ด้วยการกระทำที่เป็นแบบอย่าง  เราต้องรักน้องของเรา  และเราต้องรู้ว่าน้องของเรากำลังเฝ้ามองดูชีวิตของพี่  พี่น้องเชื่อมั้ยว่าเมื่อเราอยู่ในบรรยากาศแวดล้อมที่ดี เราก็จะดีด้วย   และการที่ได้เห็น สัมผัส ถึงชีวิตแบบอย่างที่ดีนั้นมันมีผลในฝ่ายวิญญาณ มันเป็นการส่งต่อสิ่งที่ดีนั้นให้กับคนอื่น และในความเป็นพี่ที่มีสิทธิอำนาจต่อน้อง มันจะส่งผลกลายเป็นฤทธิอำนาจของพระเจ้า

อาทิตย์ที่ผ่านมาข้าพเจ้าไปประชุมสัมมนาที่บาหลี 4/14 มีคนทุกวัยจากทั่วโลกเข้าร่วมครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นคนรุ่นใหม่ เด็ก ๆ วัยรุ่น คนเหล่านี้เป็นพลังที่สำคัญต่อคริสตจักร ต่อแผ่นดินพระเจ้า และเขาต้องการแบบอย่างจากผู้ใหญ่ มีคนกล่าวไว้ว่า เครื่องป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับคนรุ่นใหม่ คือการมีรุ่นอาวุโสที่เป็นแบบอย่างชีวิต  / นักเทศน์รุ่นใหม่ ที่เห็นแบบอย่างการรับใช้จากคนรุ่นพ่อ  มีคนที่มองดูชีวิตของเราอยู่ คนในครอบครัวของเรา ลูกของเรา พี่น้องในคริสตจักร รวมทั้งเพื่อน เพื่อนบ้านที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า คนในที่ทำงาน ในโรงเรียน มหาวิทยาลัยคนเหล่านั้นล้วนเป็นอาแบลของเราด้วย ที่มีเราเป็นพี่ในฝ่ายวิญญาณ และเราต้องเป็นแบบอย่าง  ทิตัส 2 :7 ท่านจงประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างในการดีทุกสิ่ง   และในการสอนจงสุจริตและมีใจสูง  1 โครินธ์   8:9  9แต่จงระวังอย่าให้เสรีภาพของท่านนั้น   ทำให้คนที่มีความเชื่อน้อยหลงผิดไป  เค้ามองดูชีวิตของเรา เรามีชีวิตแบบไหน ใช้ชีวิตอย่างไร ใช้เวลาทำอะไร ใช้เสรีภาพอย่างไร  เรากำลังจัดการกับชีวิตของเราแบบไหน วิธีการจักการกับหัวใจกับอารมณ์ความรู้สึก การจัดการกับปาก แม้แต่การที่เราดำเนินชีวิตกับภรรยาของเรา สามีของเรา ลูกของเรา เราถูกเฝ้ามองดูจากผู้คน  สิ่งเหล่านี้กำลังบอกเราว่า แท้ที่จริงชีวิตของเรากำลังเป็นแบบอย่างของใครบางคนอยู่  อย่างที่บอก  เราก็อาจบอกกับตัวเองว่า ไม่นะนั่นไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่ความรับผิดชอบอะไรของเราที่จะต้องมีชีวิตที่เป็นแบบอย่างให้ใคร ไปดูคนอื่นไป  แต่ความจริงก็คือว่าเราไม่สามารถหนีจากบทบาทนี้ไปได้ ไม่ว่าเราจะเป็นใคร ทั้งหญิงชาย คนอายุน้อย คนอายุมาก   ไม่ว่าอย่างไรก็มีผู้คนที่ถัดจากเราและมองดูชีวิตของเราอยู่  นี่เป็นความจริงที่เราจะต้องประเมินชีวิตว่า แล้วแบบอย่างในชีวิตของเราเป็นแบบไหน ด้านบวกหรือด้านลบ  มีคำถามที่เราต้องถามตัวเราเองเพื่อการประเมิน

– เรามีความพึงพอใจในอุปนิสัยของตัวเองหรือไม่

– เราต้องการให้ใคร ๆ เอาอุปนิสัยของเราเป็นแบบอย่างหรือไม่

–  เรามีความคิดอย่างนี้ในชีวิตมั้ยว่า “ทำอย่างที่ชั้นพูดนะ แต่อย่าทำอย่างที่ชั้นทำ”

ถ้าเราตอบคำถามนี้อย่างจริงใจต่อตัวเอง เราก็จะตอบได้ว่าชีวิตเราเป็นแบบอย่างหรือไม่  ถ้าไม่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไป แล้วบอกกับตัวเองหรือใครว่าชีวิตเราไม่สามารถเป็นแบบอย่างให้ใครได้หรอก  แต่เราควรให้เป็นโอกาสของชีวิตที่เราจะต้องตระหนักและคิดใหม่ว่าเราจะมีชีวิตที่เป็นแบบอย่างให้กับคนอื่นด้วยความรับผิดชอบ และประโยคที่เราควรจะพูด เราต้องพูดตามพระคำของพระเจ้า ในฟิลิปปี 3:17 17ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย   ท่านจงร่วมกันตามแบบอย่างของข้าพเจ้า   ท่านมีพวกเราเป็นตัวอย่างแล้ว   จงดูคนที่ประพฤติตามแบบนั้น  วันนี้มีเสียงร้องจากอาแบลมาถึงเรา ที่เขาต้องการแบบอย่างชีวิตจากเรา และเราจำเป็น เร่งด่วนที่จะต้องลุกขึ้นมารับผิดชอบในฐานะที่เป็นพี่ที่จะดูแลน้องคนที่อยู่ถัดไปจากเรา 1 ทิโมธี 4:12 12อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน   แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง   ทั้งในทางวาจาและการประพฤติ   ในความรัก   ในความเชื่อ   และในความบริสุทธิ์ 1 เปโตร 2 :21 21เพราะพระเจ้าทรงใช้ท่านสำหรับเหตุการณ์เช่นนี้   เพราะว่าพระคริสต์ก็ได้ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย   ให้เป็นแบบอย่างแก่ท่านเพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์

2.เรามีชีวิตที่ถ่อมใจในการเป็นแบบอย่าง

ยอห์น 13:1-81ก่อนถึงงานเทศกาลปัสกา   พระเยซูทรงทราบว่า   ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา   พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้   พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด 2ขณะเมื่อรับประทานอาหารเย็นอยู่นั้น   (มารได้ดลใจยูดาสอิสคาริโอท   บุตรของซีโมน   ให้อายัดพระองค์ไว้) 3พระเยซูทรงทราบว่าพระบิดาได้ประทานสิ่งทั้งปวงให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์   และทรงทราบว่าพระองค์มาจากพระเจ้า   และจะไปหาพระเจ้า 4พระองค์ทรงลุกขึ้นจากการรับประทานอาหาร   ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้   และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวของพระองค์ 5แล้วก็ทรงเทน้ำลงในอ่าง   และทรงเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก   และเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้นั้น 6พระองค์ทรงมาถึงซีโมนเปโตร   และเปโตรทูลพระองค์ว่า   “พระองค์เจ้าข้า   พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์หรือ”7พระเยซูตรัสตอบเขาว่า   “สิ่งที่เรากระทำในขณะนี้ท่านยังไม่รู้เรื่อง   แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ”8เปโตรทูลพระองค์ว่า   “พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์ไม่ได้”   พระเยซูตรัสตอบเขาว่า   “ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว   ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้  การล้างเท้าของพระเยซูคริสต์ต่อสาวก เป็นการกระทำที่แสดงถึงความถ่อมใจที่พระเยซูคริสต์ทรงทำเป็นแบบอย่างแก่สาวก ในค่ำคืนสุดท้ายของชีวิตพระเยซูช่วงที่อยู่ในโลกนี้ พระเยซูกำลังเป็นแบบด้วยการกระทำด้วยความถ่อมใจว่าพระองค์ต้องให้สาวกปรนนิบัติซึ่งกันและกันด้วยความถ่อมใจ   เพราะก่อนหน้านี้สาวกมีความปรารถนาที่อยากจะเป็นใหญ่ และพระองค์กำลังบอกว่า ความปรารถนาที่อยากจะเป็นใหญ่ การต้องการมีเกียรติมีอำนาจเหนือกว่าผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่สวนทางกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  แต่วิญญาณที่ตรงข้ามกับความรู้สึกอยากเป็นใหญ่คือความถ่อมใจ 1 ยอห์น 13 : 12-17   12เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าเขาทั้งหลายแล้ว   พระองค์ก็ทรงฉลองพระองค์   และประทับลงตรัสกับเขาว่า   “ท่านทั้งหลายเข้าใจ   ในสิ่งที่เราได้กระทำแก่ท่านหรือ 13ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าพระอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า   ท่านเรียกถูกแล้ว   เพราะเราเป็นเช่นนั้น 14ฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า   และพระอาจารย์ของท่านได้ล้างเท้าของพวกท่าน   พวกท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย 15เพราะว่าเราได้วางแบบแก่ท่านแล้ว   เพื่อให้ท่านทำเหมือนดังที่เราได้กระทำแก่ท่านด้วย 16เราบอกความจริงแก่ท่านว่า   บ่าวจะเป็นใหญ่กว่านายก็ไม่ได้   และทูตจะเป็นใหญ่กว่าผู้ที่ใช้เขาไปก็หามิได้ 17เมื่อท่านรู้ดังนี้แล้วและท่านประพฤติตาม   ท่านก็เป็นสุข  เราควรเต็มใจรับใช้ซึ่งกันและกันแม้แต่สิ่งที่เล็กน้อยหรือต่ำต้อยที่สุดโดยมี พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่าง   ในวัฒนธรรมโบราณ คนรับใช้ในบ้านจะมีหน้าที่ล้างเท้าให้แขก เมื่อแขกมาถึงบ้าน  แต่พระเยซูผูกผ้าเช็ดเท้าไว้ที่ที่เอว เหมือนทาสระดับต่ำที่สุดที่เขาทำกัน แม้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ก็ถ่อมใจด้วยความเต็มใจที่จะรับใช้  เราเป็นแบบอย่างในเรื่องความถ่อมใจอย่างไร  พระเยซูไม่ได้ล้างเท้าสาวกเพียงเพราะจะให้พวกทำดีต่อกันและกันเท่านั้น แต่เราต้องไปไกลกว่านั้น ไปหาอาแบลที่อยู่นอกโบสถ์   พระเยซูมีเป้าหมายที่เราจะมีแบบอย่างแห่งความถ่อมใจที่เหนือกว่าคือการที่เราจะมีส่วนในการขยายพันธกิจของพระองค์ไปทั่วทุกหนแห่ง ที่เราจะออกไปในทุกที่และอยู่ในทุกหนแห่งในการรับใช้พระเจ้า รับใช้ซึ่งกันและกัน รับใช้ผู้คนที่เราไม่รู้จักด้วยความถ่อมใจ  แบบอย่างแห่งความถ่อมใจในชีวิตเรา สามารถเป็นพลัง เป็นฤทธิอำนาจ เป็นสิทธิอำนาจที่จะเชื่อมต่อผู้คน กับพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องของการมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีตำแหน่งอย่างที่สาวกเคยเข้าใจเคยอยากได้อยากเป็น เกียรติ ศักดิ์ศรีไม่สามารถนำคนถึงพระเจ้า แต่คือพลังของความถ่อมใจ ที่เราจะยอมถ่อมลงทำสิ่งที่ดูเล็กน้อย ต่ำต้อยให้ผู้อื่น เพราะเมื่อเราสำแดงความถ่อมใจ นั่นคือเรากำลังสำแดงพระคริสต์  ในการไปสัมมนาที่บาหลีข้าพเจ้าก็มีโอกาสเจอพี่น้องหลากหลายชนชาติมาก  มีคนหนึ่งเป็นผู้รับใช้คนลาว ขากลับเรากลับเที่ยวบินเดียวกัน มีโอกาสได้พูดคุยกัน เขาได้เป็นพยานให้ข้าพเจ้าฟัง ว่าก่อนจะมาในการสัมมนานี้พระเจ้าได้สำแดงให้เห็นภาพพระเยซูล้างเท้า เราพูดคุยกันเป็นภาษาไทย เพราะคนไทยคนลาว พูดเป็นปกติกันได้เลย แต่จะมีถ้อยคำบางคำที่มีความแตกต่างเขาบอกว่า “พระเจ้าสำแดงให้เขาเห็นว่าพระเยซูกำลังล้างตีนสาวก”  ข้าพเจ้าฟังก็ไม่ได้ตกใจอะไร เพราะเชื่อว่าเขาไม่ได้พูดคำหยาบ แต่เป็นภาษาในแบบของเขา แต่กลับรู้สึกว่ามันได้ความรู้สึกมาก   มันน่าคิด สำหรับเราคนไทยคำนี้ มันหยาบ ต่ำ ในความรู้สึกของเรา แต่มันคือความจริงด้วย แล้วเราจะยอมทำการต่ำ ยอมทำสิ่งที่เสียเกียรติ ศักดิ์ศรี ยอมถ่อมตัวลงหรือไม่สุภาษิต 22:4 4บำเหน็จของความถ่อมใจและความยำเกรงพระเจ้าคือความมั่งคั่งเกียรติและชีวิต   โรม 12:16 16จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน   อย่าใฝ่สูง   แต่จงถ่อมใจลงยอมทำการต่ำ   อย่าถือว่าตัวฉลาด (ตัวอย่างเรื่อง ผ้ากันเลอะ) เมื่อใส่ไว้ที่หน้าอกเรา เรากำลังบอกว่า – ป้อนชั้น ชั้น  ๆ ๆ ๆ ๆ ให้คนอื่นทำให้เรารับใช้เรา แต่ถ้าเราเปลี่ยนเอามาพาดไว้ที่แขน คุกเข่าลงที่จะรับใช้ผู้อื่นท่าทีมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง เราควรมีท่าทีแบบไหน เรามีความรับผิดชอบ มีความถ่อมในในการมีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง และเพราะเราถูกกำหนดให้มีชีวิตเป็นแบบอย่าง

3.เราถูกกำหนดให้มีชีวิตเป็นแบบอย่าง

เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์เรารู้ว่าพระเจ้าทรงกำหนดเราไว้ล้วนเป็นสิ่งดีทั้งสิ้น และทั้งหมดที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นนั้น ก็เพื่อเราจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เราจะเป็นแบบ  อย่างที่พระเจ้ากำหนดเพื่อเราจะสะท้อนถึงพระองค์  ทุกคนมีถูงกระดาษที่ได้รับแจก ให้เราหยิบถุงเมล็ดพืชขึ้นมา พี่น้องลองสัมผัส แต่ละเมล็ดมันเล็กมาก มัทธิว 17:20 20พระเยซูตรัสตอบเขาว่า   “เพราะเหตุพวกท่านมีความเชื่อน้อย   ด้วยเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่งท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า   ‘จงเลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น’   มันก็จะเลื่อน   สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งท่านทำไม่ได้   จะไม่มีเลย”  เราถูกกำหนดให้เป็นคนแห่งความเชื่อแล้ว จงใช้ความเชื่อเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่น แม้ความเชื่อของเรา เรารู้สึกว่าเล็กน้อย แต่อย่าดูถูกสิ่งเล็กน้อยที่เรามีนั้น เพราะสำหรับพระเจ้าแล้วพระองค์ทำให้มันยิ่งใหญ่ได้  ความเชื่อในชีวิตเรามันไม่ได้เกิดจากการที่เราพยายามเบ่งลมปราณ ฝึกวิทยายุทธขั้นสูงเพื่อให้มีความเชื่อ  แต่ความเชื่อของเราคือความเชื่อที่มีในพระเจ้า ไม่ใช่ในตัวของเรา  ความเชื่อในชีวิตเราต้องเป็นแบบอย่าง เราต้องเป็นคนแห่งความเชื่อในพระเจ้า ในทุกสถานการณ์ของชีวิต ในทุกวันของชีวิต ไม่ใช่เพียงแค่วันที่มาคริสตจักร แต่เราต้องดำเนินไปกับความเชื่อในพระเจ้าทุก ๆ วัน  ให้ทุกคนได้หยิบถุงน้ำผึ้งขึ้นมา แล้วลองชิม เป็นยังไงคะ หวาน อร่อย สดุดี 119 :103 101ข้าพระองค์รั้งเท้าข้าพระองค์ไว้จากวิถีชั่วทุกอย่าง    เพื่อปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์    102ข้าพระองค์มิได้เลี่ยงจากกฎหมายของพระองค์    เพราะพระองค์ได้ทรงสอนข้าพระองค์    103พระดำรัสของพระองค์นั้น  ข้าพระองค์ชิมแล้วหวานจริงๆ    หวานกว่าน้ำผึ้งเมื่อถึงปากข้าพระองค์    104ข้าพระองค์ได้ความเข้าใจโดยข้อบังคับของพระองค์    เพราะฉะนั้นข้าพระองค์เกลียดชังวิถีเท็จทุกอย่าง   เราว่าน้ำผึ้งหวานแล้ว แต่สดุดีบอกว่า พระคำของพระองค์นั้นหวานยิ่งกว่า  และพระคัมภีร์กำลังเปรียบน้ำผึ้งกับพระคำ  ฉนั้นใน การเป็นแบบอย่างในชีวิตเรา เราต้องมีพระคำของพระเจ้า เพื่อเราจะดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า เพื่อเราจะรู้ว่าอะไรดี อะไรยอดเยี่ยม เพื่อเราจะไม่เกี่ยวข้องกับความบาป เพื่อเราจะมีชีวิตที่ปราศจากที่ติ และเพื่อเราจะมีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง แตกต่างจากผู้อื่น เป็นเกลือเป็นความสว่าง เป็นคำตอบให้กับทุกคนได้  พี่น้องหยิบถุงสุดท้ายขึ้นมา แล้วลองเปิดดม  หอมมั้ยคะ 2 โครินธ์ 2 :16 14แต่ขอบพระคุณพระเจ้า   ผู้ทรงนำเราเสมอมาโดยพระคริสต์ด้วยความมีชัย   และทรงโปรดประทานกลิ่นหอมแห่งความรู้ของพระองค์   ให้ปรากฏด้วยตัวเราทุกแห่ง 15เพราะว่าเราเป็นกลิ่นอันหอมหวาน   ที่พระคริสต์ถวายพระเจ้าในหมู่คนที่กำลังจะรอด   และคนที่กำลังประสบความพินาศ16ฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นแห่งความตายซึ่งนำไปสู่ความตาย   และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิต   ใครเล่าจะมีความสามารถเหมาะสมกับพันธกิจเหล่านี้  เราเป็นฝ่ายไหน เราต้องเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิต ที่นำไปสู่ชีวิต นี่คือสิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ให้เราเป็น  สำหรับชาวโรมัน เมื่อมีการทำสงครามและได้รับชัยชนะ แม่ทัพจะชูสัญญลักษณ์ที่ริบมาได้พร้อมขบวนเชลยที่กวาดต้อนมา ท่ามกลางกลุ่มควันของเครื่องหอมที่เผาบูชา  สำหรับผู้มีชัยกลิ่นนั้นก็หอม  แต่สำหรับเชลยศึก นั่นเป็นกลิ่นแห่งความตาย ความเป็นทาส  อ.เปาโลใช้สำนวนพระคัมภีร์ตอนนี้เปรียบกับการรบการศึก  เพื่อให้เห็นภาพ ว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียน เราคือผู้ที่มีชีวิต มีชัยชนะ เพราะเราต้อนรับพระเยซูองค์จอมแม่ทัพที่มีชัยชนะเหนือทุกสิ่ง และเราก็จะต้องดำเนินชีวิตในแบบอย่างของผู้มีชัยชนะ ดำเนินชีวิตอย่างผู้ที่ยินดี ดำเนินชีวิตเป็นกลิ่นหอมที่จะนำชัยชนะของพระคริสต์ไปให้กับผู้อื่น   อย่าดำเนินชีวิตอย่างคนตาย ไม่มีความหวัง ไม่มีพลัง ไม่มีความชื่นชมยินดี ไม่มีเสียงหัวเราะ  แล้วก็ส่งกลิ่นแห่งความตายอยู่ในสภาพหดหู่ ซึมเซา เหงาหงอย ไม่มีชีวิชีวา นั่นไม่สมพระเกียรติพระเจ้าในฐานะที่พระองค์ทรงชนะแล้วในทุกสิ่งเลย  เมื่อเราเป็นแบบอย่าง คือการที่เรามีชีวิตที่เติบโตมากขึ้น และไม่เพียงแต่เราที่เติบโต แต่เรายังมีส่วนให้คนอื่นได้เติบโตเพราะชีวิตที่เป็นแบบอย่างจากเราด้วย

By admin