“พลังที่สดใหม่ฝ่ายวิญญาณ…” เมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อยแล้ว ไม่ชาร์ทไฟอีก คงไม่มี ไฟฉายของข้าพเจ้าที่ใช้ติดหน้ารถจักรยาน ใช้ไปนานๆก็แสงอ่อนลง แต่เมื่อชาร์ทเต็ม แม้กลางวันก็ยังสว่างชัดได้แต่ไกล ส่งสัญญาณให้กับรถใหญ่ที่วิ่งสวนมา ข้าพเจ้ามีลำโพงที่ใช้บลูทูช ใช้ไปนานๆ พลังหมด เสียงเพลงที่ฟังสะดุดเป็นพักๆ และก็เงียบหายไป เราต้องชาร์ไฟใหม่ เพราะต้องการจะใช้งานต่อ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ หลายคนมีเพาเวอร์แบงค์ แปลว่า ธนาคารพลังงาน ก็ยังต้องชาร์ท ข้าพเจ้ามีอยู่อัน ไม่ค่อยได้ใช้ เวลาจะใช้ เหลืออยู่เม็ดเดียว พอจะเอามาใช้ก็ชาร์ทโทรศัพท์ได้ไม่นานก็หมด บางทีเราชาร์ทโทรศัพท์อยู่ มีสายเรียกเข้า เราขี้เกียจถอดสายชาร์ทออก รับสายทั้งที่ยังเสียบสายชาร์ท โทรศัพท์บางเครื่องระเบิดขณะรับโทรศัพท์ ทำให้บาดเจ็บไปก็มี มีคำเตือนว่า อย่ารับสายขณะชาร์ทโทรศัพท์ ให้ถอดสายออก ข้าพเจ้าก็ใช้วิธีใช้หูฟังที่บลูทูช เสียบชาร์ทโทรศัพท์ คุยปลอดภัย หูฟังก็แบตหมดอีก สรุปก็คือ ยังไงก็ต้องมีวันแบตหมด พลังหมด ต้องชาร์ทอยู่ดี วันนี้ข้าพเจ้าอยากจะนำเราทั้งหลายมาสู่การชาร์ทพลังฝ่ายวิญญาณที่ไม่ว่าเราจะหัวหมอ หาทางลัด หาทางเลี่ยงอย่างไรก็ตาม พลังฝ่ายวิญญาณของเราจำเป็นต้องรับการชาร์ท จะใช้อย่างเดียวไม่ชาร์ทเลย ไม่ได้ และคริสเตียนบางคนอาจมีแบตฝ่ายวิญญาณเสื่อมไปแล้วก็เป็นได้ ต้องเปลี่ยนแบตใหม่ หรือเปล่า เพราะว่าชาร์ทเท่าไหร่ ไม่เก็บไฟ ยังมีความรู้สึกหมดไฟอยู่ตลอดเวลา เพราะแบตเก่าหมดอายุการใช้งานแล้ว สำนวนนี้ถูกใช้ในพระคัมภีร์ด้วยคำว่า เก่า แปลว่า เสียหายจนใช้ต่อไปไม่ได้ และคำว่า ใหม่ นีออส มีรากศัพท์มาจากคำว่า ไคนอส แปลว่า สดใหม่ในเรื่องของอายุการใช้งาน เป็นของใหม่ ไม่นำกลับมาใช้ซ้ำ โคโลสี3:9-10 …เพราะว่าท่านได้ปลดวิสัยมนุษย์เก่า กับการปฏิบัติของมนุษย์นั้นเสียแล้ว10 และได้สวมวิสัยมนุษย์ใหม่ ที่กำลังทรงสร้างขึ้นใหม่ตามพระฉายของพระองค์ผู้ทรงสร้าง ให้รู้จักพระเจ้า อ.เปาโลผู้เขียนหนังสือโคโลสีได้กล่าวว่าของเก่าต้องปลดออกอย่างเดียว ใช้ต่อไม่ได้ และแทนที่ด้วยวิสัยใหม่ที่เป็นชีวิตที่มีความต่อเนื่อง ด้วยคำว่า กำลังทรงสร้าง อนาไคนู แปลว่า ทำให้สดใหม่เสมอ รากศัพท์มากจากคำว่า ไคนู ที่แปลว่า สดใหม่ การทรงสร้างใหม่ที่เป็นปฏิกิริยาต่อเนื่อง ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงการแตกตัวของพลังงานปรมาณูที่มีการแตกตัวใหม่ตลอดเวลา มีการสะสมพลังงานที่มากขึ้น จนสามารถนำมาใช้ประโยชน์กับการผลิตพลังงานเพื่อสันติ เป็นประโยชน์มากมายมหาศาล ในมิติฝ่ายวิญญาณของคริสเตียนที่ถูกสร้างใหม่ จะมีการสะสมพลังใหม่ในฝ่ายวิญญาณ นี่คือภาพที่อ.เปาโลได้กล่าวไว้ในหนังสือเอเฟซัส 6:10-20 10 สุดท้ายนี้ จงเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในอานุภาพอันทรงพลังของพระองค์11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อจะสามารถต่อสู้กับอุบายของมารได้12 เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน13 เพราะเหตุนี้จงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะสามารถต่อสู้ในวันชั่วร้ายนั้น และเมื่อทำทุกอย่างแล้วจะยังยืนหยัดอยู่ได้14 เพราะฉะนั้นจงยืนหยัดไว้ เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นเกราะป้องกันอก15 และเอาความพรั่งพร้อมในการประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมาสวมเป็นรองเท้า16 และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นี้พวกท่านจะสามารถดับลูกศรเพลิงทั้งหมดของมารร้าย17 จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า18 จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลาโดยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกๆ อย่าง เพราะเหตุนี้จงเฝ้าระวังด้วยความเพียรและด้วยการวิงวอนเผื่อธรรมิกชนทุกคนอยู่เสมอ19 และเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าพูด พระองค์จะประทานถ้อยคำแก่ข้าพเจ้าที่จะสำแดงความล้ำลึกของข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญ20 เพราะข่าวประเสริฐนี้เองทำให้ข้าพเจ้าเป็นทูตที่ติดโซ่ตรวน และเพื่อว่าข้าพเจ้าจะกล้าพูดตามที่ข้าพเจ้าควรจะพูดนั้น อ.เปาโลเขียนจดหมายถึงคริสเตียนที่เมืองเอเฟซัสในขณะที่อ.เปาโลอยู่ในสภาพนักโทษที่กรุงโรม อ.เปาโลได้ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านประสบการณ์การประกาศข่าวประเสริฐจากเยรูซาเล็ม ถูกจับ ถูกปองร้ายเพื่อให้ถึงตาย แต่พระเจ้าก็ช่วยให้รอดตาย ได้รับการปกป้องจากทหารโรมัน ต้องแก้คดีที่ถูกกล่าวหา ในเวลาเดียวกันก้ฉวยโอกาสที่จะประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้ใหญ่ของบ้านเมืองตั้งแต่ผู้ว่าราชการจนถึงกษัตริย์ สุดท้ายได้รับการตัดสินให้ปล่อยตัว แต่เปาโลได้รับการสำแดงจากพระเจ้าว่าท่านจะต้องไปประกาศที่กรุงโรม ดังนั้น อ.เปาโลจึงไม่ถอนการถวายฏีกาแด่จักรพรรดิซีซ่าร์ นั่นหมายความว่า อ.เปาโลต้องเดินทางไปกรุงโรมในฐานะนักโทษ ระหว่างการเดินทางที่ใช้เวลาแรมเดือน แรมปี พบกับเรือแตก พบกับงูพิษกัด รอดตายและได้ทำพันธกิจกับชาวเกาะ วางมือรักษาโรค และแน่นอนอ.เปาโลได้เป็นเหตุให้นักโทษคนอื่นๆรวมทั้งทหารโรมรอดตายจากเรือแตก ด้วยนิมิตที่พระเจ้าให้ท่านว่าท่านจะต้องรอดไปถึงกรุงโรมและคนที่ไปด้วยรอดทุกคน กิจการ 27:34-37 34 ฉะนั้นข้าพเจ้าขอชวนท่านทั้งหลายให้รับประทานอาหารเสียบ้าง เพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะเส้นผมของผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่านจะไม่เสียไปสักเส้นเดียว”35 ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านจึงหยิบขนมปังขอบพระเดชพระคุณพระเจ้าต่อหน้าคนทั้งปวง แล้วก็หักรับประทาน36 คนทั้งปวงก็มีกำลังใจขึ้นจึงรับประทานอาหารด้วย37 (เราทั้งหลายที่อยู่ในกำปั่นนั้นรวมสองร้อยเจ็ดสิบหกคน) นี่คือชีวิตคริสเตียนที่ร่วมเผชิญโพยภัยกับร่วมกับคนอื่นๆที่ไม่มีพระเจ้า ทำให้คนเหล่านั้นมีกำลังใจด้วยนิมิตที่พระเจ้าทรงให้กับอ.เปาโล พลังที่อ.เปาโลมีนั้นอยู่ได้ด้วยนิมิต ความหวัง แต่เรารู้หรือไม่ว่า เมื่ออ.เปาโลไปถึงกรุงโรม สภาพของอ.เปาโลคือต้องรับการชาร์ทพลังจากพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน กิจการ8:15-16 15 ครั้นพวกพี่น้องในกรุงโรมได้ยินข่าวพวกเรา เขาจึงออกมาหาเราที่บ้านตลาดอัปปีอัสและที่บ้านสามร้าน เมื่อเปาโลเห็นเขาแล้ว จึงขอบพระเดชพระคุณพระเจ้าและมีกำลังใจดีขึ้น16 ครั้นพวกเรามาถึงกรุงโรม เขายอมให้เปาโลอยู่คนเดียวต่างหาก ให้ทหารคนหนึ่งคุมไว้ นี่คือสภาพการเป็นนักโทษของเปาโลที่ไปไหนมาไหนกับทหารคนหนึ่ง แต่ไม่ต้องอยู่ในคุก และอ.เปาโลได้รับการชาร์ทพลังที่นี่ การที่เปาโลต้องเรือแตก ต้องแวะหลายเมืองเพื่อเปลี่ยนเมือง ข้าพเจ้าเข้าใจว่า คือการชะลอเวลาให้การสื่อสารจากเยรูซาเล็มไปถึงพี่น้องคริสเตียนที่กรุงโรม เพื่อรอคอยการมาของเปาโล และคือการประกาศข่าวประเสริฐไปตามทางที่เปาโลไป เมื่อพี่น้องรู้ว่าเปาโลกำลังเดินทางมากรุงโรม คนเหล่านั้นก็รอคอย เพื่อจะได้ฟังเปาโลเป็นพยานและสอนและหนุนใจ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือการอธิษฐานด้วยกัน ประสบการณ์ของอ.เปาโลที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านภัยมากมากมายได้ เพราะคำอธิษฐานเผื่อ จดหมายต่างๆที่เรียกว่า จดหมายผู้ถูกจองจำหลายฉบับจึงเขียนจากกรุงโรม และหนังสือเอเฟซัสคือจดหมายฉบับหนึ่งที่อ.เปาโลเขียนจากที่นี่ และปิดท้ายจดหมายที่พี่น้องได้อ่านคือ เรื่องของการชาร์ทพลังและคำอธิษฐานของพี่น้องคริสเตียนคือกุญแจสำคัญ ที่อ.เปาโลจะดำเนินชีวิตที่ปราศจากที่ติจนถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต เราทุกคนก็เช่นกัน เราต้องการกำลังใจ เราต้องรับการชาร์ทพลัง เพื่อจะดำเนินชีวิตต่อไป เพื่อชีวิตจะสามารถผ่านกระบวนการกำจัดสิ่งปนเปื้อนให้เรากลายเป็นทองคำที่ผ่านเตาหลอมหลายๆครั้งได้ ถ้าเราไม่มีกำลังที่จะไปต่อ เราเข้าสู่เตาหลอมไม่ได้ เราจะทนไม่ได้ เราจะบากบั่นต่อไปไม่ได้ สิ่งที่หนังสือเอเฟซัสได้กล่าวในตอนท้ายนี้ คือบทสรุปประสบการณ์ของอ.เปาโลก่อนที่จะจบชีวิตที่กรุงโรม
1.พลังที่จะไปต่อ เอเฟซัส 6:10-12 (2011)
10 สุดท้ายนี้ จงเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในอานุภาพอันทรงพลังของพระองค์11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อจะสามารถต่อสู้กับอุบายของมารได้12 เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน อ.เปาโลรู้ว่า ในการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่สัตย์ซื่อในการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ เป็นสิ่งที่มารไม่ชอบ และมารต้องการจะทำลายคนที่ประกาศ โดยการใช้คนยิวให้พยายามฆ่าอ.เปาโลแต่ก็ไม่สำเร็จ การเดินทางที่พบกับพายุจนเรือแตก ก็ไม่สามารถหยุดการไปต่อของชีวิตแห่งการประกาศของอ.เปาโล เรือแตกทำให้ติดเกาะถูกงูกัดติดมือ ก็ไม่ตาย เพราะพระเจ้าต้องการให้เปาโลไปต่อ สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่ธรรมดา จนคนบนเกาะต่างก็มองว่าอ.เปาโลไปทำอะไรมาทำไมถึง…ซวย…(พูดกันตามภาษาชาวบ้าน) เรือแตกรอดตาย ยังหนีไม่พ้นงูพิษที่จะทำให้ตาย แต่เมื่อชาวบ้านเฝ้ารอว่าอ.เปาโลเมื่อไหร่จะตายเพราะพิษงู ปรากฏว่า อ.เปาโลไม่ตาย ประสบการณ์นี้ทำให้อ.เปาโลมองเห็นว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน การทรงเรียกของพระเจ้าให้อ.เปาโลประกาศกับคนต่างชาติ ทำให้อ.เปาโลเชื่อว่าท่านต้องไปต่อ ท่านจะไม่ตายจนกว่าจะไปถึงกรุงโรม ความเชื่อว่าต้องไปต่อทำให้มีถ้อยคำหนุนใจคนที่อยู่ในเรือลำเดียวกัน ตั้งแต่เรือกำลังจะแตก คนสิ้นหวัง แต่เปาโลกลับให้ความหวังกับคนเหล่านั้น เพราะท่านเชื่อในการทรงเรียกของพระเจ้าให้ไปต่อ เราทั้งหลายในวันนี้มีการทรงเรียกของพระเจ้าของแต่ละคน ครั้งแรกพระเจ้าทรงเรียกเราให้กลับใจใหม่ และพระเจ้าก็ยังทรงเรียกเราในครั้งต่อๆไป เพื่อเราจะรับพระบัญชาของพระองค์ว่า เราควรจะทำอะไร ไปต่ออย่างไร พระเยซูคริสต์ทรงอธิษฐานในยอห์นบทที่ 17 ว่า ไม่ให้พระบิดาเอาสาวกออกไปจากโลก แต่ขอปกป้องสาวกให้พ้นจากมารร้าย ในขณะที่สาวกดำเนินชีวิตบนโลกนี้เพื่อสำแดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเยซูคริสต์โดยการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูกับคนบนโลก ซึ่งมารไม่ชอบ มารขัดขวางและเป็นปฏิปักษ์ในเรื่องนี้ ดังนั้น มารจะออกอุบายเพื่อจะทำให้สาวกหมดพลังในการประกาศ เมื่อไรที่คริสเตียนหมดไฟที่จะประกาศ นั่นคือชีวิตคริสเตียนไม่ได้ไปต่อ แต่หยุดนิ่ง เพราะคริสเตียนไม่ได้สวมรองเท้าแห่งข่าวประเสริฐเพื่อไปต่อ นี่คือภาพที่อ.เปาโลได้เปรียบเทียบข่าวประเสริฐเป็นเหมือนรองเท้า หนึ่งในยุทธภัณฑ์ทั้งชุดที่ทำให้ไปต่อได้คือ รองเท้า (ข่าวประเสริฐ) ถ้าไม่มีข่าวประเสริฐ ชีวิตสาวกของพระเยซูหยุดอยู่กับที่ ถ้าไม่ประกาศคริสตจักรหยุดอยู่กับที่ คริสตจักรไปต่อไม่ได้ เป็นชีวิตที่หยุดนิ่ง ชีวิตที่หยุดนิ่งเหมือนชีวิตที่ตายแล้ว ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีพัฒนาการ ไม่มีการเติบโต ไม่มีความเชื่อ ไม่มีประสบการณ์ เป็นชีวิตที่หยุดการทรงเรียก การทรงเรียก มีความต่อเนื่อง ทรงเรียกและทรงเรียก ให้ไปต่อ พระเจ้าจะไม่เรียกเราให้หยุดนิ่ง คนที่มีการทรงเรียกจะรอฟังการทรงเรียกให้ไปต่อ ให้ทำอะไรต่อ ให้ตอบสนองต่อเราต้องการการชาร์ทไฟเพื่อเราจะไปต่อ การประกาศข่าวประเสริฐคือการต่อายุเพื่อเราจะไปต่อ การประกาศ คือการรื้อฟืนความสัมพันธ์ที่สดใหม่ตลอดเวลาระหว่างเรากับพระเจ้า เป็นการต่ออายุความสัมพันธ์ ถ้าหมดอายุ เราจะหมดพลัง ชาร์ทต่อไม่ได้ คริสเตียนต้องมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ถ้าไม่มี นั่นไม่ใช่คริสเตียน ความสัมพันธ์กับพระเจ้าคือการรับพลังจากพระองค์ จงเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า รากศัพท์ภาษากรีกคำว่า จงเข้มแข็ง แปลว่า ให้อำนาจ คือการเชื่อมต่อกับผู้มีอำนาจสูงสุดคือพระเจ้า แปลว่าการเพิ่มกำลัง ทำให้สามารถ ทำให้แข็งแรงโดยพระเจ้า เป็นคำกริยา และในอานุภาพอันทรงพลังของพระองค์ แปลว่า มีพลังงาน มีความกระฉับกระเฉง มีความแข็งแรง เป็นคำนาม ทั้งคำกริยาและคำนาม การเชื่อมต่อและการแสดงผลลัพธ์เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ ไม่ใช่แค่ภาษาพูด แต่เป็นภาษาการกระทำ เราต้องการพลังที่จะไปต่อ และพระเจ้ากำลังรอให้เราเชื่อมต่อเพื่อชาร์ทพลังจากพระองค์นั้น ขอให้เราเชื่อมต่อกับพระองค์อย่างเร่งด่วน ให้เราอธิษฐาน…..ชูมือขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ สารภาพบาปที่เราไม่ประกาศ เราไม่ได้ไปต่อ เราไม่ได้ต่ออายุความสัมพันธ์กับพระเจ้า มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า มารใช้บาดแผลของเราเพื่อทำให้เราห่างไกลจากพระเจ้า แต่บาดแผลของพระเยซูบนไม้กางเขนนำเรากลับมาหาพระเจ้า การประกาศเรื่องการเขนของพระเยซูคริสต์ คือการใช้บาดแผลของพระเยซูรักษาความสัมพันธ์กับพระเจ้า ในที่นี้ มีใครที่อยากไปต่อ จงต่ออายุความสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วยการประกาศ…เพื่อจะรับการชาร์ทพลังเพื่อไปต่อ
2.พลังที่จะยืนหยัดอยู่ได้ เอเฟซัส 6:13-17 (2011)
13 เพราะเหตุนี้จงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะสามารถต่อสู้ในวันชั่วร้ายนั้น และเมื่อทำทุกอย่างแล้วจะยังยืนหยัดอยู่ได้14 เพราะฉะนั้นจงยืนหยัดไว้ เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นเกราะป้องกันอก15 และเอาความพรั่งพร้อมในการประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมาสวมเป็นรองเท้า16 และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นี้พวกท่านจะสามารถดับลูกศรเพลิงทั้งหมดของมารร้าย17 จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า มารพยายามทำทุกวิถีทางให้สาวกของพระเยซูล้มลง และมารก็ทำสำเร็จในสาวกของพระเยซูหลายราย พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า สุภาษิต 24:16 16 เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก…. นั่นหมายความว่า คนของพระเจ้ามีโอกาสที่จะล้มลง แต่คนของพระเจ้าก็จะลุกขึ้นได้ทุกครั้ง อ.เปาโลได้กำชับคริสเตียนเมืองเอเฟซัสเมื่อลุกขึ้นแล้ว ต้องตั้งเป้าที่จะยืนหยัดเพื่อจะไม่ล้ม แม้จะล้มก็ต้องลุก และลุก การสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าคือวิธีต่อสู้ เอาความจริงต่อสู้ เอาความชอบธรรมของพระเจ้าต่อสู้ เอาข่าวประเสริฐต่อสู้ให้ไปต่อได้ แม้แรงฉุดรั้งจะมาก แต่ข่าวประเสริฐจะทำให้ก้าวต่อไปได้ เอาความเชื่อต่อสู้ ป้องกันและดับลูกศรเพลิงของพญามารที่ยิงมาเป็นห่าฝน ความเชื่อจะดับการจุดติดไฟของพญามาร คริสเตียนต้องจุดติดไฟเดียวคือไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไฟของพระวิญญาณฯทำให้เราร้อนรน กระตือรือร้น และยืนหยัดอยู่ได้ แต่ไฟของพญามารจะตรงกันข้ามกับพระเจ้า ไฟของมารจะขัดขวาง และทำให้เราหมดพลัง ทฤษฏีในการควบคุมไฟป่า อันหนึ่งคือการ แยกเชื้อเพลิง เชื้อเพลิงที่ทำให้เกิดไฟป่า ได้แก่ ใบไม้ กิ่งก้านไม้แห้งที่หล่นทับถมอยู่บนพื้นป่า หญ้า ไม้พุ่ม ท่อนไม้ ตอไม้ รวมไปถึงต้นไม้ที่มีอยู่ในป่า การแยกเชื้อเพลิงในป่าออกจากสามเหลี่ยมไฟ สามารถทำได้ในระดับหนึ่ง โดยการชิงเผาเพื่อกำจัดหรือลดปริมาณเชื้อเพลิง และทำแนวกันไฟ เพื่อตัดช่วงความต่อเนื่องของเชื้อเพลิง ทำนองเดียวกัน ความเชื่อของคริสเตียนจะเป็นโล่ เป็นแนวกันไฟเพื่อตัดความต่อเนื่องของเชื้อเพลิงที่จะติดไฟจากลูกศรเพลิงของพญามาร เราต้องชิง (ด้วยความเชื่อ) ให้ไฟพระวิญญาณเผาผลาญในชีวิตเราเพื่อสร้างแนวกันไฟ ตัดความต่อเนื่องของเชื้อเพลิง อะไรคือเชื้อเพลิง ความต้องการของเนื้อหนัง เป็นเชื้อเพลิงที่จะจุดติดไฟจากพญามาร เราต้องต่อสู้กับความต้องการของตนเอง นี่คือวิถีที่เราจะยืนหยัดอยู่ได้ ถ้าเราปล่อยให้ความต้องการของเนื้อหนังมีพลังมากขึ้นโดยไม่หยุดยั้ง ลูกศรเพลิงของพญามารยิงถูกเมื่อไหร่ ความต้องการของเนื้อหนังของเราจะมีพลังมากกว่าพลังฝ่ายวิญญาณ และพลังฝ่ายเนื้อหนังก็จะหยุดไม่ได้ มันจะมากขึ้นเหมือนชื่อหนังจอทีวี ไฟริษยา ไฟปรารถนา ไฟราคะ ไฟสารพัดที่เป็นความต้องการของเนื้อหนังจะเผาทำลายเราในที่สุด เราจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ เราจะล้มลง เป็นชีวิตที่ขาดพลังฝ่ายวิญญาณ การรับพลังเพื่อการยืนหยัดอยู่ได้ ไม่ได้หมายความว่าครั้งเดียวจบ เรายังต้องรับพลังนี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการอยู่ในความจริงอย่างต่อเนื่อง มากขึ้นและมากขึ้น อยู่ในความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์เจ้าอย่างต่อเนื่องมากขึ้นและมากขึ้น ประกาศข่าวประเสริฐอย่างต่อเนื่อง มากขึ้นและมากขึ้น 17 จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ หมวกเหล็กคือภาวะที่เราตระหนักว่าเราอยู่ในสงครามที่จะไม่ถอดหมวกออกเด็ดขาด เวลาเราไปไซด์งานก่อสร้างเราต้องใส่หมวก ข้าพเจ้าเคยไปตรวจงานก่อสร้างแบบไม่ใช่มืออาชีพ ไม่คิดว่า หมวกป้องกันศรีษะเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อเดินเข้าไปในอาคารที่ยังสร้างไม่เสร็จ พอดีฝนตก วิ่งหลบฝนลอดใต้ไม้ก่อสร้าง เจอตะปูขูดหัว เลือดออก เดือดร้อนต้องไปโรงพยาบาล ลองคิดดูว่า ในสนามรบที่มีกระสุนยิ่งเป็นห่าฝน เสียงดังป๊องแป๊งที่หมวกของเรานั่นคือความปลอดภัยกำลังทำงาน ถ้าไม่อยากได้ยินเสียง หรือรำคาญเสียง แล้วถอดหมวกออก เสียงเงียบ แสดงว่าหัวเราโดนกระสุนไปเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกัน การดำเนินชีวิตในความรอดนิรันดร์ สนามรบที่ดุดเดือดที่สุดคือความคิด มีเสียงมากมายที่มารพยายามส่งเข้ามารบกวนให้เราสงสัย ให้เราตามความคิดอย่างโลก แต่เราใช้ความรอดในพระเจ้า เป็นเครื่องป้องกัน การใช้ความรอดเป็นหมวกคือการมีความคิดตลอดเวลาว่าเราอยู่ได้โดยพระเจ้า มิใช่ด้วยสันชาตญาณของความอยู่รอด เราจะรอดอย่างแท้จริง อย่าให้มารหลอกเราด้วยความคิดจอมปลอม และจงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าคืออาวุธเดียวที่สามารถต่อสู้กับมารในสนามรบแห่งความคิด ที่เข้ามาในรูปแบบของการทดลองให้ทำบาปและมีความสงสัยในพระเจ้า พระวจนะคืออาวุธที่พระเยซูใช้ต่อสู้กับมาร โต้ตอบกับมาร และมารก็ผละไปจากพระเยซู พระวจนะเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณที่ทำให้เกิดพลังที่จะยืนหยัดอยู่ได้ คริสเตียนต้องอ่านพระคัมภีร์ และใช้พระคัมภีร์ในการดำเนินชีวิต จึงจะเกิดพลังเพื่อจะยืนหยัดอยู่ได้ อย่าเป็นคริสเตียนที่กินอาหารกระป๋อง แต่จงเป็นคริสเตียนที่กินอาหารฝ่ายวิญญาณที่สดใหม่ เราต้องเป็นคริสเตียนที่ Healthy สุขภาพดี คริสเตียนที่สะดุดง่าย บาดเจ็บง่าย คือคริสเตียนที่ไม่แข็งแรง อ่อนแอ ปวกเปียก มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า การผอมลงไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง สุขภาพที่ดีหมายถึงคุณต้องแข็งแรงด้วย ดังนั้น การลดน้ำหนักที่ไม่ออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อ จึงยังไม่ใช่วิถีของการมีสุขภาพที่แข็งแรง ข้าพเจ้าแนะนำคนที่กำลังลดน้ำหนักหลายคนให้สร้างกล้ามเนื้อด้วย ด้วยการออกกำลังกายที่สร้างกล้ามเนื้อ และอย่าอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก แต่ให้เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ มีคริสเตียนไม่น้อยที่ไม่มีประสบการณ์กับการรับอาหารที่มีประโยชน์จากการอ่านพระคัมภีร์โดยตรง เพราะใช้อาหารสำเร็จรูป ปรุงเสร็จนานแล้วจะคนอื่น แต่ตนเองไม่ศึกษา ไม่พัฒนาการอ่านพระคัมภีร์ สื่อสารกับพระวิญญาณโดยตรง ทำให้ขาดกล้ามเนื้อฝ่ายวิญญาณ เป็นคริสเตียนที่ดูดี แต่ยังไม่แข็งแรงที่แท้จริง มีภาพเปรียบเทียบว่า คนที่เพาะกล้ามให้ดูดี แต่ให้ยกของหนักกลับยกไม่ได้ สู้พวกจับกังที่มีกล้ามเนื้อมัดในที่แข็งแรงสามารถแบกข้าวได้เป็นกระสอบ เพราะเขาได้กล้ามเนื้อจากการทำงานทุกวัน สาวกของพระเยซูต้องออกไปทำงานฝ่ายวิญญาณทุกวัน ไม่ใช่แค่มาโบสถ์วันอาทิตย์ การรับใช้ต้องอยู่ในชีวิตประจำวัน เราจึงจะมีแรงยืนหยัดอยู่ได้
3.ส่งต่อพลังแก่กันและกัน เอเฟซัส6:18-20 (2011)
18 จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลาโดยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกๆ อย่าง เพราะเหตุนี้จงเฝ้าระวังด้วยความเพียรและด้วยการวิงวอนเผื่อธรรมิกชนทุกคนอยู่เสมอ19 และเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าพูด พระองค์จะประทานถ้อยคำแก่ข้าพเจ้าที่จะสำแดงความล้ำลึกของข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญ20 เพราะข่าวประเสริฐนี้เองทำให้ข้าพเจ้าเป็นทูตที่ติดโซ่ตรวน และเพื่อว่าข้าพเจ้าจะกล้าพูดตามที่ข้าพเจ้าควรจะพูดนั้นในพระคัมภีร์ตอนนี้ทำให้เราได้เห็นว่า คำอธิษฐานของคริสเตียนถูกใช้เป็นช่องทางที่พระเจ้าทรงส่งพลังมายังคริสเตียนด้วยกัน เพราะเราคือที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำงานผ่านการอธิษฐานมาจากการนำโดยพระวิญญาณ ซึ่งเป็นคำอธิษฐานที่ทำให้เกิดพลังแก่ผู้อธิษฐาน และพลังนี้ส่งต่อไปให้แก่กันและกันได้ ยากอบ 5:16 16 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล นี่คือเหตุผลที่อ.เปาโลจึงขอให้พี่น้องคริสเตียนที่เมืองเอเฟซัสอธิษฐานเพื่อท่านจะมีพลังความกล้าหาญในการพูด ได้รับถ้อยคำ ได้รับสติปัญญาในการพูดสิ่งที่ควรจะพูด 18 จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลาโดยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกๆ อย่าง เพราะเหตุนี้จงเฝ้าระวังด้วยความเพียรและด้วยการวิงวอนเผื่อธรรมิกชนทุกคนอยู่เสมอ นี่คือภาพของการส่งต่อพลังแก่กันและกัน ไม่ใช่อธิษฐานขอแต่สิ่งที่อยากได้ อยากมี อยากเป็น แต่เป็นความกระตือรือร้นในการลุกขึ้นมาอธิษฐาน ต่อสู้กับความเกียจคร้าน มีภาระใจในการอธิษฐาน ฝึกอธิษฐาน เรียนรู้การอธิษฐานในพระวิญญาณเพื่อคนอื่น เพื่อประเทศชาติ เพื่อคริสตจักร เพื่อให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จ วันนี้ คริสตจักรเรามีอธิษฐานรุ่งอรุณแบบนี้ ผ่านไลน์ ข้าพเจ้ากำลังให้หัวข้ออธิษฐานผ่านไลน์ ให้เรารับและเรียนการอธิษฐานในพระวิญญาณ จะบอกว่า สดใหม่ทุกเช้า ไม่มีการเตรียมเนื้อหา หรือการตีความล่วงหน้า การอธิษฐานในพระวิญญาณคือการเคลื่อนไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ทันที ตอบสนองทันที สิ่งที่เตรียมคือท่าที และการเฝ้าระวังด้วยความเพียร รักษาอารมณ์ ความคิด ชีวิตให้พร้อมรับการสื่อสารจากพระวิญญาณของพระเจ้าพี่น้องที่กำลังอยู่ในไลน์ตอนเช้าทุกเช้า ท่านกำลังเปิดช่องทางการรับและส่งต่อพลังแก่กันและกัน เราจะอธิษฐานขอให้คริสตจักรของเราที่นี่จุดติดด้วยไฟพระวิญญาณ สร้างแนวป้องกันไฟที่มาจากมาร เราจะยืนหยัดอยู่ได้ ไปต่อด้วยกัน ด้วยการส่งต่อพลังแก่กันและกัน นี่แหล่ะ คือ
“พลังที่สดใหม่ฝ่ายวิญญาณ…”
1.พลังที่จะไปต่อ
2.พลังที่จะยืนหยัดอยู่ได้
3.ส่งต่อพลังแก่กันและกัน