เราเป็นคำพยานของพระเจ้า

อยากให้ทุกวันเป็นวันศุกร์อธิษฐานและวันอาทิตย์ ขอบคุณพระเจ้า

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเราทั้งหลายที่เรามีกันและกัน ขอบคุณที่เราต่างยืนหยัดอยู่บนเส้นทางของพระเจ้า ขอบคุณในการแบกกางเขนและติดตามพระองค์ของพี่น้องทุก ๆ คน ขอบคุณสำหรับการเริ่มต้นความเชื่อของพี่น้องผู้เชื่อใหม่ใน 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมาและเราจะก้าวเดินไปในความเชื่อด้วยกันต่อไป

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการเปลี่ยนแปลง ของคริสตจักรไม่ใช่เพียงเฉพาะทางกายภาคความสวยงามของห้องประชุม แต่รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ    ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เราสัมผัสได้ถึงการทรงสถิต ความรัก ความเมตตาที่มีต่อคริสตจักรของพระองค์  เมื่อคริสตจักรได้ตื่นขึ้น ลุกขึ้นในพระเจ้าในการอธิษฐาน แสวงหาพระองค์   ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้เมื่อเราอธิษฐาน เมื่อคริสตจักรอธิษฐาน  เราทุกคนจะมีคำพยานถึงความยิ่งใหญ่ การช่วยกู้ การช่วยให้รอด ความรัก ความเมตตาของ

พระเจ้าแบบสดใหม่เสมอ  ชีวิตเราต่างเป็นคำพยานของพระเจ้า และนี่คือหัวข้อเทศนาในเช้าวันนี้ เราเป็นคำพยานของพระเจ้า

เวลานี้อยากให้เรายกเสียงขึ้นอธิษฐานด้วยกันในเช้าวันนี้ อธิษฐานขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งในวันเวลาที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ และที่พระเจ้าจะทรงนำเราทั้งหลายต่อไปในวันข้างหน้า

ขอบคุณสำหรับพระพร และความทุกข์ยากลำบากที่ผ่านเข้ามา  ขอบคุณที่พระองค์ทรงนำเราเสมอมาด้วยความมีชัยในพระเยซูคริสต์

ชีวิตเราเป็นคำพยานฝ่ายพระเจ้า ผู้เป็นพยานนั้นมีความหมายว่า “ผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์  ผู้ที่รับรองความจริง”  กลุ่มสาวกของพระเยซู อัครทูตต่างเป็นพยานฝ่ายพระเยซูเพราะพวกเขาได้ใช้ชีวิตอยู่กับพระองค์ ได้เห็นเหตุการณ์ ได้ประสบกับหมายสำคัญ การอัศจรรย์ และฤทธานุภาพของพระเยซูในการสิ้นพระชนม์ และฟื้นคืนเป็นขึ้นจากความตาย และรับรองความจริงว่าพระเยซูทรงเป็นจริง    เราเองก็เช่นกัน เราเป็นคำพยานฝ่ายพระเจ้า เพราะเรารู้เห็นเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน แม้เราไม่เห็นพระเยซู ไม่ได้ใช้ชีวิตกับพระเยซูเหมือนเหล่าสาวก แต่เราก็ใช้ชีวิตอยู่กับพระเจ้าทุกวัน และมีประสบการณ์กับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ที่ทรงรัก เมตตา ห่วงใย เห็นอกเห็นใจ   เรามีประสบการณ์ในหมายสำคัญ การอัศจรรย์ และฤทธานุภาพของพระองค์เป็นการส่วนตัวในชีวิตของเรา  เราได้พบได้รับพระคุณซ้อนพระคุณ   คำพยานสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราคือการรับรองความจริงว่าพระเยซูทรงเป็นจริง และชีวิตเราจึงเป็นคำพยานฝ่ายพระองค์เช่นเดียวกับสาวก อัครทูตเหล่านั้น   และชีวิตที่เป็นคำพยานของพระเจ้าในวันนี้ มี 3 ประการ

1.เราเป็นคำพยานของพระเจ้าเพราะเราถูกกำหนดไว้

เราเชื่อเรื่องการกำหนดไว้ของพระเจ้าในชีวิตเรามั้ย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรที่เป็นความบังเอิญ แต่เป็นกำหนดของสวรรค์ เป็นการกำหนดไว้ด้วยความรัก ความเมตตา ความห่วงใยสงสารของพระเจ้าที่มีต่อเราทุกคน วันนี้เราจึงได้รู้จักพระองค์ มีพระองค์

และภายใต้การมีชีวิตที่เป็นพยานนี้ เราถูกกำหนดอย่างไร ให้ปฎิบัติหน้าที่สำคัญและมีคุณค่า   หากเรามีเรื่องสำคัญ มีสิ่งสำคัญ มีงานสำคัญที่จะให้ใครสักคนทำ  เราจะมอบให้คนแบบไหน ? : คนที่เก่ง คนที่มีความสามารถ คนที่เชี่ยวชาญ คนที่สัตย์ซื่อ คนที่มีความรับผิดชอบ คนที่มีความอดทน คนที่มีความพยายาม คนที่มีความมานะบากบั่น เราจะหาคนที่มีคุณสมบัติที่ดีเพื่อทำงานที่สำคัญและมีคุณค่านั้น   และในสายตาของพระเจ้าเราทุกคนมีคุณสมบัติที่ดีเหล่านั้น และเพราะเราสำคัญและมีคุณค่าพระเจ้าจึงกำหนดให้เราปฎิบัติหน้าที่ที่สำคัญและมีคุณค่านี้

1 เปโตร 2 :9   9แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว   เป็นพวกปุโรหิตหลวง   เป็นประชาชาติบริสุทธิ์   เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ   เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์   ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด   เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์

ครั้งหนึ่งเราไม่ได้เป็นชนชาติของพระเจ้า ไม่ได้เป็นพลเมืองของพระเจ้า แต่เวลานี้เราเป็นผู้ที่ได้รับพระเมตตาจากพระองค์แล้ว และถูกกำหนดไว้ให้ทำภารกิจของปุโรหิตที่จะนำผู้คนคืนดีกับพระเจ้าเหมือนที่เราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว ด้วยชีวิตที่เป็นพยานฝ่ายพระองค์ต่อคนอีกมากมายที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าว่าพระเจ้าทรงรัก ทรงเมตตาห่วงใยสงสารคนเหล่านั้นเหมือนที่ทรงมีต่อเรา  ไม่ว่าเราจะเป็นใคร ชายหญิง เด็ก ผู้ใหญ่ คนสูงอายุ ทุกคนถูกกำหนดไว้ให้มีชีวิตที่เป็นคำพยานของพระเจ้า

มัทธิว 21:15-16 15แต่เมื่อพวกปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์   ได้เห็นการมหัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ   ทั้งได้ยินหมู่เด็กร้องในบริเวณพระวิหารว่า   “โฮซันนาแก่ราชโอรสดาวิด”   เขาทั้งหลายก็พากันแค้นเคือง 16เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า   “ท่านไม่ได้ยินคำที่เขาร้องหรือ”   พระเยซูตรัสตอบว่า   “ได้ยินแล้ว   พวกท่านยังไม่เคยอ่านหรือว่า    พระองค์ทรงกระทำให้คำสรรเสริญอันจริงแท้    ออกมาจากปากเด็กและทารกที่ยังไม่หย่านม”  
เราอย่าสบประมาทปากของเด็กพระเจ้าใช้เค้าได้ มีอาทิตย์หนึ่งขณะที่โฮฟนั่งฟังเทศน์อยู่บนตักแม่ ความที่ใครเห็นโฮฟก็อยากเล่นด้วย หมั่นเขี้ยว  คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ วันนั้นก็พยายามจะเล่นกับโฮฟ แต่เด็กบางทีเค้าก็รำคาญ มันไม่สบายตัว  โฮฟก็มีวิธีและถ้อยคำมาถึงผู้ที่กำลังเอ็นดูโฮฟ ด้วยการ ชี้มาที่อ.สิริกานต์ที่กำลังเทศน์อยู่พร้อมบอกคนนั้นว่า “ฟัง”  ตอนนี้โฮฟพูดได้เป็นคำ ๆ นะ อย่าให้พูดได้เป็นประโยค พยากรณ์ได้ว่า แรง แน่นอน   ด้วยเหตุนี้ท่านทั้งหลายจงระวังตัว ข้าพเจ้าขอย้ำจงระวังตัว อย่าไปเล่นกับโฮฟตอนเค้านมัสการและฟังเทศน์  เค้าโฮลี่หนักมาก นอกจากเด็ก

ฟิลิปปี 4:3  3ข้าพเจ้าขอร้องท่านผู้เป็นเพื่อนร่วมแอกแท้ๆของข้าพเจ้า   ให้ท่านช่วยผู้หญิงเหล่านั้น   เพราะว่าเขาได้ทำงานเพื่อข่าวประเสริฐเคียงข้างกับข้าพเจ้าและเคลเมนท์   รวมทั้งคนอื่นที่เป็นเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้า   ซึ่งชื่อของเขาเหล่านั้นมีอยู่ในหนังสือชีวิตแล้ว  

สดุดี 71:18  18แม้จะถึงวัยชราและผมหงอกก็ตาม    ข้าแต่พระเจ้า  ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย    จนกว่าข้าพระองค์จะประกาศถึงอานุภาพของ พระองค์แก่ชาติพันธุ์ถัดไป  และฤทธิ์เดชของพระองค์แก่ผู้ที่จะเกิดมา 

ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย คนหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ ผู้สูงวัย พระเจ้าทรงกำหนดให้เราปฎิบัติหน้าที่ที่จะเป็นพยานของพระเจ้าทุกคน ให้เราเป็นพยานฝ่ายพระเจ้าสำแดงชีวิตด้วยฤทธานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธ์  ให้เราเป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดีที่จะทำสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่า  1 เปโตร 4:10 10ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทานที่ทรงประทานให้แล้ว   ก็ให้ใช้ของประทานนั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกัน   เป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดี   ที่แจกและสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า

เราทุกคนถูกกำหนดไว้ให้ทำในสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่า เราต้องให้ความสำคัญและคุณค่าต่อสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่าที่แท้จริง อย่าสำคัญอะไรผิด ๆ อย่าให้คุณค่ากับสิ่งจอมปลอม อย่าให้ค่านิยมของโลกนี้มาหลอกเราว่ามันสำคัญและมีคุณค่า แต่เราต้องใส่ใจ ใส่ชีวิตที่เป็นพยานของ

พระเจ้าไว้ในชีวิต ในหัวใจเรา

ขวดเปล่า หากใส่น้ำเปล่า จะมีคุณค่า 5  บาท  หากใส่น้ำหวานก็มีค่า 10 บาท   หากใส่น้ำผึ้งมีค่า 300 บาท  หากใส่น้ำหอมจะมีคุณค่า 1000 บาท ชีวิตเราจะมีคุณค่าแค่ไหนก็ขึ้นกับสิ่งที่เราใส่ลงไปในชีวิตของเรา  พระเจ้าสร้างเราอย่างมีคุณค่า กำหนดให้เราทำสิ่งที่มีคุณค่าที่จะเป็นพยานของพระเจ้า   ถ้าวันนี้เรารู้สึกว่าทำไมชีวิตเราไม่มีคุณค่าเลย ลองสำรวจ คิดใคร่ครวญชีวิตเราดูว่าเราได้ใส่ใจในสิ่งที่มีคุณค่าแท้จริงคุณค่านิรันดร์คุณค่าแห่งแผ่นดินสวรรค์ในการเป็นพยานฝ่ายพระเจ้าหรือไม่อย่างไร อย่าพยายามหาความสำคัญและสร้างคุณค่าให้ตัวเองด้วยสิ่งไร้ค่า หรือสิ่งของ ๆ โลกนี้ นอกจากเราถูกกำหนดให้ทำสิ่งที่สำคัญมีคุณค่าแล้ว เราถูกกำหนดให้มีชีวิตที่

– ให้ส่องสว่างแก่คนทั้งปวง   ฟิลิปปี 2 :12- 15 12เหตุฉะนี้  พวกที่รักของข้าพเจ้า   เมื่อท่านเชื่อฟังทุกเวลาฉันใด   ท่านทั้งหลายจงอุตส่าห์ประพฤติ   เพื่อให้ได้ความรอด   ด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นฉันนั้น   มิใช่เฉพาะเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับท่านเท่านั้น   แต่จงยิ่งประพฤติให้มากขึ้น   ในเมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วย 13เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน   ให้ท่านมีใจปรารถนา   ทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์    14จงทำสิ่งสารพัดโดยปราศจากการบ่นและการทุ่มเถียงกัน15เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ถูกติเตียน   และไม่มีความผิด   เป็น   บุตรที่ปราศจากตำหนิของพระเจ้า     ในท่ามกลาง   พงศ์พันธุ์ที่คดโกงและวิปลาส   ท่านปรากฏในหมู่พวกเขาดุจดวงสว่างต่างๆในโลก

เราเชื่ออะไร เราใช้ชีวิตแบบไหน โดยเฉพาะเมื่อเราใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง นั่นคือความหมายของคำว่า integrity เป็นความสัตย์ซื่อที่เราจะเป็นคน ๆ เดียวกันทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้คน วงเล็บผู้คนในโบสถ์   เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโบสถ์ตลอดเวลา เราต่างมีชีวิตส่วนตัวที่เราไม่ได้เห็นกัน และเราต้องตระหนัก คิดมากขึ้นถึงการมีชีวิตที่ส่องสว่างต่อคนในครอบครัว ต่อเพื่อนบ้าน   การมีชีวิตที่ส่องสว่างได้ เราต้องพึ่งพาฤทธิ์เดชของพระเจ้า  เราไม่สามารถไว้วางใจในเนื้อหนัง  กำลังของเราที่จะส่องสว่างเพราะมีเวลาที่เราอ่อนแอ ล้มเหลว ผิดพลาด ถึงเวลาเล้วที่เราจะต้องจดจ่อกับการพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริง การส่องสว่างสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเรื่องคุณค่า ถ้าเราให้ความสำคัญเห็นคุณค่าในการเป็นพยานฝ่ายพระเจ้า เราจะตระหนักที่จะดำเนินชีวิตที่ส่องสว่าง

คนในครอบครัวรู้ว่าเราเป็นคริสเตียน เพื่อนบ้าน เพื่อนที่ทำงาน ที่โรงเรียนรู้ว่าเราเป็นคริสเตียน แต่ถ้าเรามีชีวิตให้ใครเค้าติได้ ว่าได้  เราทำบาป  เรามีชีวิตไม่ถูกต้อง เท่ากับว่าเรากำลังทำให้คนเหล่านั้นมองไม่เห็นพระคริสต์  เรากำลังดับแสงสว่างในชีวิตของเราเอง พระเจ้ากำหนดให้เราเป็นแสงสว่าง แต่เราเองทำลายความสว่างนั้นให้มืดมิดด้วยการดำเนินชีวิตที่ไม่ถูกน้ำพระทัย  ขอให้เราดำเนินชีวิตที่ปราศจากที่ติ บริสุทธิ์ทางศีลธรรม มีความอดทนอดกลั้น มีความสงบสุขเพื่อเราจะส่องสว่างดังดวงดาวในโลกที่มืดมนและเสื่อมทราม  ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงของเราจะเป็นคำพยานที่มีประสิทธิ์ภาพถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ชีวิตเรากำลังส่องสว่างสดใส หรือมีเมฆหมอกของการบ่นว่าทุ่มถียงวิวาท มาบดบังอยู่    เราถูกกำหนดแล้วที่จะมีคุณค่า ทำสิ่งที่มีคุณค่า สิ่งที่สำคัญ และส่องสว่างเป็นพยานเพื่อพระเจ้า ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเราทุกคน เพื่อเราจะปราศจากที่ติในวันแห่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ชีวิตเราเป็นคำพยานเพราะเราถูกกำหนดไว้ และประการที่ 2

2.ชีวิตเราเป็นพยานด้วยคำพูดของเรา

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับงานคองเกรสที่ผ่านมา และคริสตจักรต่างๆ ทั่วประเทศไทยรวมทั้งคริสตจักรของเราตอบสนองในการที่จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการออกไปแจกใบปลิวทุกอาทิตย์แรกของเดือน ใบปลิวนั้นก็เป็นเหมือนถ้อยคำ และมากกว่านั้นควรที่เราจะมองหาโอกาสที่จะเป็นพยานด้วยถ้อยคำจากปากเรา อย่าให้โอกาสที่ผู้คนควรจะได้รับความรัก ความเมตตาจากพระเจ้าผ่านเลยไป วิดีโอของนิค ที่เราดูไปเมื่อช่วงต้น เป็นตัวอย่างที่ดี  เราต้องส่งต่อ แบ่งปันความสว่างของพระเจ้าไปถึงผู้อื่นด้วยปาก ด้วยคำพูดของเรา   เราต้องให้พระเจ้าใช้ปากของเรา ให้เรามีถ้อยคำแห่งพระคุณความรัก ถ้อยคำที่ประกอบด้วยสติปัญญา ชัดเจน โปร่งใสฟังแล้วสบายใจ ไม่ชวนทะเลาะไม่ชวนตี    มีบทสนทนาของพ่อลูกคู่หนึ่ง ลูกบอกว่า : พ่อ ๆ ผมกินเงาะในตู้เย็นนะ

พ่อ : (ขึ้นเสียง) ไม่ได้

ลูก : อ้าวทำไมอะ

พ่อ : จะกินก็เอาออกมากินข้างนอกสิ จะลำบากเข้าไปกินในตู้เย็นทำไม

อีกคู่นึงย่ากับหลาน ย่าบอกว่า : ไอ้หนูเฝ้าบ้านนะ  ย่าจะไปตลาด

หลาน : ย่าไปทำไม

ย่า : ไปซื่อยาฆ่าหนู

หลาน : หนูไปด้วย

ย่า :  หนูไปทำไม

หลาน :  ไปซื้อยาฆ่าหญ้า

ขอพระเจ้าช่วยเราทุกคน หลายครั้งเราก็ผิดพลาดในคำพูด แต่ขอพระเจ้าใช้ชีวิตเราเป็นคำพยานผ่านถ้อยคำของเราที่จะ – ใช้ปากพูดสิ่งที่เป็นประโยชน์ สดุดี 37:30 30ปากของคนชอบธรรมเปล่งสติปัญญา    และลิ้นของเขาพูดความยุติธรรม  

สุภาษิต 15:7  7ริมฝีปากของปราชญ์กระจายความรู้   แต่ความคิดของคนโง่หาเป็นเช่นนั้นไม่

เอเฟซัส 4:29 29อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย   แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ   เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง

โคโลสี 4:6  6จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ   ปรุงด้วยเกลือให้มีรส   เพื่อท่านจะได้รู้จักตอบให้จุใจแก่ทุกคน

ให้เรามีคำพูดที่เหมาะสม มีคุณ เป็นถ้อยคำที่นำความชุ่มฉ่ำ เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เมื่อเราเป็นพยานเรื่องพระเจ้า เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องพูดด้วยความนุ่มนวล ไม่ว่าข่าวประเสริฐจะเป็นเรื่องราวที่น่าฟังเพียงใด การเป็นพยานของเราจะไม่เกิดผล ถ้าเราไม่พูดด้วยความสุภาพอ่อนน้อม เราจะไปทำสายแข็งกับเค้านี่ไม่ควรนะ  เราอยากให้คนอื่นเคารพเราอย่างไร เราก็ต้องเคารพเขาถ้าเราต้องการให้เค้าฟังที่เราพูด   เกลือนั้นมีประโยชน์ใช้ปรุงอาหาร ปรุงรสให้เกิดความอร่อย ฉนั้นคำพูดของเราควรมีรสชาติอร่อย เป็นคำพูดที่ส่งเสริมให้เค้าอยากสนทนากับเราต่อไป ไม่ใช่พูดไม่กี่คำแล้วก็ “สวัสดีและลาก่อนอย่ามาพบเจอะเจอกันอีกเลย”   การที่เราจะมีคำพูดที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ เราต้องใช้ปากเราพูดกับพระเจ้าก่อน สนทนากับพระองค์  เป็นอันหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณ ขอการครอบครองของพระองค์ที่ริมฝีปากของเรา หลายครั้งที่เราไม่รู้จะพูดอะไรพระเจ้าจะพูดแทนเรา โมเสสพูดไม่เก่งแต่พระเจ้ามีวิธีการ เยเรมีย์บอกว่าตัวเองเป็นเด็ก แต่พระเจ้าอยู่กับเขา เปโตรขี้ลาด แต่เค้าเป็นพยานเรื่องพระเจ้า มี 3000 คนเชื่อในพระเจ้า และจากนั้นอีก 5000 คนโดยฤทธิ์เดชพระวิญญาณบริสุทธิ์

นอกจากใช้ปากพูดกับพระเจ้าก่อน ก็ต้องใช้ใจที่จะไว ละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของคนอื่นด้วย  และเมื่อเป็นพยานด้วยคำพูดที่เป็นประโยชน์แล้วต้อง

– ต้องมีคำพูดถึงการช่วยเหลืออันชอบธรรมของพระองค์   สดุดี 71:24  24และลิ้นของข้าพระองค์จะพูดถึงความ   ช่วยเหลืออันชอบธรรมของพระองค์ ตลอดวันยังค่ำ 

สดุดี 145:11-12 11เขาทั้งหลายจะพูดถึงพระสิริแห่ง ราชอาณาจักรของพระองค์  
 และเล่าถึงฤทธานุภาพของพระองค์    12เพื่อให้กิจการอันทรงอานุภาพของพระองค์  
 และสง่าราศีอันรุ่งโรจน์แห่งราชอาณาจักรของพระองค์    แจ้งแก่บรรดาบุตรของมนุษย์   

เราแต่ละคนมีประสบการณ์ถึงการช่วยเหลือ การช่วยกู้จากพระเจ้าด้วยกันทั้งสิ้น และเรื่องราวที่ดีที่สุดที่จะเป็นคำพยาน ก็คือเรื่องราวจากชีวิตจากประสบการณ์ของเราเอง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ในความทุกข์ ในความยากลำบาก ในปัญหา ในความเจ็บไข้ได้ป่วย ที่เราเคยผ่านมา หรือกำลังประสบอยู่ในวันนี้ เราอาจไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเกิดขึ้น มีหนังสือคริสเตียนเล่มหนึ่งตั้งชื่อว่า “ทำไมพระเจ้าแสนดีจึงให้ยอมให้ฉันปวดร้าว”   เหมือนเป็นประโยคที่ต่อว่าพระเจ้าเลย   แต่ขอให้เราได้เข้าใจใหม่ว่า ความทุกข์ ความเจ็บปวด ปัญหาอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นนั้น คือเวลาที่พระเจ้ากำลังส่งเราเข้าโรงเรียนอธิษฐาน ที่เราจะพึ่งพาพระองค์ เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ มีประสบการณ์ในการช่วยกู้ของพระเจ้าที่ให้เราผ่านพ้นสิ่งที่เกิดไปได้อย่างไร และหลายครั้งพระเจ้าจะใช้สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเรานั้นเพื่อเราจะเป็นพยานกับผู้ที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวกันกับเรา หรือคล้าย ๆ เรา เราจะสามารถพูดได้ถึงฤทธานุภาพของพระเจ้าอย่างเต็มปากเต็มคำ เต็มหัวใจของเรา  แทนที่เราจะตัดพ้อต่อว่าพระเจ้า เราควรอธิษฐานว่าพระเจ้าต้องการให้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเราเป็นพรกับใคร เป็นพยานกับใคร ขอพระเจ้านำให้เราได้เจอกัน นำเราให้เจอกับคน ๆ นั้นที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ และนั่นคือเวลาที่เราจะได้หนุนใจ ใช้ปากใช้คำพูดเป็นพยานเล้าโลมจิตใจคนนั้นอย่างเข้าอกเข้าใจ เวลาที่เราทุกข์เราก็ยังต้องการคนที่เข้าใจ คนอื่นก็เช่นกัน 1 เธสะโลนิกา 5:14  14และพี่น้องทั้งหลาย   เราขอวิงวอนพวกท่านให้ตักเตือนคนที่เกียจคร้าน   หนุนน้ำใจผู้ที่ท้อใจ   ชูกำลังคนที่อ่อนกำลัง   และมีใจอดเอาเบาสู้ต่อคนทั้งปวง

อิสยาห์ 35 :3-4  3จงหนุนกำลังของมือที่อ่อน    และกระทำหัวเข่าที่อ่อนให้มั่นคง  
4จงกล่าวกับคนที่มีใจคร้ามกลัวว่า  “จงแข็งแรงเถอะ  อย่ากลัว  พระองค์จะเสด็จมาและช่วยท่านให้รอด  
และถ้าเราเจอปัญหาแล้วเราอธิษฐานและพระเจ้าช่วยเราให้ผ่านพ้นไปได้ แล้วทำไมเราจะไม่อธิษฐานเพื่อคนอื่น และให้คน ๆ นั้นได้เห็นภูเขาถูกเคลื่อนออกไป ปัญหาถูกขจัดไป ได้รับสติปัญญา การทรงนำใหม่จากพระเจ้าล่ะ นี่แหละคือการเป็นพยานด้วยคำพูดของเราผ่านถ้อยคำหนุนใจ เล้าโลมใจ ผ่านคำอธิษฐาน และสิ่งเหล่านี้คือการกระทำที่พึ่งพาในฤทธิ์เดชของพระเจ้า

ยากอบ 5:13-16 13มีผู้ใดในพวกท่านทนทุกข์หรือ   จงให้ผู้นั้นอธิษฐาน   มีผู้ใดร่าเริงยินดีหรือ   จงให้ผู้นั้นร้องเพลงสรรเสริญ 14มีผู้ใดในพวกท่านเจ็บป่วยหรือ   จงให้ผู้นั้นเชิญบรรดาผู้ปกครองของคริสตจักรมา   และให้ท่านเหล่านั้นอธิษฐานเพื่อเขา   และเจิมเขาด้วยน้ำมันในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า 15และการอธิษฐานด้วยความเชื่อจะช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิต   และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรดให้เขาหายโรค   และถ้าเขาได้กระทำบาปพระองค์ก็จะทรงโปรดอภัยให้16เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสารภาพบาปต่อกันและกัน   และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน   เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย   คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล

ประการสุดท้ายของชีวิตที่เป็นคำพยานของพระเจ้า

3.ชีวิตเราเป็นคำพยานด้วยการกระทำ

ในความเป็นคริสเตียน เราต้องมี 2 ด้าน ด้านที่เป็น และ ด้านที่ทำ สิ่งที่เราเป็นต้องสะท้อนมาสู่สิ่งที่เราทำ  ถ้าเราบอกว่าชีวิตเราเป็นคำพยานของพระเจ้า  เราก็ต้องทำอย่างพระเจ้า ทำแบบ

พระเจ้า  ช่วงนี้มีโฆษณาของไทยประกันชีวิต  ผู้ชายคนหนึ่งที่ทำเสื้อเรารักในหลวง และสุดท้ายด้วยเสื้อการทำแบบในหลวง เป็นหนังที่มีการตัดสลับระหว่างความคิดของชายคนนี้ว่าจะออกแบบเสื้ออย่างไร กับภาพกรณียกิจของในหลวงที่ทรงกระทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ  เป็นโฆษณาที่เชิญชวยคนไทยให้ทำอย่างที่ในหลวงทำมา ตัวเดินเรื่องในหนังเรื่องนี้จบเรื่องราวด้วยคำถามกับคนที่มาซื้อเสื้อว่า “แบบไหนดีครับ”

และเราที่เป็นคริสเตียนเป็นคำพยานของพระเจ้า เราทำ “แบบไหนดีคะ”

พี่น้อง เราจะทำแบบที่พระเจ้าทำด้วยกัน  พระเจ้าทรงเป็นแบบอย่างแก่เราในกิจแห่งความชอบธรรม  และเราจะทำกิจแห่งความชอบธรรมนั้น กิจแห่งความชอบธรรมสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เรากระทำคือการเยี่ยมเยียน การบรรเทาทุกข์คนยากจน การปลดปล่อยคนเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะนี่คือหัวใจรักของพระเจ้า คือความเมตตาความห่วงใยของพระองค์

การกดขี่ข่มเหง การถูกบีบคั้น การถูกรังแก ความไม่ยุติธรรม เกิดขึ้นมากมายกับคนในสังคมทุกวันนี้ กับคนทุกเพศทุกวัย กับคนยากจน คนขัดสน คนยากไร้ ให้เรามองเห็นหัวใจของพระเจ้า และสัมผัสถึงความรักความห่วงใยของพระเจ้าที่มีต่อผู้คนที่อยู่ในสังคมของเรา ครั้งหนึ่งพระเยซูทรงตรัสกับสาวกให้ปฎิบัติสิ่งดีต่อผู้เล็กน้อย ผู้ขาดโอกาส ผู้ที่สังคมคิดว่าต่ำต้อย แต่สำหรับพระเจ้าคนเหล่านี้มีคุณค่า

มัทธิว 25:34 -40  34ขณะนั้น   พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า   ‘ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา   จงมารับเอาราชอาณาจักร   ซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก 35เพราะว่าเมื่อเราหิว   ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน   เรากระหายน้ำ   ท่านก็ให้เราดื่ม   เราเป็นแขกแปลกหน้า   ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้ 36เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม   เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา   เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคาร   ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา’ 37เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า   ‘พระองค์เจ้าข้า   ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ   และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร 38ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า   และได้ต้อนรับไว้   หรือเปลือยพระกาย   และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร 39ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร   และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร’ 40แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า   ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้   ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร   ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย

นี่คือคนที่กระทำ และพระเยซูยังตรัสถึงพวกที่ไม่กระทำ ในข้อ 41-46

41พระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า   ‘ท่านทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาปจงถอยไปจากเรา   เข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์   ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมันนั้น 42เพราะว่าเมื่อเราหิวท่านก็มิได้ให้เรากิน   เรากระหายน้ำท่านก็มิได้ให้เราดื่ม 43เราเป็นแขกแปลกหน้า  ท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้   เราเปลือยกาย   ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม   เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร   ท่านไม่ได้เยี่ยมเรา’ 44เขาทั้งหลายจะทูลว่า   ‘พระองค์เจ้าข้า   ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ   หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยพระกาย   หรือประชวร   หรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร   และข้าพระองค์มิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร’ 45เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสกับเขาว่า   ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   ซึ่งท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้   ก็เหมือนท่านมิได้กระทำแก่เราด้วย’ 46และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์   แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์”

หากเราบอกว่าเราเป็นคำพยานฝ่ายพระเจ้า สิ่งที่เราทำจะเป็นบทพิสูจน์ว่าเราเป็นจริงหรือไม่  พระธรรมตอนนี้ พระเจ้าได้แยกสาวกผู้เชื่อฟังออกจากจคนที่แสร้งทำเป็นเชื่อ ซึ่งบทพิสูจน์คือการกระทำ การปฎิบัติต่อทุกคนที่เราพบ  สิ่งที่เราทำแก่ผู้อื่นนั้นแสดงถึงว่าเราคิดอย่างไรต่พระคำของพระเจ้า    เราทุกคนสามารถแสดงความกรุณาต่อผู้อื่นได้ทุกวันเวลา โดยไม่ได้ขึ้นกับความมั่งมี ความสามารถ ความเฉลียวฉลาด เราไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ที่จะละเลยคนที่ขัดสน ไม่อาจโยนความรับผิดชอบให้คนหนึ่งคนใด พระเยซูทรงเรียกร้องให้เราทุกคนทำสิ่งนี้  จุดประสงค์ของคำอุปมาในพระคัมภีร์ตอนนี้ คือการปรนนิบัติในที่ที่มีความต้องการ รักทุกคน รับใช้ทุกคน การกระทำเช่นนี้คือการที่เรากำลังเป็นคำพยานของพระเจ้า เป็นการรับรองความจริงว่า พระเยซูทรงเป็นจริง

ให้หัวใจเมตตา หัวใจสงสารห่วงใยของพระเจ้าเกิดขึ้นในเรา เราต้องอธิษฐานขอหัวใจอย่างพระเจ้าเพื่อเราจะทำแบบพระเจ้า อย่าใช้ชีวิตแค่ตัวเอง SELF แล้วก็เอาแต่ เซลฟี เพราะว่ามัน SELFISS เห็นแก่ตัวหนักมาก

ข้าพเจ้าออกกฎสำหรับ NGM ในวันอาทิตย์ตั้งแต่เช้าจนถึงเลิกกลุ่ม CELL ห้ามทุกคนใช้โทรศัพท์เล่นเฟชบุค ไลน์ ห้ามดูยูทูบห้ามดูคลิป ห้ามเล่นเกมส์ในมือถือ ไอแพด ไอพอดทั้งหลายห้ามหมดจนกว่าจะเลิก CELL ยกเว้นให้ถ้าต้องโทรศัพท์ในเรื่องที่จำเป็น  และข้าพเจ้าบอกทุกคนใน NGM ว่า พี่หนึ่งสัญญาถ้าหากมีใครลงแดงตายไปเพราะเหตุนี้ พี่หนึ่งสัญญาที่จะจัดงานไว้อาลัยให้อย่างสมเกียรติ  ถึงวันนี้ก็หลายอาทิตย์มาแล้ว ทุกคนยังอยู่ดี และสบายดี ใช่มั้ย NGM

บางคนจะเป็นจะตายเวลาสัญญาณ WI FI หลุด  อย่ากลัวที่จะไม่ได้เชื่อมต่อกับคนอื่น แต่จงกลัวที่จะไม่ได้เชื่อมต่อกับพระเจ้า   เพราะถ้าสัญญาณหัวใจพระเจ้าขาดหายไปจากเรานั่นเป็นเรื่องน่ากลัวมากกว่า   ถ้าเราไม่รับรู้ความทุกข์ความเดือดร้อนของคนอื่นหัวใจเราเย็นชาไม่รู้สึกอะไรกับคนที่ถูกกดขี่ ข่มเหงถูกบีบคั้นไม่ได้รับความเป็นธรรมนั่นคือสภาวะที่แย่แล้ว ถ้าเราเอาแต่ก้มหน้า เราเอาแต่ตัวเอง เราจะมองเห็นคนอื่นได้อย่างไร เงยหน้ามองดูผู้คนในสังคมของเรา ให้หัวใจเมตตาของพระเจ้าเกิดขึ้นในหัวใจของเรา ให้จังหวะเต้นของหัวใจเราเป็นจังหวะเดียวกันกับพระเจ้า

ข้าพเจ้าขอบคุณสำหรับพี่น้องที่มีภาระใจกับเด็ก ๆ ในคริสตจักรเรา เรามีเด็กหลายคนที่มาจากชุมชน เรามีเด็กที่ถูกทอดทิ้งถูกบีบคั้นในชีวิต มีบาดแผลมีความเจ็บปวดจากคนในครอบครัว  ข้าพเจ้าเห็นถึงความรักของพระเจ้าผ่านพี่น้องที่เอ็นดู ที่เอื้อเฟื้อ ที่แบ่งปัน หยิบยื่นให้

เรายังจำเรื่องของโอได้ใช่มั้ยคะ  ข้าพเจ้ามี UP DATE มาเล่าให้ฟัง เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาข้าพเจ้ากับคุณจูน ไปช่วยกันติดต่อโรงเรียนเพื่อโอจะได้เรียนหนังสือ เราก็คิดว่ากว่าจะได้เรียนก็คงเทอมหน้า แต่ก่อนจะไปดำเนินการเราก็จับมืออธิษฐานกัน และ……  ติดต่อ/ ซื้อเสื้อผ้า ตัดผม   ขอบคุณพระเจ้าในความรักของพระองค์

เราทำอะไรได้อีกเยอะแยะมากมาย เพียงแต่เราเปิดหัวใจของเรา เปิดตาของเราที่จะมองดู เปิดหูของเราที่จะฟังเสียงร้อง เราจะพบ เราจะเห็น เราจะได้ยิน เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่แล้วข้าพเจ้าได้อ่านเจอเป็นกระทู้ข่าวในโลกโซเชียลไม่ใช่ข่าวทางทีวี  ว่าตายาย 3 คน อยู่ที่ซอยเพชรเกษม 15 แยก 5 ถูกคอนโดที่กำลังก่อสร้างในบริเวณนั้นเอาสังกะสีล้อมบ้านเพราะคนแก่ 3 คนไม่ยอมขายที่ให้ ก็ปิดทางเข้าออก จะไปได้ก็เพียงคันปูนเล็ก ๆ ข้างคลองซึ่งคนแก่เดินไม่ได้  แกโทรไปบอกตำรวจให้มาช่วย ตำรวจก็มาช่วยเปิดสังกะสีให้ ปรากฏตำรวจโดนนายทุนคอนโดฟ้องกลับอีก นี่มันเป็นคนแบบไหนกัน มีคนในกระทู้บอกว่าให้ดันเรื่องนี้ไปถึงนักข่าว  ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง  แต่ก็อธิษฐานขอพระเจ้าช่วยพวกเค้าด้วย แล้วเค้าอยู่ตรงเนี้ยไม่ได้ห่างจากเราเลย เพชรเกษม 15 แยก 5  แล้วคืนวันศุกร์ที่แล้วข้าพเจ้าเปิดดูข่าวช่อง 9 ตอน 3 ทุ่มครึ่ง ปรากฎมีนักข่าวไปทำข่าว ไปสัมภาษณ์ตายาย 3 คน น่าสงสารมาก ไปสัมภาษณ์ตำรวจที่ถูกนายทุนฟ้อง ตำรวจหน้าเศร้ามากไปช่วยประชาชนแต่กลับถูกฟ้อง ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าเรื่องตอนนี้เป็นยังไงแล้ว แต่มีความเชื่อว่าพระเจ้าจะต้องช่วยพวกเค้าต่อไปแน่ ๆ

มีคนมากมายต้องการคำอธิษฐานจากเรา มีคนมากมายต้องการความช่วยเหลือการหยิบยื่นการแบ่งปันจากเรา  มีคนมากมาต้องการคำพยานด้วยการกระทำจากเรา อย่าดูดายไร้หัวใจ อย่าใจจืดใจดำนั่นไม่ใช่คนที่เป็นพยานฝ่ายพระเจ้า  NO ONE CAN PREDICT TO WHAT HEIGHTS YOU CAN SOAR . EVEN YOU WILL NOT KNOW UNTIL YOU SPREAD YOUR WINGS

แปล  – เช่นกัน เราไม่รู้ว่าเราทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน จนกว่าเราจะลงมือทำ

สุภาษิต 24 :11-12  11จงช่วยบรรดาผู้ที่ถูกนำไปสู่ความมรณา     จงช่วยยึดบรรดาผู้ที่ตุปัดตุเป๋ไปเพื่อถูกฆ่า   12ถ้าเจ้าจะว่า  “ดูเถิด  เราไม่รู้เรื่องนี้เลย”    พระองค์ผู้ทรงชั่งใจจะไม่ทรงเพ่งเล็งเห็นหรือ     พระองค์ผู้ทรงเฝ้าวิญญาณอยู่เหนือเจ้าจะไม่ทราบหรือ     และพระองค์จะไม่ทรงเรียกเอาจากคนตามการ กระทำของเขาหรือ  

สดุดี 112:9  9เขาแจกจ่าย   เขาได้ให้แก่คนยากจน    ความชอบธรรมของเขาดำรงเป็นนิตย์  
 ศักดิ์ของเขาจะได้รับเกียรติ  

เมื่อเราได้มีชิวิตเป็นคำพยานด้วยการกระทำ ไม่ว่าโดยวิธิการใดพระเจ้าทรงพอพระทัย

ในงานคองเกรสเช่นกัน มีการนำเสนอให้คริสตจักรแต่ละแห่งทำโครงการพระเจ้าอวยพร God bless you เป็นการทำดีต่อสังคม ต่อชุมชนในท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมการประกาศข่าวประเสริฐ ส่งเสริมชีวิตที่เป็นพยานฝ่ายพระเจ้า  และเรามีโครงการที่เราจะไปทำดี เราจะไปที่บ้านของโอ ไปทำให้บ้านเค้าน่าอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อยและหาข้าวของเครื่องใช้บางอย่างที่จำเป็น หรือวันนี้ก็จะมีกลุ่มผู้ชายบางคนจะไปช่วยที่บ้านของคิม  และถ้าพี่น้องในกลุ่มเซลล์สนใจที่จะทำโครงการพระเจ้าอวยพรกับคนในชุมชน ไปกวาดถนน ไปถางหญ้า หรือไปทำอะไรก็ตาม แต่ขาดทีม อยากได้แรงงาน NGM ก็พร้อมไปเป็นทีมสนับสนุน ติดต่ออ.ทาอุ อ.เอลียาห์ หรือข้าพเจ้าได้ ออกไปเป็นพยานรับใช้พระเจ้าด้วยกัน เรายินดี เพื่อผู้คนที่ได้เห็นความดีที่เราทำจะเป็นเหตุให้เขาได้สรรเสริญพระเจ้าของเรา  (ศุกร์ที่แล้วทำไข่เจียวสูตรพิเศษ- กลิ่นหอม- ดึงดูดผู้คนด้วยการกระทำดีที่เป็นพยานฝ่ายพระเจ้า)

วันหนึ่งทุกอย่างจะจบลง พระเยซูจะเสด็จกลับมา สิ่งที่เราสั่งสมไว้จะไม่มีความหมายอะไร แล้วเราควรจะมีท่าทีอย่างไรกับชีวิต เราทำสิ่งที่เราควรทำแล้วหรือยัง เราเป็นพยานฝ่ายพระเจ้าหรือไม่  แทนที่เราอยากจะมีนู่นนี่มากขึ้น ให้เรามีพระเยซูมากขึ้นดีกว่า

กิจการ 1:8  8แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช   เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน   และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม   ทั่วแคว้นยูเดีย   แคว้นสะมาเรีย   และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”

มัทธิว 5:14-16  14“ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก   นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ 15เมื่อจุดตะเกียงแล้ว   ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้   ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง   จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น 16ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง   จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง   เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ   เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน   ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์

เราถูกกำหนดไว้แล้วให้เป็นคำพยานของพระเจ้า ด้วยทั้งชีวิตของเรา เราถูกกำหนดไว้แล้วให้เป็นความสว่างของโลกนี้ที่จะส่องสว่าง เป็นแสงสะท้อนความรักพระเยซู

By admin