“ไม่เป็นเด็กอีกต่อไป”

ข่าวที่กำลังอยู่ในกระแสของสังคมไทยวันนี้คงหนีไม่พ้นเรื่อง ตุ๊กตา…. จนมีพระชื่อดังคนหนึ่งพูดประโยคหนึ่งน่าสนใจ คือคนไทยกำลังอยู่ในช่วงวัยและอารมณ์ไม่สมดุลกัน เป็นผู้ใหญ่แต่อยากเล่นตุ๊กตา มีบางคนก็พูดอย่างนี้ว่า ตอนเด็กไม่มีปัญญาซื้อ เลยไม่ได้เล่นตอนเด็ก พอเป็นผู้ใหญ่หาเงินได้ ก็เลยหาซื้อมาเล่นมาสะสมเพื่อระบายความอยากที่อัดอั้นไว้ตั้งแต่เด็ก คำพูดทั้งหมดนี้ คงหนีไม่พ้นความจริงที่ว่า แม้ตัวจะโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ใจยังเด็กอยู่  พระคัมภีร์มีแนวการสอนและทิศทางคือให้ผู้เชื่อทุกคน เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่เป็นเด็กอีกต่อไป 1 โครินธ์ 13:11  11 เมื่อ​ข้าพเจ้า​ยัง​เป็น​เด็ก ข้าพเจ้า​พูด​อย่าง​เด็ก คิด​อย่าง​เด็ก ใคร่​ครวญหา​เหตุผล​อย่าง​เด็ก แต่​เมื่อ​ข้าพเจ้า​เป็น​ผู้ใหญ่ ข้าพเจ้า​ก็​เลิก​อาการ​เด็ก​เสีย  ​นี่เป็นข้อพระคัมภีร์ที่ต่อท้ายกับนิยามความรักอย่างอากาเป้ ความรักที่สมบูรณ์ ความรักที่เป็นปัจจัยของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ความรักยังเป็นดรรชนีชี้ความไม่เป็นเด็ก เราคงเคยได้ยินคำว่า “เรียกร้องความสนใจ” แท้จริงก็คือการเรียกร้องความรัก เพราะไม่มีความรักจึงเรียกร้องความสนใจให้คนมารัก เราจะเห็นการเรียกร้องนี้มักจะมาจากเด็กๆ แต่สำหรับคนที่โตๆ ก็จะมีวิธีการเรียกร้องความสนใจที่แนบเนียนกว่าเด็กตัวเล็กๆ ซึ่งเด็กตัวเล็กๆใช้วิธีเดียวคือ ร้องไห้ แต่คนตัวโตที่ต้องการเรียกร้องความรัก จะใช้วิธีพูด วิธีทำ ด้วยเล่ห์เหลี่ยม (จัด) แล้วแต่ใครจะมีความชำนาญแค่ไหน เนียนแค่ไหน แต่ทั้งหมดนี้ก็คือการเรียกร้องความรัก

เมื่อวานนี้ น้องโฮ้ปมาเยี่ยมที่รร.ที่ข้าพเจ้าพักพร้อมกับพ่อแม่ของเขา ห้องพักข้าพเจ้าสามารถมองเห็นสระว่ายน้ำ น้องโฮ้ปก็อยากจะเล่นน้ำ ขออนุญาต พ่อก็ไม่ให้  ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน เราจะเห็นเวลาอยากได้อะไร น้องโฮ้ปจะร้องไห้ แต่ไม่ได้ผล วันนี้  น้องโฮ้ปเปลี่ยนวิธีเรียกร้องความสนใจด้วยการเรียกเด็กที่สระน้ำว่า พี่คับ พี่คับ แสดงว่าเขาเรียนรู้ว่า มันไม่ได้ผล ไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้น  เขาใช้วิธีใหม่ แต่คนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ จะเลิกเรียกร้องความสนใจเพื่อจะรับความสนใจหรือรับความรัก แต่จะเป็นผู้แบ่งปันความรัก

เราสามารถสำรวจชีวิตของเราว่า เรายังเป็นเด็กที่เรียกร้องความรัก ความสนใจ อยู่อย่างไร และเราสามารถสำรวจความสามารถที่จะรัก LQ ในตัวเราว่าเรามีที่จะแบ่งปันให้กับคนรอบข้างได้หรือไม่ ขอย้ำว่า กิจกรรมและการรับใช้ไม่ใช่ตัวตัดสินว่าเรามีความสามารถที่จะรัก ความสามารถที่จะรักคือการแสดงออกด้วยความรัก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ยากที่จะรัก  ตัวของเราจะรู้ว่า เราทำได้ขนาดไหนโดยไม่ได้ฝืนใจที่จะทำ และสิ่งที่กำลังต่อสู้กับตัวเอง ก็คือ การไม่เป็นเด็กอีกต่อไป คำเทศนาในวันนี้ ยังอยู่ภายใต้หัวข้อประจำปีของคริสตจักรปีนี้ คือ สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์

เอเฟซัส 4:11-16 11 ของ​ประทาน​ของ​พระ​องค์ ​ก็​คือ​ให้​บาง​คน​เป็น​อัครทูต บาง​คน​เป็น​ผู้เผย​พระ​วจนะ บาง​คน​เป็น​ผู้​เผยแพร่​ข่าว​ประเสริฐ บาง​คน​เป็นศิษ​ยาภิ​บาล​และ​อาจารย์​12 เพื่อ​เตรียม​ธรรมิก​ชน​ให้​เป็น​คน​ที่​จะ​รับ​ใช้ เพื่อ​เสริมสร้าง​พระ​กาย​ของ​พระ​คริสต์​ให้​จำเริญ​ขึ้น​13 จนกว่า​เรา​ทุก​คน​จะ​บรรลุ​ถึง​ความ​เป็น​น้ำ​หนึ่ง​ใจ​เดียว​กัน​ใน​ความ​เชื่อ และ​ใน​ความ​รู้​ถึง​พระ​บุตร​ของ​พระ​เจ้า จนกว่า​เรา​จะ​โต​เป็น​ผู้ใหญ่​เต็มที่ คือ​เต็ม​ถึง​ขนาด​ความ​ไพบูลย์​ของ​พระ​คริสต์​14 เพื่อ​เรา​จะ​ไม่​เป็น​เด็ก​อีก​ต่อไป ถูก​ซัด​ไป​ซัด​มา​และ​หัน​ไป​เหมา​ด้วย​ลมปาก​แห่ง​คำ​สั่ง​สอน​ทุก​อย่าง และ​ด้วย​เล่ห์​กล​ของ​มนุษย์​ตาม​อุบาย​ฉลาด​อัน​เป็น​การ​ล่อลวง​15 แต่​ให้​เรา​ยึด​ความ​จริง​ด้วย​ใจ​รัก เพื่อ​จะ​จำเริญ​ขึ้น​ทุก​อย่าง​สู่​พระ​องค์​ผู้​เป็น​ศีรษะ คือ​พระ​คริสต์​16 คือ​เนื่องจาก​พระ​องค์​นั้น ร่างกาย​ทั้งสิ้น​ที่​ติดต่อ​สนิท​และ​ประสานกัน​โดย​ทุกๆ ข้อ​ต่อ​ที่​ทรง​ประทาน ได้​จำเริญ​เติบโต​ขึ้น​ด้วย​ความ​รัก เมื่อ​อวัยวะ​ทุก​อย่าง​ทำงาน​ตาม​ความ​เหมาะสม​แล้ว

พระคัมภีร์ตอนนี้ ได้บอกให้เราได้รู้ว่า หากเรายังเป็นเด็กที่ไม่ยอมโตสักที เราจะกลายเป็นเหยื่อของการล่อลวงได้โดยง่าย คนเป็นผู้ใหญ่จะรู้เท่าทันคน แต่เด็กจะถูกหลอกได้ง่าย หลงเชื่ออะไรได้ง่าย ดังนั้น จากพระคัมภีร์เอเฟซัสตอนนี้ บ่งบอกถึงน้ำพระทัยพระเจ้าคือไม่ต้องการให้เราเป็นเหยื่อ ไม่ต้องการให้เราถูกหลอก แน่นอนทุกคนไม่อยากถูกหลอก แต่การไม่ต้องการถูกหลอกยังไม่พอ ยังต้องสามารถป้องกันการถูกหลอกได้  นั่นต่างหากที่สำคัญ ดังนั้น พระคัมภีร์ตอนนี้จึงกล่าวถึงการไม่เป็นเด็กอีกต่อไป  ซึ่งเราต้องเริ่มต้นจากประการแรก

1.ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้ใหญ่ เอเฟซัส 4:14ก

14 เพื่อ​เรา​จะ​ไม่​เป็น​เด็ก​อีก​ต่อไป

เราคงเคยเห็นเด็กเอาอุปกรณ์เครื่องใช้ของพ่อแม่มาใช้ตอนพ่อแม่ไม่อยู่ เช่นลิปสติก รองเท้า เดินเลียนแบบและพูดอย่างพ่อแม่ เป็นต้น ตอนเป็นเด็กก็ดูน่ารักดี แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วเอาเครื่องใช้ของลูกมาใช้ เช่น ขวด เสื้อผ้าเด็ก ผ้ากันเปื้อน ทำท่าทำทางแบบเด็กๆ ดูแล้ว ท่าจะบ้า ทำไมเราต้องตั้งเป้าที่จะเป็นผู้ใหญ่ ก็เพราะเรารู้ตัวว่าเรายังไม่เป็นผู้ใหญ่   เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก ข้าพเจ้าอยากเป็นผู้ใหญ่ ชอบคุยกับผู้ใหญ่ และสังเกตผู้ใหญ่ที่ดีๆน่าเลียนแบบหลายคน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองยังเป็นเด็ก เพราะเวลาพูด ไม่ค่อยเข้าท่า ข้าพเจ้าไม่ค่อยพอใจกับความไม่เข้าท่าของตนเอง  แต่ทำไมผู้ใหญ่บางคนพูดเข้าท่า มีคนฟัง ข้าพเจ้าตั้งเป้าที่จะเป็นผู้ใหญ่ ด้วยการฝึกฝนตามผู้ใหญ่ที่ดีๆ อ.เปาโลก็ได้กล่าวกับคริสเตียนในคริสตจักรให้เลียนแบบอ.เปาโล เพราะท่านก็ตั้งใจที่จะเป็นผู้ใหญ่ เหมือนพระเยซูคริสต์  และเปาโลก็ได้กล่าวไว้ใน  1 โครินธ์ 13:11  11 เมื่อ​ข้าพเจ้า​ยัง​เป็น​เด็ก ข้าพเจ้า​พูด​อย่าง​เด็ก คิด​อย่าง​เด็ก ใคร่​ครวญหา​เหตุผล​อย่าง​เด็ก แต่​เมื่อ​ข้าพเจ้า​เป็น​ผู้ใหญ่ ข้าพเจ้า​ก็​เลิก​อาการ​เด็ก​เสีย   แสดงว่า อ.เปาโลรู้ตัวว่า แม้ตัวจะโต แต่ความเป็นเด็กยังแสดงออก เป็นอาการ เป็นคำพูด วิธีคิดอย่างเด็ก หาเหตุผลอย่างเด็ก อะไรคือสิ่งที่จะวัดว่า เราได้เลิกเป็นเด็กแล้ว การเลิกเป็นเด็กไม่ใช่เลิกทีเดียวทั้งหมด มันจะค่อยๆเลิกทีละอย่าง และค้นพบทีละอย่าง ทั้งสิ้นนี้อยู่ที่การสังเกต และการยอมรับความจริงของตนเอง ในกระบวนการบำบัดภายในของเอลียาห์เฮ้าส์ เป็นกระบวนการที่เราใช้ค้นหารากของปัญหา และส่วนใจหญ่เราจะพบรากนั้นมาจากวัยเด็ก การบำบัดก็คือการจัดการกับอาการเด็ก เราไม่สามารถที่จะเลิกอาการเด็กได้ ถ้าเราไม่ได้รับการปลดปล่อยจากอิทธิพลในวัยเด็ก เพราะเราจะคิดว่า ที่เราเป็นอยู่แล้วดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเลิก ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ยากอบกล่าวว่า ยากอบ1:23-24  23 เพราะ​ว่า​ถ้า​ผู้ใด​ฟัง​พระ​วจนะ และ​ไม่ได้​ประพฤติ​ตาม ผู้​นั้น​ก็​เป็น​เหมือน​คน​ที่​ดู​หน้า​ของ​ตัว​ใน​กระจก​เงา​24 เพราะ​ว่า​เมื่อ​ดู​ตัวเอง​แล้ว​ก็​ไป และ​ก็​ลืม​ใน​ทันที​นั้น​ว่า​ตัวเอง​เป็น​อย่างไร​ การตั้งใจที่จะเป็นผู้ใหญ่ คือการฟังพระวจนะและประพฤติตาม ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟัง   เด็กมักจะฟังแล้วลืม เอาหูทวนลม เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา  ความตั้งใจเป็นผู้ใหญ่ มีเป้าหมายคือการเป็นผู้ใหญ่อย่างพระคริสต์ ไม่ใช่ผู้ใหญ่อย่างโลกนี้ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างของการเป็นผู้ใหญ่ พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงพระเยซูในวัยเด็ก พระเยซูในวัยนั้นทรงใช้เวลากับการสนทนากับผู้ใหญ่ ลูกา 2:46-47 46 ครั้น​หา​มา​ได้​สาม​วัน​แล้ว จึง​พบ​พระ​กุมาร​นั่ง​อยู่​ใน​พระ​วิหาร​ท่ามกลาง​พวก​อาจารย์ ฟัง​และ​ไต่​ถาม​พวก​อาจารย์​เหล่า​นั้น​อยู่​47 คน​ทั้ง​ปวง​ที่​ได้​ยิน​ก็​ประหลาด​ใจ​ใน​สติปัญญา​และ​คำตอบ​ของ​พระ​กุมาร​นั้น​ การตั้งเป้าที่จะเป็นผู้ใหญ่อย่างพระเยซู คือการใช้เวลา ใช้สติปัญญากับคนในพระวิหารท่ามกลางพวกอาจารย์ ฟังและไต่ถาม

วันนี้ เราอยู่ในโบสถ์ แต่เราเวลาของเราไปไว้กับรายการตลกหน้าทีวีที่ตั้งอยู่ในโบสถ์ เราเอาเวลาที่เราอยู่ในโบสถ์ไปอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ เราไม่ได้ใช้เวลากับคนที่อยู่ในโบสถ์ด้วยกัน คำพูด คำถาม ที่เราใช้ในเวลาอยู่ด้วยกัน เป็นเรื่องของแฟชั่น ธุรกิจ การท่องเที่ยว แทนที่จะเป็นพระคำพระเจ้า ความเข้าใจในพระคำพระเจ้า เราคงต้องกลับใจใหม่เรื่องนี้ทั้งโบสถ์ มิฉะนั้น โบสถ์เราจะเต็มไปด้วยเด็กทารกฝ่ายวิญญาณ ที่ไม่โตสักที เรากำลังเรียกร้องหาความรักในวัตถุสิ่งของที่มาชดเชยอยู่ นอกจากการตั้งเป้าที่จะไม่เป็นเด็กแล้ว เด็กยังมีพฤติกรรมชอบอยู่กับสิ่งสมมติ เราจะเห็นเด็กพูดคนเดียว เด็กพูดกับตุ๊กตา เด็กสมมติตนเองเป็นคนนั้นคนนี้ เด็กคิดเองเออเอง ดังนั้น การไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ต้องออกจากสิ่งสมมติ

2.อยู่ในความจริงตลอดเวลา เอเฟซัส 4:11ข

….ถูก​ซัด​ไป​ซัด​มา​และ​หัน​ไป​เหมา​ด้วย​ลมปาก​แห่ง​คำ​สั่ง​สอน​ทุก​อย่างและ​ด้วย​เล่ห์​กล​ของ​มนุษย์​ตาม​อุบาย​ฉลาด​อัน​เป็น​การ​ล่อลวง

มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ถ้าเราอยู่ในความจริงตลอดเวลา ไม่มีทางที่เราจะถูกหลอกได้ ความหมายก็คือว่า การถูกหลอกเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ได้อยู่ในความจริง เรากำลังอยู่ในการหลอกลวง สิ่งสมมติ อุปโลกน์ เข้าใจเอง จินตนาการเองว่าเป็นจริง และหลงไปกับกระแสค่านิยมของโลกนี้

มัทธิว 5:3737 จริง​ก็​จง​ว่า​จริง ไม่​ก็​ว่า​ไม่ พูด​แต่​เพียง​นี้​ก็​พอ คำพูด​เกิน​นี้​ไป มา​จาก​ความ​ชั่ว​ ขอให้เราอยู่ในความจริงตลอดเวลา ขอให้เราฝึกที่จะอยู่ในความจริง เมื่อสิ่งหลอกลวงเข้ามา เราจะรู้ทันทีว่าไม่ใช่ เราจะไม่ ถูก​ซัด​ไป​ซัด​มา​และ​หัน​ไป​เหมา​ด้วย​ลมปาก​แห่ง​คำ​สั่ง​สอน​ทุก​อย่างและ​ด้วย​เล่ห์​กล​ของ​มนุษย์​ตาม​อุบาย​ฉลาด​อัน​เป็น​การ​ล่อลวง เริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน จงอยู่ในความจริง กับพระวจนะของพระเจ้าที่เป็นความจริง จงอยู่กับคำสั่งสอนที่เป็นความจริง ด้วยการพิสูจน์ทุกอย่าง 1เธสะโลนิกา 5:21  21 จง​พิสูจน์​ทุก​สิ่ง สิ่ง​ที่​ดี​นั้น​จง​ยึดถือ​ไว้​ให้​มั่น​ การพิสูจน์ไม่ใช่การจับผิด หรือใช้อารมณ์ของตนเองเป็นที่ตั้งว่า ชอบหรือไม่ชอบ แต่ให้ใช้พระวจนะ คนที่มีพระวจนะ คนที่เป็นผู้ใหญ่ ไม่มีอคติ คนที่มีเสรีภาพจากการเป็นทาสของค่านิยมของโลกนี้ เป็นองค์ประกอบในการพิสูจน์ เพื่อเราจะได้ความจริงที่ปราศจากาเล่ห์กลอุบายของมนุษย์

มนุษย์เรามีธรรมชาติบาป ก็คือ ทิฐิ ความเย่อหยิ่ง ซึ่งได้อยู่เบื้องหลังความพยายามที่จะเป็นที่ยอมรับ ความพยายามที่จะไม่ให้ตนเองถูกปฏิเสธ ดังนั้น จะมีมนุษย์ประเภทที่ผิดแล้วยังพาคนอื่นผิดอีก ไม่ยอมหันกลับ ไม่ยอมรับว่าตนเองไปผิดทาง มนุษย์พวกนี้จะพยายามบิดเบือนความจริง เราได้เห็นตัวอย่างที่ดีในพระคัมภีร์ของคนๆหนึ่ง คือเปาโล เมื่อเขาพบกับพระเยซูคริสต์บนเส้นทางไปเมืองดามัสกัส เป้าหมายคือการจับคริสเตียน ต่อต้านคริสเตียน เพราะเปาโลเข้าใจในเวลานั้นว่า พวกคริสเตียนคือพวกที่ต่อต้านพระเจ้าที่เปาโลกำลังรับใช้ เปาโลคิดว่า เขากำลังรับใช้พระเจ้า แต่เมื่อพระเยซูทรงหยุดเปาโลในระหว่าทางนั้น เปาโลได้พบกับความจริงว่า พระเยซูที่คริสเตียนกำลังเชื่อนั้น เป็นความจริงของแท้ เปาโลหันกลับทันที เปาโลตาบอดต้องอาศัยคนจูงมืดนำทางไปเมืองดามัสกัส และยอมรับการอธิษฐานจากคริสเตียนในเมืองนั้น ที่ชื่ออานาเนีย เปาโลยอมอยู่ในความจริง ยอมเปลี่ยนแปลง และยอมเสียหน้า ยอมเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตใหม่ จากเซาโลเป็นเปาโล ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงโหมดการดำเนินชีวิตอยู่ในความจริง และยอมรับว่าตนเองไปผิดทาง ไม่ง่าย เพราะถูกต่อต้าน ถูกระแวง สงสัย ถูกปฏิเสธ ถูกเข้าใจผิด แต่เปาโลยืนหยัดจนมีชัยชนะ เพราะการอยู่ในความจริงตลอดเวลานับจากวันที่พบกับพระเยซู

เราทั้งหลายเปลี่ยนโหมดการดำเนินชีวิตมาอยู่ในความจริงตลอดเวลาแล้วหรือยัง หรือเข้าๆออกๆ เดี๋ยวจริงบ้างไม่จริงบ้าง 1เธสะโลนิกา 5:21  21 จง​พิสูจน์​ทุก​สิ่ง สิ่ง​ที่​ดี​นั้น​จง​ยึดถือ​ไว้​ให้​มั่น​ คนแรกที่ต้องรับการพิสูจน์ ก็คือตัวเราเองนั่นแหล่ะ คำว่า พิสูจน์ ในรากศัพท์แปลว่า ตรวจสอบ ทดสอบ อย่าท้อใจหากพบว่าตนเองไม่ผ่านการพิสูจน์ เราต้องตรวจสอบตัวเอง เพื่อจะรู้ว่าเราอยู่ตรงไหน และจะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างไร เปาโลถูกพิสูจน์โดยพระเยซู แล้วพบกับคำว่า เจ้าข่มเหงเราทำไม่ น่าช็อกและน่าตกใจ ที่พระเจ้าที่เปาโลตั้งใจปรนนิบัติตอบกลับมาว่า นอกจากเปาโลจะไม่ได้รับใช้พระเจ้าแล้ว ยังข่มเหงพระองค์อีกด้วย นั่นคือการรับใช้ของเปาโล คือเซาโลในเวลานั้น สอบตก แต่ก็ทำให้เปาโลต้องเข้าสู่กระบวนการสอบใหม่ และเปาโลกตั้งใจที่จะสอบผ่าน คือการอยู่ในความจริงตลอดเวลา เลิกคิดเอง เออเอง สมมติเองว่าพระเจ้าจะพอใจ

3.พูดความจริงด้วยใจรัก เอเฟซัส 4:15

15 แต่​ให้​เรา​ยึด​ความ​จริง​ด้วย​ใจ​รัก เพื่อ​จะ​จำเริญ​ขึ้น​ทุก​อย่าง​สู่​พระ​องค์​ผู้​เป็น​ศีรษะ คือ​พระ​คริสต์ 

ที่นี่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า พูดความจริง อย่าโกหก และความจริงจะทำให้เราเจริญเติบโตสู่พระเยซูคริสต์ผู้เป็นศีรษะ สำนวนนี้หมายถึง การสำแดงพระเยซูคริสต์ด้วยคำพูดของเรา  สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเราทำผิดเรื่องคำพูดอยู่บ่อยๆก็คือการขาดความรู้ ขาดความจริงในสิ่งที่พูด พูดโดยไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน ไม่ขยันค้นหา ศึกษา คิดเองเออเอง ทำให้ทำผิดเรื่องการพูดเกินจริงก็มี คนไทยเราพูดโกหกเป็นธรรมชาติ แบบไม่ตั้งใจ ไม่ใส่ใจ เช่นถามไปไหน ตอบว่า เปล่า เรามักจะติดคำพูดที่ปฏิเสธไว้ก่อน เรากลัวผิดจนทำผิดเรื่องคำพูด ประโยคที่คนไทยบางคนแต่งขึ้นมาใช้จนฮิต คือประโยคที่ว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนพูดอาจตายเพราะพูดความจริง เลยทำให้คนไทยเราจำนวนไม่น้อย กลัวตายที่จะพูดความจริง  พระคัมภีร์เอเฟซัสที่กล่าวถึงการไปสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ได้กล่าวชัดเจนถึงการพูดความจริง  ความจริงที่แสดงออกทางคำพูด แน่นอนต้องมีความกล้าหาญ เพราะความจริงของพระเยซูคริสต์ทำให้คนไม่น้อยไม่อยากฟัง เพราะมันไม่ถูกใจ ในพระคัมภีร์ได้บันทึกถึงเปโตรพูดความจริงของพระเยซูด้วยใจกล้าหาญ คนฟังรู้สึก  กิจการ 2:37-38 37 เมื่อ​คน​ทั้ง​หลาย​ได้​ยิน​แล้ว​ก็​รู้สึก​แปลบ​ปลาบ​ใจ จึง​กล่าว​แก่​เปโตร​และ​อัครทูต​อื่นๆ ว่า “พี่​น้อง​เอ๋ย เรา​จะ​ทำ​อย่างไร​ดี”38ฝ่าย​เปโตร​จึง​กล่าว​แก่​เขา​ว่า “จง​กลับ​ใจ​ใหม่​และ​รับ​บัพติศมา​​ใน​พระ​นาม​แห่ง​พระ​เยซู​คริสต์​สิ้น​ทุก​คน เพื่อ​พระ​เจ้า​จะ​ทรง​ยก​ความ​ผิด​บาป​ของ​ท่าน​เสีย แล้ว​ท่าน​จะ​ได้รับ​พระ​ราชทาน​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​    การพูดความจริงภายใต้การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือการพูดด้วยความกล้าหาญ คือคำพูดที่เข้าในจิตใจคน และการตอบสนองคือการกลับใจใหม่ ดังนั้น เป้าหมายการพูดความจริงด้วยใจรัก คือการนำคนให้มาถึงการกลับใจใหม่  ขอให้เราเข้าใจว่า บริบทของแต่ละคนต่างกัน บริบทของเราไม่เหมือนกับเปโตรเมื่อสองพันปีที่แล้ว บริบทของคนไทยไม่เหมือนกับคนยิว แต่เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งความจริงของพระเยซูอยู่กับเรา พระองค์จะนำพาให้เรามีถ้อยคำที่จะนำคนมาถึงเป้าหมายเดียวกัน คือ กลับใจใหม่ เพียงแต่ให้เราระมัดระวังคำพูดของเราให้พูดออกมาด้วยความจริง  กษัตริย์ดาวิดได้กล่าวในหนังสือสดุดีว่า

สดุดี 141:3  3 ข้า​แต่​พระ​เจ้า ขอ​ทรง​ตั้ง​ยาม​เฝ้า​ปาก​ของ​ข้า​พระ​องค์ ขอ​รักษา​ประตู​ริม​ฝีปาก​ของ​ข้า​พระ​องค์ แม้แต่คนที่ระมัดระวัง ก็ยังไม่ไว้ใจปากและลิ้นของตนเอง สุภาษิต 12:19 19 ริม​ฝีปาก​ที่​พูด​จริง​ทน​อยู่​ได้​เป็น​นิตย์ แต่​ลิ้น​ที่​พูด​มุสา​อยู่​ได้​เพียง​ประเดี๋ยว​เดียว

สุภาษิต 15:4  4 ลิ้น​ที่​สุภาพ​เป็น​ต้นไม้​แห่ง​ชีวิต แต่​ลิ้น​ตลบตะแลง​ทำ​น้ำใจ​ให้​แตก​สลาย

สุภาษิต17:4 4 ผู้กระทำ​ความ​ชั่ว​ฟัง​ริม​ฝีปาก​ชั่ว​ร้าย และ​คน​มุสา​ให้​ความ​สนใจ​แก่​ลิ้น​หายนะ

สุภาษิต 21:6  6 การ​ได้​คลัง​ทรัพย์​มา​ด้วย​ลิ้น​มุสา ​ก็​คือ​การ​ไล่​จับ​ของ​อนิจจัง​จน​ติด​บ่วง​ความ​ตาย 

หนังสือสุภาษิตได้กล่าวถึงการใช้ลิ้นกับการโกหก ส่งผลเสีย อยู่ได้ไม่นาน ทำลาย พบกับความหายนะ และอนิจจัง ความหมายทั้งสิ้น คงจบก่อนวัย ไปไม่ถึงความเป็นผู้ใหญ่ หรือไปไม่ถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์  ขอให้เราทั้งหลายไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ด้วยการ

1.ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้ใหญ่

2.อยู่ในความจริงตลอดเวลา

3.พูดความจริงด้วยใจรัก 

By admin