“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…ควร“สุดๆ”กับอะไรบ้าง”
มีคำกล่าวว่า “หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” ม้าอารเบียนถือเป็นสายพันธ์ม้าที่ผ่านการพิสูจน์ความทรหดอดทนที่สุดในโลก กับระยะทางและดินฟ้าอากาศ พื้นที่พิสูจน์ม้าอารเบียนคือทะเลทราย เผ่าเบดูอีนเป็นพวกที่ใช้ม้าสายพันธ์นี้และเป็นผู้รักษาความบริสุทธิ์ของสายพันธ์ม้าอารเบียน นับเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับผู้ครอบครอง และเป็นที่ต้องการของคนที่สนใจเรื่องม้าอย่างมาก ผู้ที่ให้คำกล่าวนี้ เอาเรื่องของม้าสายพันธ์ที่ดีที่สุด มาเพื่อเปรียบเทียบกับคน โดยเฉพาะสำหรับหัวข้อเทศนาในวันนี้ เกี่ยวข้องกับเส้นทางชีวิตของคริสเตียนทุกคน “สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ง..ควร “สุดๆ” กับอะไรบ้าง”
ข้าพเจ้าเคยถามเพื่อนว่า ทำไมถึงเดินช้อปปิ้งได้โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย สำหรับข้าพเจ้า ไม่นานก็หมดแรงแล้ว เขาตอบข้าพเจ้าว่า ด้วยคำภาษาอังกฤษคำว่า Power เขามีพลังสำหรับเรื่องนี้ ข้าพเจ้ามานั่งนึก พลังบ้าอะไรของเขานะ แต่เมื่อมานึกถึงตัวเอง ถ้าเราชอบ เรารักอะไรสักอย่าง เราจะสุดๆกับสิ่งนั้น เราจะมีพลังบ้ากับสิ่งนั้น เราจะให้ความสนใจทุกอย่างที่เรารักและน่าจะเป็นเหตุผลของวลีกาลเวลาพิสูจน์คน และคนแบบไหนที่วลีนี้มุ่งเป้าหมาย คงจะเหมือนกันม้า (อารเบียน) คนก็ต้องเป็นคนที่มีคุณสมบัติเเหมาสำหรับกาลเวลาที่จะถูกพิสูจน์ คนเช่นนี้แหล่ะ ที่น่าจะถูกเรียกว่า สุดๆของจริง
เราสุดๆกับอะไร หรือเราไม่สุดกับอะไรสักอย่างเลย แท้จริง ทุกอย่างที่พระคัมภีร์พูดตั้งแต่ต้นจนจบ เกี่ยวข้องคนที่สุดเช่นกัน มาระโก 12:28-34 28 มีธรรมาจารย์คนหนึ่ง เมื่อมาถึงได้ยินเขาไล่เลียงกัน และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบเขาได้ดีจึงทูลถามพระองค์ว่า “ธรรมบัญญัติข้อใดเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าธรรมบัญญัติทั้งปวง”29 พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า “ธรรมบัญญัติเอกนั้นคือว่า โอ ชนอิสราเอลจงฟังเถิด พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงเป็นพระเจ้าเดียว 30 และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน31 และธรรมบัญญัติที่สองนั้นคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าธรรมบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี”32 ฝ่ายธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “ดีแล้วอาจารย์เจ้าข้า ท่านกล่าวถูกจริงว่าพระเจ้ามีแต่พระองค์เดียว และนอกจากพระองค์แล้วพระเจ้าอื่นไม่มีเลย33 และซึ่งจะรักพระองค์ด้วยสุดจิตใจ สุดความเข้าใจและสิ้นสุดกำลัง และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ก็ประเสริฐกว่าเครื่องเผาบูชาและของถวายทั้งสิ้น”34 เมื่อพระเยซูทรงเห็นแล้วว่าคนนั้นพูดโดยใช้ความคิด จึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านไม่ไกลจากแผ่นดินของพระเจ้า” ตั้งแต่นั้นไปไม่มีใครอาจถามพระองค์ต่อไปอีก สาระของพระคัมภีร์กำลังบอกกับเราว่า บนเส้นทางชีวิตไปสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์สำหรับคริสเตียน …เราควร “สุดๆ” กับสามสิ่งเท่านั้น นั่นคือ มีพระเจ้าเดียว (รักพระเจ้าสุดๆ) รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง (สุดๆ) ปัญหาของคริสเตียนจำนวนไม่น้อยคือ ไม่สุดๆ กับอะไรสักอย่าง ทำได้ครึ่งๆกลางแล้วก็เลิกกลางคัน หรือสำนวนไทยคือแค่ตำข้าวสารกรอกหม้อไปวันๆ พอแค่เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง หรือเผชิญปัญหาไปวันๆ บางคนก็แค่ขายผ้าเอาหน้ารอด จากพระคัมภีร์ที่บันทึกว่าพระเยซูทรงตอบคำถามของธรรมาจารย์คนหนึ่ง ในบทสรุปของพระคัมภีร์ว่า ข้อไหนเป็นเอกเป็นใหญ่ ก็คือ อะไรคือสาระสำคัญสุดๆของพระคัมภีร์ทั้งหมด พระเยซูตอบคำถามด้วยคำตอบแบบสุดๆ เช่นกัน ข้าพเจ้าอยากจะเริ่มจากลำดับที่อยู่ท้ายสุด ก็คือ ตนเอง คนอื่น (อันดับรองบ๊วย) และพระเจ้า (อันดับหนึ่งสุดๆ)
1.รักตนเองสุดๆ มาระโก 12:31ข
…เหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าธรรมบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี”
มีคำพูดที่กล่าวว่า ถ้าเรารักตนเองไม่เป็น เราจะรักคนอื่นไม่เป็นเช่นกัน การรักตนเองเป็น เป็นอย่างไร บางคนว่า รู้จักให้อภัยตนเอง รู้จักดูแลตนเองอย่างดี หลายคนอาจว่า ไม่ต้องบอก ไม่ต้องสอน ฉันดูแลตนเองอย่างดี คำถามก็คือว่า อย่างดีนี้ เป็นอย่างไร อย่างดีหมายถึงทำให้ตนเองพอใจมากที่สุด มีความสุขที่สุดหรือ ตามใจตนเองอย่างนั้นหรือ คำว่า รัก (อากาเป้) หลักคือรักด้วยหัวใจ (สุดๆ ไม่มีเงื่อนไข และอุทิศตัว) เปรียบเทียบกับรัก (ฟีเลโอ) รักอย่างเพื่อน คือรักด้วยหัวสมอง (ความรู้สึก เงื่อนไข และอารมณ์)รากศัพท์คำว่า รัก ในภาษาฮีบรู แปลว่า ทุกลมหายใจเข้าออก…. คำว่ารักอากาเป้นี้ใช้คำเดียวกันกับรักพระเจ้า ทุกลมหายใจเข้าออก แต่การรักตนเองสุดๆ อย่างไรที่ถูกต้อง มีคำที่บางคนพูดว่า บางคนรักตนเองไม่เป็น น่าจะมาจากการดูที่ผลลัพธ์ในชีวิตของคนๆนั้น คือผลจากการรักตนเองไม่เป็น เช่น ทำให้ป่วยจากการกินแต่สิ่งที่ตนเองชอบ บาดเจ็บในจิตใจมากกว่าเดิม เพราะรักไม่เลือก ไม่รู้จักเลือกที่จะรัก
การรักตนเองสุดๆ ไม่ได้หมายความว่า เอาแต่หลับหูหลับตารักตนเอง แต่ต้องรักตนเองให้เป็น คือรู้จักเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตน และการเลือกสิ่งที่ดีสำหรับตนเอง ก็ไม่ได้หมายถึงเอาแต่กอบโกยทุกอย่างเข้าตนเอง โดยไม่สนใจว่าจะส่งผลลัพธ์ต่อตนเองอย่างไร
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า “บางสิ่งถูกใจ แต่อาจไม่ถูกต้อง บางสิ่งถูกต้องอาจไม่ถูกใจ” การเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตน หมายถึงอะไรก็ตามที่ทำให้ผลลัพธ์ของชีวิตจำเริญขึ้น ไม่ใช่เสื่อมถอย
ตัวอย่างมนุษย์คู่แรก อาดัมกับเอวา ได้ทำบาปต่อพระเจ้า คือพลาดไปจากน้ำพระทัยพระเจ้า เพราะเขาคิดว่า เขาได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุด คือการกินผลไม้ต้องห้าม แล้วจะทำให้เขาตาสว่าง เป็นเหมือนพระเจ้า แต่เมื่อเขาเลือกทำสิ่งที่พระเจ้าทรงห้าม ผลลัพธ์คือความเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้าเกิดขึ้นทันที พวกเขากลายเป็นเหมือนพระเจ้าในบางมุมคือรู้ดีรู้ชั่ว แต่อีกมุมคือที่ไม่สามารถปฏิเสธสิ่งชั่วได้ และมนุษย์ก็หลงเจิ่นไปตามทางของตนเอง
โรม 3:23 23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า
สดุดี 142:2-3 2 พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ดูลูกหลานของมนุษย์ ว่าจะมีคนใดบ้างที่ฉลาดที่เสาะแสวงหาพระเจ้า 3 เขาทั้งหลายหลงเจิ่นไปหมด และเลวทรามลงเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย
เราจะเห็นว่า บ่อยครั้งเราคิดว่า สิ่งที่เราเลือกคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง แต่ภายหลังปรากฏว่า มันไม่ใช่
ทิตัส 1:15-16 15 สำหรับคนบริสุทธิ์นั้นทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ แต่สำหรับคนชั่วช้า และคนที่ไร้ความเชื่อนั้นก็ไม่มีสิ่งใดบริสุทธิ์เลย แต่จิตใจและจิตสำนึกผิดชอบของเขาก็เสื่อมทรามไป16 เขาแสดงตัวว่ารู้จักพระเจ้า แต่ว่าในการกระทำของเขา เขาก็ปฏิเสธพระองค์ เขาเป็นคนน่าชัง ไม่เชื่อฟังใคร และไม่เหมาะที่จะกระทำกรรมดีใดๆ เลย
คนที่รักตนเองเป็น เริ่มต้นจากการจัดการกับสิ่งที่อยู่ภายตนเอง พระคัมภีร์ตอนนี้กล่าวถึงว่า สำหรับคนบริสุทธิ์นั้นทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ นั่นคือการใส่ใจชีวิตของตนเองก่อน คำว่า บริสุทธิ์ รากศัพทภาษากรีก ใช้คำว่า pure ความบริสุทธิ์ที่ปราศจากที่ติ ซึ่งในประโยคต่อมาคือความหมายตรงกันข้าม ใช้คำว่า คนชั่วช้า รากศัพท์ภาษากรีกใช้คำว่า defiled แปลว่า คนที่มีที่ติ มีแปดเปื้อน ในด้านศีลธรรม แต่คนที่ปราศจากที่ติ จะเป็นคนที่ใส่ใจตนเองเรื่องศีลธรรม ชีวิตภายในให้ถูกต้องกับพระเจ้า กับคนอื่น และที่สำคัญกับตนเอง
คนที่ปราศจากที่ติ ไม่ได้หมายความว่า สะอาดตั้งแต่ต้น สกปรกไม่ได้ แต่คนที่ปราศจากที่ติ น่าจะเป็นคนที่มองเห็นตนเองมีที่ติ มองเห็นตนเองสกปรก และจัดการกับจุดที่มีตำหนิ หรือส่วนที่สกปรกนั้น
ถามจริงๆ มีใครที่อาบน้ำครั้งเดียวตั้งแต่เกิด อาบน้ำครั้งเดียวสะอาดตลอดกาล ไม่มีแน่นอน เราต้องอาบน้ำทุกวัน อาบวันละสองครั้ง เช้าเย็น โดยเฉพาะเราอยู่ในเมืองร้อน บางทีอาบมากว่าสองครั้ง หากเราไปทำงาน ทำกิจกรรมที่ทำให้สกปรกมากกว่าปกติ เราก็ต้องทำความสะอาดอาบน้ำ เช่นเดียวกัน การปราศจากที่ติ คือต้องทำความสะอาด อะไรที่จะทำให้เรารู้ว่าเราต้องทำความสะอาด
สุภาษิต 12:15 15 ทางของคนโง่นั้นถูกต้องในสายตาของเขาเอง แต่ปราชญ์ย่อมฟังคำแนะนำ
สุภาษิต 21:22 ทางของคนทุกทางก็ถูกต้องในสายตาของตน แต่พระเจ้าทรงชั่งใจ
พระคัมภีร์กำลังบอกว่า คำเตือน คำแนะนำ คือสิ่งที่ชี้ว่ามนุษย์มีที่ติต้องทำความสะอาด และคนฉลาดคือคนที่ฟังและตอบสนอง แต่คนโง่มองตัวเองว่า ไม่มีที่ติ ไม่จำเป็นต้องทำความสะอาด
ทิตัส 1:15-16 15 สำหรับคนบริสุทธิ์นั้นทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ แต่สำหรับคนชั่วช้า และคนที่ไร้ความเชื่อนั้นก็ไม่มีสิ่งใดบริสุทธิ์เลย แต่จิตใจและจิตสำนึกผิดชอบของเขาก็เสื่อมทรามไป16 เขาแสดงตัวว่ารู้จักพระเจ้า แต่ว่าในการกระทำของเขา เขาก็ปฏิเสธพระองค์ เขาเป็นคนน่าชัง ไม่เชื่อฟังใคร และไม่เหมาะที่จะกระทำกรรมดีใดๆ เลย
นี่เป็นพฤติกรรมของคนที่ไม่รักตนเอง หรือรักตนเองไม่เป็น การแสดงตัวว่ารู้จักพระเจ้า แต่ความจริงไม่ได้รู้จักพระเจ้า เป็นการหลอกตนเอง พฤติกรรมของคนที่แสดงตัวว่ารู้จักพระเจ้าแต่ไม่เชื่อฟังใคร …. น่ารังเกียจ และไม่เหมาะกับการทำกรรมดีใดเลย รุนแรงมาก สำหรับข้อพระคัมภีร์ตอนนี้ เป็นการบอกว่า คนเช่นนี้ จะรักคนอื่นได้อย่างไร ถ้ารักตนเองไม่เป็นอย่างนี้ และยังอยู่กับการทำให้ตนเองสกปรก พระคัมภีร์ใช้คำว่า ชั่วช้า ในขณะที่อ้างว่ารู้จักพระเจ้า มันช่างตรงกันข้าม เป็นวิถีที่ตรงกันข้ามกับคนที่รักตนเองเป็น คนที่รักตนเองเป็นจะมีความสัตย์ซื่อต่อตนเอง Integrity (คุณธรรม)
2 เปโตร 1:5-9 5 เพราะเหตุนี้เอง ท่านจงอุตส่าห์จนสุดกำลังที่จะเอาคุณธรรมเพิ่มความเชื่อ เอาความรู้เพิ่มคุณธรรม6 เอาความเหนี่ยวรั้งตนเพิ่มความรู้ เอาขันตีเพิ่มความเหนี่ยวรั้งตน และเอาธรรมเพิ่มขันตี7 เอาความรักฉันพี่น้องเพิ่มธรรม และเอาความรักคนทั่วไปเพิ่มความรักฉันพี่น้องจะเห็นว่า พระคัมภีร์ตอนนี้ได้เริ่มต้นด้วยคุณธรรมเพิ่มความเชื่อ มีคริสเตียนไม่น้อยที่พูดถึงแต่ความเชื่อ พูดถึงแต่ความเป็นคริสเตียนด้วยความเชื่อ แต่ไม่ได้ดำเนินชีวิตที่เพิ่มความเชื่อของตนเองด้วยคุณธรรม หรือเพิ่มเติมชีวิตด้วยหลักธรรม ความรู้ในพระเจ้า หรือเพิ่มการบังคับตนเอง หรือเพิ่มขันติ (ความทรหดอดทน) หรือรักเพิ่ม พัฒนาความรักจากวงในไปสู่วงนอก นี่คือการรักตนเองเป็น รักตนเองสุดๆ 8 ถ้าท่านทั้งหลายเพียบ พร้อมด้วยของประทานเหล่านี้แล้ว ก็จะกระทำให้ท่านเกิดประโยชน์ และเกิดผลที่ได้ซาบซึ้งในพระเยซูคริสตเจ้าของเรา9 เพราะว่าผู้ใดที่ขาดธรรมเหล่านี้ก็เป็นคนตาบอดตาสั้น และลืมไปว่าตนได้รับการชำระให้พ้นความผิดบาปแล้ว
หยุดรักตนเองแบบผิดๆสักที พระเยซูคริสต์เจ้าได้ตรัสว่า
มัทธิว 7:16-20 16 ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา ผลองุ่นนั้นเก็บได้จากต้นไม้มีหนามหรือ หรือว่าผลมะเดื่อนั้นเก็บได้จากพืชหนาม17 ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว18 ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้19 ต้นไม้ซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ20 เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา
จงรักตนเองสุดๆ ที่ผ่านมา คุณยังรักตนเองไม่สุด รักตนเองไม่เป็น ผลชีวิตจึงออกมาอย่างไม่น่าดู ไม่งดงาม เรารู้แล้วหรือยังว่า เราควรจะสุดๆกับอะไรในชีวิตของตนเอง (อ่านด้วยกันอีกครั้ง)
2 เปโตร 1:5-9 5 ด้วยเหตุนี้เอง พวกท่านจงพยายามอย่างที่สุดที่จะเอาคุณธรรมเพิ่มความเชื่อของพวกท่าน เอาความรู้เพิ่มคุณธรรม6 เอาการควบคุมตัวเองเพิ่มความรู้ เอาความทรหดอดทนเพิ่มการควบคุมตัวเอง และเอาความยำเกรงพระเจ้าเพิ่มความทรหดอดทน7 เอาความรักฉันพี่น้องเพิ่มความยำเกรงพระเจ้า และเอาความรักเพิ่มความรักฉันพี่น้อง
2.รักเพื่อนบ้านสุดๆ มาระโก 12:31ก
31 และธรรมบัญญัติที่สองนั้นคือ จงรักเพื่อนบ้าน…
มีคนนิยามคำว่า concern แปลว่าห่วงใย ไว้อย่างนี้ว่า Make them feel good about themselves not yourself. แปลว่า ทำให้คนอื่นรู้สึกดีเกี่ยวกับตนเอง ไม่ใช่ทำให้คนอื่นรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวคุณ ในการสงเคราะห์ของสังคมโลกมากมาย ไม่ว่าจะการบริจาค การทำดี การอุทิศตน มีไม่น้อยที่คนทำไปเพื่อให้คนอื่นรู้สึกดีกับตนเอง และตนเองก็รู้สึกดีกับตนเอง นั่นยังไม่ใช่ความหมายของการรักเพื่อนบ้านสุดๆ พระเยซูได้ยกตัวอย่างเรื่องชาวสะมาเรียใจดี เปรียบเทียบกับปุโรหิต และอาลักษณ์ ที่ละเลย เพิกเฉย และหลีกเลี่ยงที่จะช่วยเหลือคน เพราะการรักตนเอง ห่วงใยตนเอง แต่ชาวสะมาเรียใจดี กลับให้การช่วยเหลือ โดยยอมเสียเวลา ล่าช้า และยอมเสียเงินทอง และรับผิดชอบในการช่วยเหลือจนคนที่ถูกโจรปล้นและบาดเจ็บปางตายคนนั้น หายดี และเชื่อแน่ว่า เมื่อชาวสะมาเรียเสร็จธุระกลับมา เขาไม่ได้ต้องการแม้แต่คำขอบคุณของคนที่เขาช่วยเหลือ แต่เขากลับมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่อาจเกินจากที่เขาได้ให้ไปในตอนต้น การช่วยเหลือของชาวสะมาเรียใจดีคนนี้ในคำสอนของพระเยซู คือการบ่งบอกถึงลักษณะความคิด ความรู้สึกของคนที่รักเพื่อนบ้าน ของเขา เขาไม่ได้ผูกอารมณ์ความรู้สึกของตนเองกับการจะได้การตอบแทนหรือไม่ ถ้าไม่มี เขาจะรู้สึกแย่ ไม่ใช่เลย นี่คือภาพที่พระเยซูกำลังถ่ายทอดว่า การรักเพื่อนบ้านสุดๆเป็นอย่างนี้ ไม่มีเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือ เหมือนรักตนเอง เวลาเราดูแลตนเอง ให้อภัยตนเอง เราไม่ลังเล ไม่มีเงื่อนไข เหตุผล เราจะต้องช่วยให้ตัวเราเองหายดี หายเจ็บ (สำหรับคนที่รักตนเองเป็น) จะทำอย่างนั้น
เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในช่วงหลังผ่าตัดใหม่ๆ สิ่งที่ต้องต่อสู้กับการรักตัวเองแบบไม่เป็นคือ กลัวเจ็บ แต่ข้าพเจ้าต้องสู้เพื่อจะให้ตัวเองเจ็บ เพราะในความเจ็บที่เผชิญ ข้าพเจ้าได้ข้อสังเกตของตัวเอง ว่า มีสามปวด สามเจ็บ อันแรกคือเจ็บจากอุบัติเหตุที่ยังอยู่ อันที่สอง ปวดจากผลกระทบจากขาหัก คือเส้นเอ็นตึง เจ็บมาก และปวดอันที่สาม คือแผลผ่าตัดทั้งนอกและใน ถ้าข้าพเจ้าไม่ขยับ ปวดเส้นตึงที่ปวดมากไม่หาย แต่เมื่อขยับ แผลผ่าตัดระบม ปวดมาก และกระทบกับอาการช้ำจากอุบัติเหตุ เอายังไง ขยับก็ปวด ไม่ขยับก็ปวด เราต้องรู้จักรักตนเอง คือ ยอมที่เจ็บปวดอันหนึ่ง เพื่อความเจ็บปวดอีกอันจะหาย ไม่ใช่หายทันที ค่อยๆหาย เพราะฉะนั้นในช่วงแรก ปวดพร้อมกันสามปวด ข้าพเจ้าเฝ้านับวันเวลาที่ผ่านไป ข้าพเจ้าจะต้องรักตนเองให้เป็น และเวลานี้ ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าการรักตนเองเป็นกับการสงสารตนเองมันช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางทีการรักเพื่อนบ้าน ก็จะต้องทำให้คนที่เรารักเจ็บ และต้องสื่อสารให้เขารู้ว่า ความจริงของความเจ็บปวดเหล่านั้น ต้องผ่านไปให้ได้ อย่าหลอกคนที่เรารัก หรือให้เขาอยู่แต่ในมิติของโลกสวยเท่านั้น การรักเพื่อนบ้าน ขอให้เราเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดี นำเพื่อนบ้านไปสู่การหายดี แข็งแรง นื่คือการรักเพื่อนบ้านสุดๆที่แท้จริง และสิ่งที่สุดท้ายที่ต้องมาก่อนอื่นใด คือ….
3.รักพระเจ้าสุดๆ มาระโก 12:29-30
29 พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า “ธรรมบัญญัติเอกนั้นคือว่า โอ ชนอิสราเอลจงฟังเถิด พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงเป็นพระเจ้าเดียว 30 และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน
อันดับแรกของสิ่งที่ต้องสุดๆ สำหรับคนยิว คือ มีพระเจ้าเดียว อย่ามีพระอื่นใด (รูปเคารพต่างๆ) และรักพระเจ้าสุดๆ สุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลัง เส้นทางชีวิตคริสเตียนเป็นอย่างเดียวกันกับคนยิวในเรื่องนี้ ก็คือ รักพระเจ้าสุดๆ คำตอบของพระเยซู ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญทางธรรมบัญญัติ คือธรรมาจารย์ที่มาถามพระเยซู 32 ฝ่ายธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “ดีแล้วอาจารย์เจ้าข้า ท่านกล่าวถูกจริงว่าพระเจ้ามีแต่พระองค์เดียว และนอกจากพระองค์แล้วพระเจ้าอื่นไม่มีเลย33 และซึ่งจะรักพระองค์ด้วยสุดจิตใจ สุดความเข้าใจและสิ้นสุดกำลัง และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ก็ประเสริฐกว่าเครื่องเผาบูชาและของถวายทั้งสิ้น” 34 เมื่อพระเยซูทรงเห็นแล้วว่าคนนั้นพูดโดยใช้ความคิด จึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านไม่ไกลจากแผ่นดินของพระเจ้า”… รักพระเจ้าสุดๆ ไม่ใช่บ้าบอๆ ธรรมาจารย์คนนี้ได้รับคำชมจากพระเยซู เพราะเขาเป็นคนที่ต้องการคำตอบที่ถูกต้อง ธรรมาจารย์คนนี้คือคนที่แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าที่แท้จริง พระเยซูจึงตรัสว่า “ท่านไม่ไกลจากแผ่นดินของพระเจ้า”... รักพระเจ้าคือกุญแจสำคัญ ไม่ใช่กิจกรรมทางศาสนา รักพระเจ้าสุดๆ breath after ทุกลมหายใจเข้าออก คือพระองค์ ไม่ใช่แค่วันอาทิตย์ ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่เพราะป้ายแขวนคอว่า เป็นคริสเตียน หรือเป็นเจ้าหน้าที่เต็มเวลาของคริสตจักร ไม่ใช่ป้ายแขวนคอว่า เป็นผู้นำคริสตจักร แต่เพราะรักพระเจ้าสุดๆ รักเพื่อนบ้านสุดๆ รักตนเองสุด เราจึงช่วยกันพาให้คริสตจักรของพระเจ้าที่เรารับใช้ เราเป็นส่วนหนึ่ง ไปให้ใกล้น้ำพระทัยพระเจ้ามากที่สุดที่จะมากได้ เราอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพราะหน้าที่ ไม่ใช่เพราะถูกบังคับให้อยู่ แต่เราเชื่อว่า พระเจ้าทรงวางเราไว้ถูกที่แล้ว เราเป็นพระกายเดียวกัน ที่จะทำให้คริสตจักรจำเริญขึ้น ก็คือเราทั้งหลายนั่นเอง หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
2ทิโมธี 2:15 15 จงอุตส่าห์สำแดงตนว่าได้ทรงพิสูจน์แล้วเป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย…
การรักพระเจ้าสุดๆ ทำให้เราแสวงหาที่จะเข้าใกล้พระเจ้ามากที่สุด (ปราศจากที่ติ) แสวงหาที่จะรักตนเองให้เป็น และเรียนรู้ที่จะรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย ก็คือ เป็นคริสเตียนที่รู้จักน้ำพระทัยพระเจ้า และนี่คือเส้นทางที่เราทุกคนต้องเดินไป “สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…ควร“สุดๆ”กับอะไรบ้าง”
- รักตนเองสุดๆ
- รักเพื่อนบ้านสุดๆ
- รักพระเจ้าสุดๆ