“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์….เป็นคนที่ไว้ใจได้”
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้าขี่จักรยานออกกำลังกายไปตามถนนสายหนึ่งเพื่อจะไปกลับรถและเข้าสู่ถนนตัดใหม่ ระหว่างทางก็จะทักทายคนกวาดถนนขาประจำ เขาก็จะคอยส่งยิ้มให้ เราทักกันมาเกือบสามปีแล้ว ความคิดหนึ่งก็แว๊บเข้ามาว่า เขาไว้ใจได้ไม๊ ข้าพเจ้าก็ขี่ผ่านไป แล้วก็ผ่านคนขี่จักรยานด้วยกัน ไม่เคยพบกัน แต่ขี่จักรยานเหมือนกัน ความคิดหนึ่งก็แว๊บเข้ามาว่า เขาไว้ใจได้ไม๊ ถ้าข้าพเจ้าเกิดอุบัติเหตุ เขาจะช่วยหรือเขาจะซ้ำเติม ขี่ไปอีก ก็เป็นทางเปลี่ยว มีคนอยู่คนสองคน คนหนึ่งผู้หญิง ข้าพเจ้าก็คิดว่า ผู้หญิงก็ไว้ใจได้ไม๊ ขี่ไปอีกก็เจอคนลักษณะต่างๆ กลุ่มคนที่มาวิ่งออกกำลังกายเป็นกลุ่มเดียวกัน ข้าพเจ้าก็มีคำถามในใจว่า เขาจะไว้ใจได้ไม๊ ขี่จักรยานวันนั้นมีแต่คำถามว่า ไว้ใจได้ไม๊ ขี่ตามทางไปเรื่อยๆ จนเหลือบไปเห็นคนที่เคยขอยืมเงิน แล้วไม่คืน ข้าพเจ้าก็มีความคิดหนึ่งว่า คนนี้ไว้ใจไม่ได้ แล้วความคิดหนึ่งก็เกิดขึ้น เพราะเขายืมเงินไปไม่คืนหรือ เขาถึงไว้ใจไม่ได้ แล้วข้าพเจ้าก็ต้องสารภาพบาป ยกเลิกความคิดที่มีเหตุผลว่า เขาไว้ใจไม่ได้เพราะเขายืมเงินแล้วไม่คืน ความจริง ข้าพเจ้ากำลังได้รับบทเรียนที่ว่า ไม่ใช่มองคนอื่นว่าไว้ใจได้หรือไม่ แต่ให้มองตนเองว่า เป็นคนที่ไว้ใจได้หรือไม่ต่างหาก
ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าขึ้นรถเมลล์ไปแจกใบปลิวกับพวกเราในบ่ายวันอาทิตย์ แล้วมีผู้หญิงชาวจีนพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก มาขอความช่วยเหลือจากข้าพเจ้า เขาจับทิศทางการกลับไปที่พักของเขาไม่ได้ เมื่อข้าพเจ้าถามเขาว่า เขาจะไปไหน เมื่อเขาตอบข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเลยบอกเขาว่า คุณกำลังไปทิศตรงกันข้าม เดี๋ยวลงรถด้วยกันกับข้าพเจ้า ที่ซีคอนบางแค เพราะเราวางแผนไปแจกใบปลิวที่นั่น ข้าพเจ้าพูดคำหนึ่ง กับผู้หญิงคนนั้นว่า Trust me ไว้ใจชั้น ผู้หญิงคนนั้น ไว้ใจข้าพเจ้า เดินลงรถด้วยกันกับข้าพเจ้าทันที และข้าพเจ้าก็แนะนำเขาให้ข้ามไปฝั่งตรงกันข้ามเพื่อขึ้นรถเมลล์ไปอีกทิศหนึ่ง ข้าพเจ้ากลับมาคิดใคร่ครวญว่า ทำไมเขาจึงไว้ใจข้าพเจ้า คนแปลกหน้า เพราะเขาไม่รู้จะไว้ใจใคร และถ้าข้าพเจ้าบอกเขาผิดทาง แน่นอน เขาก็จะไปผิดทาง เป็นการไว้ใจผิดคน (คนที่มั่นใจว่า บอกถูกทาง) เราเคยเป็นคนที่มั่นใจอะไรขนาดนั้นไม๊ แต่ข้าพเจ้ามั่นใจ เพราะว่า ข้าพเจ้าอ่านแผนที่ GPS ที่ผู้หญิงคนนั้นโชว์ให้ข้าพเจ้าดู และรู้จักทาง จึงทำให้เธอไว้ใจข้าพเจ้า GPS คือระบบนำทางที่กำลังเป็นที่นิยมมากในเวลานี้ แต่บางทีก็ไว้ใจไม่ได้
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าขับรถไปเชียงรายครั้งแรก ด้วยการนำทางของ GPS และเมื่อเข้าตัวเมืองเชียงราย ตั้งโปรแกรมไว้ให้นำทางไปโรงแรมที่จองไว้ ปรากฏว่า GPS บอกทางอย่างนี้ ขับไป 20 เมตรกลับรถ และขับไปอีก 20เมตร กลับรถ ขับไปอีก 20 เมตร กลับรถ วนไปวนมาจนต้องปิด GPS และใช้ระบบ Sense of Direction แทน คือใช้ประสาทสัมผัสเรื่องทิศทาง กับการอ่านแผนที่ แม่นกว่า หาโรงแรมเจอ ในการเดินทางไปในที่แปลกถิ่น ข้าพเจ้าจะศึกษาแผนที่ก่อน หรือต้องมองเห็นทิศทางก่อน จึงจะเดินทางไปที่นั่น ทำนองเดียวกัน ชีวิตของเราทุกคนที่ถูกกำหนดไว้ให้มุ่งสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ (Perfect)จำเป็นที่เราจะต้องมีแผนที่ และต้องศึกษาแผนที่เส้นทางนี้ พระคัมภีร์เป็นแผนที่ที่พระเจ้าประทานให้กับเราแล้ว แต่เราต้องมี GPS ฝ่ายวิญญาณ ก็คือระบบนำทาง นำร่อง อันได้แก่พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูคริสต์ทรงประทานพระวิญญาณให้กับเราที่เชื่อในพระองค์แล้ว
ยอห์น 14:26 26 แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว
อ.เปาโลเป็นคริสเตียนที่สอนเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์จากประสบการณ์ของตัวท่านเอง
1โครินธ์ 2:9-12 9 ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ 10 พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่เราทางพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า11 อันความคิดของมนุษย์นั้น ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น12 เราทั้งหลายไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่เรา
พระวิญญาณบริสุทธิ์มีบทบาทสำคัญอย่างมากในชีวิตคริสเตียนทุกคน พระองค์เสด็จมาประทับในผู้เชื่อ เริ่มต้นด้วยการรับเชื่อ พระวิญญาณเป็นผู้ประทานความเชื่อให้เรา ความเชื่อที่เรามีในพระเจ้า เราไม่ได้สร้างความเชื่อขึ้นเอง แต่ก่อน เราไม่เชื่อ แต่ในเวลาต่อมาเราเชื่อ เพราะพระวิญญาณได้ประทานความเชื่อให้กับเรา เราได้รับความเชื่อนี้ จากการเริ่มต้นด้วยการที่เราเปิดใจของเราที่จะรับฟังข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์ อ.เปาโลจึงอธิบายเรื่องนี้ในหนังสือโรม
โรม 10:14-15 14 แต่ผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระองค์ จะทูลขอต่อพระองค์อย่างไรได้ และผู้ที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์ จะเชื่อในพระองค์อย่างไรได้ และเมื่อไม่มีผู้ใดประกาศให้เขาฟัง เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไรได้15 และถ้าไม่มีใครใช้เขาไป เขาจะไปประกาศอย่างไรได้ ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆหนอ
กว่าจะมาถึงความเชื่อ ต้องมีคนไปประกาศ กว่าจะยอมฟังการประกาศก็ต้องสร้างช่องทางที่ไว้วางใจได้ เรากำลังเตรียมตัวเราเพื่อคนจะไว้วางใจได้อย่างไร พระคัมภีร์กล่าวว่า เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆหนอ มีเบื้องหลังของประโยคนี้ ในยุคโบราณ การรอคอยข่าวดี คือข่าวของสงครามว่า จะชนะหรือไม่ คนส่งข่าวจะทำหน้าที่วิ่งและวิ่ง ไม่หยุด และเพื่อจะส่งข่าวว่า ชนะแล้ว หรือขอให้ช่วยส่งกำลังไปให้ความช่วยเหลือ เราเคยฟังเรื่องตำนานมาราธอนแล้ว
คำว่า “มาราธอน” แปลว่า งานยากที่ต้องใช้ความอดทน เป็นส่วนหนึ่งของการพิสูจน์ความอดทนว่าเราจะผ่านอุปสรรคได้หรือไม่ คำว่า มาราธอน มาจากตำนานสงครามกรีก เรื่องราวมีอยู่ว่า มีนักรบชาวกรีกคนหนึ่งวิ่งจากเมืองมาราธอนกลับไปยังกรุงเอเธนส์ โดยไม่หยุด ระยะทางประมาณ 240 กม. และเมื่อมาถึงก็ตะโกนคำว่า เราชนะแล้ว แล้วก็ล้มลงตายทันที แต่บางตำนานก็กล่าวถึงเนื้อหาของการวิ่งมาราธอนของทหารกรีกคนนี้ว่า เขาวิ่งมาเพื่อขอความช่วยเหลือ ขอกองสนับสนุน เพราะในการรบที่เมืองมาราธอนกำลังอ่อนกำลังลง เกรงว่าจะพ่ายแพ้ จึงต้องวิ่งอย่างไม่หยุดเพื่อจะมาขอความช่วยเหลือ อันนี้น่าจะสมเหตุสมผลของการวิ่งไม่หยุด เพราะคือความรอดของทหารที่เหลือที่เมืองมาราธอน เราจะพบว่า อุปสรรคของการวิ่งของทหารกรีกคนนี้คือ ระยะทาง เวลา และลักษณะของภูมิประเทศ ลักษณะของเส้นทางที่ต้องผ่าน เป็นภูเขา ขึ้นๆลงๆ ไม่ใช่ทางราบอย่างเดียว
เพราะฉะนั้น คนที่นำข่าวดีมา เท้าของเขาจึงงดงาม เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆหนอ และแน่นอนว่า คนที่นำข่าวดีมา ต้องไม่ใช่ข่าวลวง แต่เป็นข่าวจริง ที่ไว้ใจได้ คริสเตียนที่กำลังมุ่งหน้าสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์จะมีคุณลักษณะของการเป็นคนที่ไว้ใจได้ เพราะเขาจะไปพร้อมกับข่าวดี (ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์) อาทิตย์ที่แล้ว เราได้ฟังคำเทศนาเรื่องราวของฟิลิป มัคนายกที่หนีออกจากรุงเยรูซาเล็ม เพราะการข่มเหง เหมือนกับบรรดาศิษย์ของพระเยซูที่กระจัดกระจายหนีออกจากรุงเยรูซาเล็ม พระคัมภีร์บันทึกว่า บรรดาศิษย์เหล่านั้นหนีไปพร้อมกับการประกาศพระคำ Logos โลกอส นั่นคือ ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เป็นพระคำที่มีชีวิต ฟิลิปมีพระคำที่มีชีวิต เขาจึงได้รับเชิญจากขันทีเอธิโอเปียให้นั่งบนรถของเขา (เทียบรุ่นก็ระดับโรลสลอยด์ในยุคของเรา) ฟิลิปเป็นที่ไว้วางใจแก่ขันที ฟิลิปพบกับขันทีด้วยระบบ GPS คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำนั่นเอง อ.เปาโลได้เขียนพระคัมภีร์หลายตอนถึงประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตคริสเตียน และวันนี้ ถ้าเราจะเป็นคนที่ไว้วางใจได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะฟังและตอบสนองต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์
ข้าพเจ้าได้ยกตัวอย่างว่า ดาเนียล ชาวอินเดียที่เพิ่งมาเยือนเราไม่นานมานี้ เขาถามข้าพเจ้าว่า ทำไม ข้าพเจ้าจึงไว้ใจเขา แม้ข้าพเจ้าจะบอกพี่น้องว่า ข้าพเจ้ารู้สึกว่า เขาเป็นคนดี แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าใช้พิจารณาดาเนียลคือ เขาเป็นคนที่ฟังเสียงพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าจึงไว้ใจเขา
ทุกวันนี้ เราแสวงหาความไว้วางใจ จากคนรอบข้าง และเราต้องจ่ายราคาเป็นค่าความไว้วางใจ หากเราไม่พบความไว้วางใจ ราคาที่เราจ่ายถูกเรียกว่า ค่าโง่ ยูดาส อิสคาริโอท เป็นคนที่พระเยซูทรงไว้วางใจให้ แต่ยูดาส กลับตอบสนองต่อพระเยซูด้วยการทรยศขายพระเยซูด้วยเงินสามสิบเหรียญเงิน สุดท้าย ยูดาส เอาเงินไปคืน กลับถูกพวกปุโรหิตตอกหน้ากลับว่า ยูดาส โง่เอง ที่ยอมขายพระเยซู
มัทธิว 26:14-16 14 ครั้งนั้นคนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคนชื่อยูดาสอิสคาริโอท ได้ไปหาพวกมหาปุโรหิต15 ถามว่า “ถ้าข้าพเจ้าจะชี้พระองค์ให้ท่านจับ ท่านทั้งหลายจะให้ข้าพเจ้าเท่าไร” ฝ่ายเขาก็ให้เงินแก่ยูดาสสามสิบเหรียญเงิน16 ตั้งแต่นั้นมา ยูดาสคอยหาช่องที่จะชี้พระองค์ให้แก่เขา
มัทธิว 27:3-5 3 เมื่อยูดาสผู้อายัดพระองค์ เห็นว่าพระองค์ต้องปรับโทษก็กลับใจ นำเงินสามสิบเหรียญนั้นมาคืนให้แก่พวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่4 กล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาป ที่ได้อายัดคนบริสุทธิ์มาให้ถึงความตาย” คนเหล่านั้นจึงว่า “การนั้นไม่ใช่ธุระอะไรของเรา เจ้าต้องรับธุระเอาเอง”5 ยูดาสจึงทิ้งเงินนั้นไว้ในพระวิหารและจากไป แล้วเขาก็ออกไปผูกคอตาย
ยูดาสไปสารภาพบาปผิดคน กับคนที่ไม่ควรจะสารภาพบาป ความจริงยูดาสควรจะไปหาพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เพื่อจะสารภาพบาป ยูดาสเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้มาตั้งแต่ต้น ในเรื่องเงิน
ยอห์น12:3-6 3 มารีย์เอาน้ำมันหอมนารดาบริสุทธิ์หนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ซึ่งมีราคาแพงมากมาชโลมพระบาทพระเยซู และเอาผมของเธอเช็ดพระบาทของพระองค์ เรือนก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันนั้น4 แต่สาวกคนหนึ่งของพระองค์ ชื่อยูดาสอิสคาริโอท (คือคนที่จะอายัดพระองค์ไว้) พูดว่า5 “เหตุไฉนจึงไม่ขายน้ำมันนั้นเป็นเงินสักสามร้อยเดนาริอัน แล้วแจกให้แก่คนจน”6 เขาพูดอย่างนั้นมิใช่เพราะเขาเอาใจใส่คนจน แต่เพราะเขาเป็นคนหัวขโมย คือเขาได้ถือกล่องเก็บเงินและได้ยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในนั้นไป
ยูดาสดำเนินชีวิตอย่างคนที่ไว้วางใจไม่ได้ตั้งแต่ต้น ดังนั้นจุดจบของยูดาสเป็นราคาค่าโงให้พวกปุโรหิตหลอกขายพระเยซูคริสต์ ให้ถูกอายัด ด้วยข้อกล่าวหาเท็จ
บทเรียนสำหรับเราในวันนี้ ยูดาส อิสคาริโอทเป็นหนึ่งในสาวกสิบสองคนที่ติดตามพระเยซู ฟังคำสอน ร่วมรับใช้อย่างใกล้ชิด ก็ยังต้องจ่ายค่าโง่ด้วยชีวิตของตัวเขาเอง อันเนื่องจากการที่ยูดาสไว้วางใจเรื่องของเงินทองมากกว่าไว้วางใจในพระเยซู ยูดาส อิสคาริโอทพลาดไปจากเส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ เพราะเขาดำเนินชีวิตขาดสามอย่าง อันได้แก่
1.ตั้งเป้าที่จะเป็นคนที่ไว้ใจได้ 1โครินธ์ 9:27
27 แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้
วินัยสำหรับตนเองเป็นอันดับแรกที่เราต้องใส่ใจ แต่คนที่ไม่มีวินัย มักจะแสวงหาวินัยในคนอื่น นี่เป็นการเรียงลำดับความสำคัญอย่างไม่ถูกต้อง เหมือนกับที่เรามักจะใช้สำนวนคำว่า “กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด” เม็ดต่อไปก็ผิดไปหมด อ.เปาโล ได้กล่าวถึงการทุบตีร่างกายให้มันแข็งอยู่มือ แปลว่า การมีวินัยต่อตนเอง เป็นวินัยของการควบคุมความปรารถนาของเนื้อหนัง ความอยาก กิเลศตัณหา เป็นความมุ่งมั่นที่จะเป็นคนที่ไว้ใจได้
ข่าวเรื่องการขโมยเงินของพ่อค้าอะไหล่รถยนต์ ด้วยการโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มที่เป็นข่าวดัง จนสร้างความรู้สึกไม่ไว้วางใจต่อธนาคารที่เกิดเรื่อง ตอนแรกธนาคารจะชดใช้ให้แค่ 30% ของค่าเงิน 1ล้าน ที่หายไป แต่พอกระแสเรื่องความไม่ไว้วางใจต่อธนาคารยี่ห้อนี้แรงขึ้น ธนาคารยอมจ่าย 100% คือตามจำนวนที่หายไป เพื่อจะดึงความไว้วางใจให้กลับคืนมา ขึ้นชื่อว่า ธนาคาร ต้องตั้งเป้าสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชน ถ้าธนาคารสูญเสียความไว้วางใจ ก็เจ๊ง
ทำนองเดียวกัน อ.เปาโลตระหนักว่า การเป็นคริสเตียนของท่านมีอุปสรรค คือตัวของท่านเคยมีอดีตที่ข่มเหงคริสเตียน และเป็นคนทำลายข่าวดี เป็นสื่อนำข่าวร้ายแก่คริสเตียน แต่เมื่อท่านกลับใจใหม่ ท่านยิ่งต้องพิสูจน์ตัวเองมากกว่าคริสเตียนทั่วไป อ.เปาโลจึงใช้คำว่า ทุบตีเนื้อหนังให้มันอยู่มือ อ.เปาโลมีบุคลิกของความเป็นเผด็จการสูง จะเห็นได้จากการตัดมาระโกออกจากทีมมิชชั่น เพราะมาระโกแสดงตัวไม่เป็นทีม จนบารนาบัสต้องรองรับมาระโกแทน แต่ในภายหลัง อ.เปาโลได้เขียนในจดหมายกล่าวถึงมาระโกว่า ให้กลับมาเป็นทีมด้วย นี่คือการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของอ.เปาโลที่มุ่งมั่นที่จะเป็นคนที่ไว้ใจได้ ไม่ใช่ยึดติดอยู่กับบุคลิกเดิมๆ หรืออุปนิสัยเดิม มีปัญหากับใครก็ยังเป็นคนเดิม “มึงอย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก” นั่นไม่ใช่คนที่มุ่งมั่นที่จะเป็นคนไว้ใจได้ คนที่ตั้งเป้าว่า จะเป็นคนที่ไว้ใจได้ ต้องมีความมุ่งมั่น เอาชนะตัวเอง เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ เหตุผลที่ต้องตั้งเป้าที่จะเป็นคนที่ไว้ใจได้ เพราะอ.เปาโลตระหนักว่า ข่าวประเสริฐ (หรือข่าวดี)ที่อ.เปาโลประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ คนจะฟัง เพราะคนที่ประกาศไว้ใจได้ ไม่ใช่ขัดแย้งกันในตัวของคนที่ประกาศ คุณกำลังพูดสิ่งดี สิ่งประเสริฐของพระเยซู แต่พฤติกรรมเลวร้าย ไม่น่าไว้วางใจ ใครจะเชื่อ อ.เปาโลใช้คำว่า ใช้การไม่ได้ รากศัพท์ภาษากรีกคำนี้ แปลว่า cast away , unapproved , worthless ต้องทิ้งแบบขยะ ไม่ผ่านการรับรอง ไม่มีค่าคู่ควรที่จะใช้งาน
เรารู้จักคำว่า presenter ในการโฆษณาสินค้าต่างๆ เขาจะเลือกใช้คนที่มีลักษณะสนับสนุนสินค้านั้นๆ เช่นผิวขาว สำหรับโฆษณาครีมทาผิวขาว ไม่ใช่เอาคนผิวดำมาเป็นpresenter อาหารเพื่อสุขภาพก็ต้องเลือกคนมีหน้าตาสุขภาพดี ไม่ใช่หน้าป่วย สินค้าที่บ่งบอกถึงการออกกำลังกายก็ต้องเลือก presenter คนหุ่นดี เป็นต้น
พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า คริสเตียนเป็นทูตของการคืนดี แสดงว่า เราเป็น presenter ที่แสดงถึงการคืนดี ไม่ใช่ไปทะเลาะกับชาวบ้าน หรือไม่ยอมคืนดี ไม่ยอมให้อภัย อย่างนี้ เรียกว่า ใช้การไม่ได้ และเรารู้ไม๊ว่า สิ่งที่เป็นขยะ ใช้การไม่ได้ ต้องทิ้ง ภาษาพระคัมภีร์ใช้สำนวนอย่างนี้
ยอห์น 15:6 6 ถ้าผู้ใดมิได้เข้าสนิทอยู่ในเรา ผู้นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยวแห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผาไฟ
มัทธิว 5:28-30 28 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว29 ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ตัวหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย เพราะว่าถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวของท่านจะต้องลงนรก30 ถ้ามือข้างขวาทำให้หลงผิด จงตัดทิ้งเสีย เพราะถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวท่านจะต้องลงนรก
นี่คือการบอกถึงความตั้งใจที่จะให้ชีวิตเป็นที่ไว้ใจได้ คือสวรรค์ไว้ใจที่จะให้เข้าแผ่นดินสวรรค์ได้ไม่ใช่เพียงสร้างความไว้ใจได้แค่ธุรกิจ หรือเพื่อการยอมรับของคน แต่ต้องสร้างความไว้ใจได้ในระดับที่พระเจ้าใช้การเราได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระเจ้าทรงเชื่อว่าเราทำได้ แต่พระเจ้าจะไว้ใจเราได้นั้น เราต้องพิสูจน์ด้วยความตั้งใจ และในขั้นต่อไป คือ…..
2.สำแดงชีวิตที่ไว้ใจได้ 1โครินธ์ 4:1-2
1 ให้ทุกคนถือว่าเราเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์ และเป็นผู้อารักขาสิ่งล้ำลึกของพระเจ้า2 ฝ่ายผู้อารักขาเหล่านั้นต้องเป็นคนที่ไว้วางใจได้ทุกคน
เราต้องพิสูจน์ความตั้งใจของเราด้วยการสำแดงชีวิตที่ไว้ใจได้ คือการกระทำ ไม่ใช่พูดอย่างเดียว อย่างที่ข้าพเจ้าพูดกับหญิงชาวจีนที่มาขอความช่วยเหลือ ข้าพเจ้าบอกเขาว่า ไว้ใจชั้น Trust me ข้าพเจ้าวางภารกิจที่วางแผนไว้ เพื่อจะให้ความข่วยเหลือต่อหญิงชาวจีนคนนี้ มีเรื่องน่าประทับใจในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกล่าสุดเรื่องหนึ่ง
ในการวิ่งแข่ง 5,000 เมตรในรอบคัดเลือก เมื่อการแข่งขันเริ่มในระยะทาง 2,000 เมตร นักวิ่งชาวนิวซีแลนด์ Nikki Hamblin วิ่งพลาดผิดจังหวะล้มลง ทำให้นักวิ่งชาวอเมริกันอีกคน Abbey D’Agostino ล้มลงด้วย แต่ Abbey ลุกขึ้นยืนได้ก่อน แต่แทนที่เธอจะรีบวิ่งเพื่อตามนักวิ่งคนอื่นๆให้ทัน เธอกลับหันมาช่วยเพื่อนนักวิ่งที่ล้มลง และเหมือนกับจะร้องไห้ เพราะพลาดโอกาสโอลิมปิก นักวิ่งสาวอเมริกัน เข้าไปช่วยเพื่อนนักวิ่งชาวนิวซีแลนด์ พร้อมให้กำลังใจว่า Get up. We have to finish this. Nikki เห็นด้วย เพราะนี่คือโอลิมปิก ทั้ง Nikki และ Abbey วิ่งคู่กันไป Abbey ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บที่เท้า Nikki ก็ตอบแทนด้วยการวิ่งคู่กับเธอ ด้วยการวิ่งคู่กัน ไม่มีใครเร็วกว่ากัน แม้จะบ๊วย แต่คณะกรรมการตัดสินการแข่งขันรอบคัดเลือกตัดสินให้สองสาวผ่านรอบคัดเลือก นี่คือเรื่องราวในโอลิมปิกที่ Rio ล่าสุด นักวิ่งสองคนได้กลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดต่อกัน กรรมการที่ตัดสินได้ใช้หลักการของสปิริตในการตัดสิน ไม่ใช่ผลของการแข่งขันตัดสิน
สำแดงชีวิตที่ไว้ใจได้ สำหรับเรา คืออะไร
1โครินธ์ 4:1-2 1 ให้ทุกคนถือว่าเราเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์ และเป็นผู้อารักขาสิ่งล้ำลึกของพระเจ้า2 ฝ่ายผู้อารักขาเหล่านั้นต้องเป็นคนที่ไว้วางใจได้ทุกคน
ในฐานะที่เราทุกคนเป็นผู้อารักขาความล้ำลึกของพระเจ้า เรายิ่งต้องสำแดงตนว่าเป็นคนที่ไว้ใจได้ อย่าให้คนผิดหวังในความเป็นคริสเตียนของเรา
1โครินธ์ 9:12,19 12 ถ้าคนอื่นมีสิทธิ์ที่จะได้รับประโยชน์จากท่าน เราไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับยิ่งกว่าเขาอีกหรือ แต่ถึงกระนั้น เราก็มิได้ใช้สิทธิ์นี้เลย เรายอมทนทุกข์ยากสารพัด เพื่อเราจะไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์… 19เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง เพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น
2โครินธ์ 5:15 15และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่จะมิได้อยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย
เราจะเห็นคนที่ฉลาด่และต้องการสร้างความไว้ใจได้ในยุคของเรา มักจะพิสูจน์ความไว้ใจได้ของเขาด้วยการสนใจในประโยชน์ของคนอื่น ไม่ใช่ประโยชน์ของตนเองฝ่ายเดียว ซึ่งพระคัมภีร์ได้สอนคริสเตียนให้ทำอย่างนี้มานานแล้ว คริสเตียนต้องเป็นต้นแบบของการสำแดงความไว้ใจได้ที่เด่นชัดยิ่งกว่าคนที่ไม่เป็นคริสเตียนเสียอีก
3.เป็นคนที่ยอมรับการปรับปรุงแก้ไข 2ทิโมธี 3:16-17
16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม17 เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
ในกระบวนการสร้างความไว้วางใจได้นั้น ในข้อนี้แสดงให้เราเห็นว่า ความไว้ใจได้ สร้างได้ ไม่ได้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด และโดยเฉพาะคนที่ความไว้ใจได้ของตนเองถูกทำลายไป ก็ยังสามารถสร้างกลับคืนมาได้ แต่ว่าอาจจะยากกว่าคนอื่นสักหน่อย แต่ไม่ได้หมายความว่า มันจะเสียไปเลยโดยไม่สามารถกลับคืนมาได้
มีเรื่องของสามีที่นอกใจภรรยา ที่เป็นกรณีของความไว้วางใจที่เสียไป อย่างชนิดที่ยากที่สุดที่จะสร้างกลับคืนมาได้ หนังสือที่ชื่อว่า Speed of Trust ได้ยืนยันว่า สามารถสร้างคืนกลับมาได้ ด้วยการเป็นคนที่ยอมรับการปรับปรุงแก้ไข และพระคัมภีร์ได้ยืนยันเรื่องนี้
16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม พระคัมภีร์มีเป้าหมายเพื่อจะใช้สำหรับเป็นประโยชน์ในการสอน….ปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี
คุณเชื่อพระคัมภีร์ตอนนี้ไม๊ พระคัมภีร์ทรงไว้ซึ่งสิทธิอำนาจสูงสุด พระคัมภีร์ตอนนี้กำลังบอกว่า ถ้าคุณยอมให้พระคัมภีร์ปรับปรุงแก้ไข คือยอมทำตามพระคัมภีร์ สวรรค์จะรับรองชีวิตของคุณใหม่ ไม่ใช่คนรับรอง คำที่พระคัมภีร์ตอนนี้ใช้ คำว่า ให้ดี righteousness แปลว่า ชอบธรรม สวรรค์รับรองคุณกลับมาเป็นคนที่ถูกต้องอีกครั้ง สำนวนไทยมีคำว่า ใส่ตระกร้าล้างน้ำก็ไม่หาย แต่สำหรับพระเจ้า พระองค์สามารถทำให้เราสะอาดเหมือนผ้าขาว เหมือนดั่งหิมะ
อิสยาห์ 1:18-19 18 พระเจ้าตรัสว่า “มาเถิด ให้เราสู้ความกัน ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้ม ก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดง ก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ 19 ถ้าเจ้าเต็มใจและเชื่อฟัง เจ้าจะได้กินผลดีแห่งแผ่นดิน
ถ้าเจ้าเต็มใจ และเชื่อฟัง คือคำที่บอกว่า ยอมรับการปรับปรุงแก้ไขที่มาจากพระเจ้า ไม่มีอะไรที่พระเจ้าทำไม่ได้ ความไว้ใจได้จะกลับคืนมา แม้ว่าในอดีตเราอาจจะเป็นผู้ทำลายมันไป ด้วยนิสัยบาปบางอย่างในเรา
17 เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
เราสามารถเป็นคนที่จะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง แปลว่า เราสามารถเป็นคนที่ใช้การได้ สำหรับพระเจ้า และสำหรับคนทุกคน เราจะเป็นคนที่ไว้ใจได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด อาเมน
“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์….เป็นคนที่ไว้ใจได้”
1.ตั้งเป้าที่จะเป็นคนที่ไว้ใจได้
2.สำแดงชีวิตที่ไว้ใจได้
3.เป็นคนที่ยอมรับการปรับปรุงแก้ไข