“ผู้รับใช้ที่รอนาย”
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสุนัขตัวหนึ่ง ชื่อ ฮาจิโกะ ฮาจิโกะได้พบกับเจ้านายของมันคือ เอซะบุโระ อุเอะโนะ ศาสตราจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล(มหาวิทยาลัยโตเกียวในปัจจุบัน) นับตั้งแต่มันอายุได้เพียง 2 ขวบ ทุกวันที่เจ้านายต้องไปสอนหนังสือ ฮาจิโกะจะคอยส่งเจ้านายถึงประตูหน้าบ้าน โดยอุเอะโนะต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานีชิบูยะ จากนั้นเมื่อถึงเวลาเลิกงาน 15.00 น. ฮาจิโกะก็จะมารอพบเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟเสมอ ทว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในวันที่ 21 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1925 เมื่อ ศาสตราจารย์ อุเอะโนะ เกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตก และเสียชีวิตขณะอยู่ที่มหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม ในวันนั้น ฮาจิโกะยังคงมารอเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟ โดยไม่มีทางรู้ได้เลยว่า มันจะไม่ได้พบกับเจ้านายของมันอีกแล้ว
หลังจากที่ศาสตราจารย์เสียชีวิตลง ทุกวันเมื่อถึงเวลา 15.00 น. เจ้าฮาจิโกะยังคงวิ่งไปรอเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟไม่เคยขาด ทำให้เรื่องราวความซื่อสัตย์ของมัน เริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อเรื่องราวของมันถูกตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1932 ทำให้ผู้คนทั่วสารทิศเดินทางมาดู มาเล่นกับเจ้าฮาจิโกะ นอกจากนั้น ชาวญี่ปุ่นยังได้ยกให้เจ้าฮาจิโกะเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเด็ก ๆ อีกด้วย
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1934 อันโดะ เทะรุ ศิลปินชื่อดังจึงได้ทำรูปหล่อทองแดงของเจ้าฮาจิโกะขึ้นมาเพื่อยกย่องในความซื่้อสัตย์ของมัน และนำไปตั้งไว้ที่สถานีรถไฟชิบูยะ จนในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1935 มีคนพบว่าฮาจิโกะนอนตายยังจุดที่มันคอยมารอเจ้านายของมันทุกวันมานานกว่า 10 ปี ซึ่งข่าวการตายของฮาจิโกะนั้นถือว่าเป็นข่าวใหญ่มาก จนถูกตีพิมพ์ลงบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น ซึ่งร่างของฮาจิโกะนั้นถูกนำไปเก็บรักษาเอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ในกรุงโตเกียว
พระเยซูทรงยกตัวอย่างเรื่องการรอคอยที่มีโอกาสจะได้พบกันระหว่าบ่าวที่เป็นคน กับนาย คือพระเจ้า พระเยซูทรงเสด็จมาเมื่อสองพันปีที่แล้วในฐานะของหัวหน้าผู้รับใช้ และทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ให้สอนเราถึงการเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า หน้าที่หนึ่งของการเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ก็คือการรอคอยการมาของเจ้านาย และวันหนึ่ง พระเยซูจะเสด็จมาอย่างเจ้านาย (เราอย่าสับสนกับคำที่เรียก พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือการเรียกพระเจ้าทั้งสามพระภาคที่เป็นพระเจ้าเดียว) วันนี้ ความรู้ของเราจำกัด แต่วันหนึ่ง เราจะรู้ชัดแจ้งในวันข้างหน้า
ข้าพเจ้ามักจะหยิบยกตัวอย่างเรื่อง การสื่อสารกับมด (ตัวเล็ก) หากเราต้องการจะทำให้มดเข้าใจ เราต้องเป็นมด และความเข้าใจของมดจำกัด จนกว่ามดจะมาเป็นมนุษย์ เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ กำลังสื่อสารกับเราที่เป็นมนุษย์ตัวเล็ก มีหลายสิ่งที่ถ้าพระเจ้าบอกเราหมด เราก็ไม่เข้าใจ จนกว่า เราจะรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ซึ่งพระคัมภีร์ได้กล่าวว่า วันนั้นจะมาถึง หลังจากพระเยซูเสด็จกลับมาอีก อย่างเจ้านาย ทีนี้ เราก็จะรู้แจ้ง ทุกอย่าง อย่างที่พระองค์ทรงรู้
1โครินธ์13:12 12 เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า
พระเยซูทรงตรัสสัญญากับสาวกของพระองค์ว่า พระองค์จะเสด็จกลับมาอีก
ยอห์น 14:3 3 เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะได้อยู่ที่นั่นด้วย
นี่เป็นคำเดียวกันกับที่เป็น Theme หัวข้อประจำปีของคริสตจักรเราในปีนี้ ในยอห์น 12:26
ยอห์น 12:26 ถ้าผู้ใดจะรับใช้เรา ผู้นั้นก็ต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะทรงประทานเกียรติแก่ผู้นั้น
ถ้าอย่างนั้น คริสเตียนควรจะทำตัวอย่างไร ขณะรอคอยการเสด็จกลับมาอีกครั้งของพระเยซู คำตอบคือ ทำตัวเป็นผู้รับใช้ที่รอคอยเจ้านาย พระเยซูทรงตรัสเป็นคำอุปมาในหนังสือลูกา
ลูกา 12:35-40(2011) 35 “ท่านทั้งหลายจงคาดเอวไว้ และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่36 จงเป็นเหมือนคนที่คอยรับนายของตนเมื่อนายจะกลับมาจากงานสมรส เพื่อว่าเมื่อนายมาเคาะประตูแล้วพวกเขาจะเปิดให้นายได้ทันที37 บ่าวพวกนั้นซึ่งนายมาพบว่ากำลังคอยเฝ้าอยู่ก็เป็นสุข เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายผู้นั้นจะคาดเอวไว้และให้บ่าวพวกนั้นนั่งลง และท่านจะมาปรนนิบัติ38 ถ้านายมาเวลาสองยามหรือสามยามและพบว่าบ่าวกำลังคอยเฝ้าอยู่ บ่าวพวกนั้นก็เป็นสุข39 จงเข้าใจอย่างนี้เถอะว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้ก่อนว่าขโมยจะมาเวลาไหน เขาจะตื่นอยู่และระวังไม่ให้ทะลวงบ้านของเขาได้40 พวกท่านจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา”
ทำไม เราต้องทำตัวเป็นผู้รับใช้ที่รอคอยนาย
1.ชีวิตที่พร้อม ลูกา 12:35-36
35 “ท่านทั้งหลายจงคาดเอวไว้ และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่36 จงเป็นเหมือนคนที่คอยรับนายของตนเมื่อนายจะกลับมาจากงานสมรส เพื่อว่าเมื่อนายมาเคาะประตูแล้วพวกเขาจะเปิดให้นายได้ทันที
ภาพของการคาดเอวในพระคัมภีร์เดิม หมายถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง ตอนที่โมเสสบอกกับคนอิสราเอลว่า ให้กินปัสกาในอียิปต์ เตรียมพร้อมที่จะเดินทางออกจากอียิปต์ ในคืนที่ทูตมรณะจะมาประหารบุตรหัวปีของสิ่งมีชีวิตในอียิปต์ แต่จะเว้นบ้านที่มีเลือดแกะทาที่ประตู คนที่อยู่ในบ้านที่มีเลือดทาประตูจะต้องไม่นอน แต่รอคอยสัญญาณการให้ออกเดินทาง (เมื่อฟาโรห์สั่งปล่อยคนอิสราเอล ฟาโรห์เวลานั้น มีบทบาทเป็นนาย คนอิสราเอลเป็นทาส) นี่เป็นภาพเดียวกัน ที่พระเยซูกำลังจะกลับมาอีกครั้ง เพื่อจะเป็นเจ้านายที่แท้จริงที่จะนำการปลดปล่อยของจริงมาสู่คนที่เชื่อในพระองค์
อพยพ 12:11-13 11 เจ้าทั้งหลายจงเลี้ยงกันดังนี้ คือให้คาดเอว สวมรองเท้า และถือไม้เท้าไว้ และรีบกินโดยเร็ว การเลี้ยงนี้เป็นปัสกาของพระเจ้า12 เพราะในคืนวันนั้น เราจะผ่านไปในประเทศอียิปต์ และเราจะประหารลูกหัวปีทั้งหมดในอียิปต์ทั้งของมนุษย์และของสัตว์ และเราจะพิพากษาลงโทษพระทั้งปวงของอียิปต์ เราคือพระเจ้า13 แต่เลือดที่บ้านที่เจ้าทั้งหลายอยู่นั้น จะเป็นหมายสำคัญสำหรับเจ้า เมื่อเราเห็นเลือดนั้น เราจะผ่านเว้นเจ้าทั้งหลายไป จะไม่มีภัยพิบัติบังเกิดแก่เจ้า ขณะที่เราประหารชาวอียิปต์
อีกภาพหนึ่งในพระคัมภีร์ใหม่ คือภาพของวิถีการดำเนินชีวิตขณะรอคอย อ.เปาโลได้แนะนำชาวเมืองเอเฟซัสที่ดำเนินชีวิตอยู่ในท่ามกลางคนที่เล่นไสยศาสตร์ และงมงายไปกับเวทมนต์ หมอดู หมอเดา (ล้วนมีชีวิตที่เต็มไปด้วยการหลอกลวงมากมาย) ขณะที่คริสเตียนจะต้องดำเนินชีวิตในสภาพแวดล้อมเหล่านี้ จำเป็นจะต้องใช้ความจริง ที่จะทำให้มั่นคง และไม่ถูกหลอก ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของการหลอกลวงเหล่านี้ อ.เปาโลจึงได้ให้ภาพของการสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุด แก่คริสเตียนขณะรอคอยการเสด็จมาของพระเยซูอีกครั้ง (ไม่ว่าการรอคอยนั้นจะได้พบในเวลานั้น หรือตายไปก่อนก็ตาม ก็ต้องอยู่ในสภาพของการคาดเอวตลอดเวลา) คือไม่หลงไปจากความจริงของพระเจ้า
เอเฟซัส6:14 14 เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก
ในยุคของเรามีการล่อลวงมากมายที่ทำให้เราหลงได้ง่าย โดยเฉพาะจิตใจที่ไม่ได้ฝึกให้มั่นคง มั่นใจในพระเจ้า จะถูกชักชวนให้หลงไปกับสิ่งต่างๆที่น่าจะไป
1ยอห์น 2:15-17 15 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น16 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
คำเตือนของพระคัมภีร์ตอนนี้ เป็นความจริงในยุคของเรามากๆ เราจะเห็นการยั่วยวนของโลกนี้ รุนแรง เนียน และมีไร้ความปรานี แม้แต่ผู้ทรงศีลทั้งหลายก็ตบะแตกไปไม่น้อย
ดังนั้น พระคัมภีร์จึงเตือนว่าอย่าประมาท แต่ต้องระวัง
1โครินธ์ 10:12 12 เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง
การคาดเอวด้วยความจริง การเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง ไปอีกโลกหนึ่ง จึงเป็นความไม่ประมาท ที่พระเยซูทรงยกคำอุปมาเรื่องบ่าวที่เตรียมตัวต้อนรับเจ้านาย ในเวลากลางคืน ที่ต้องตื่น ไม่หลับไหล พระคัมภีร์เปรียบการใช้ชีวิตในโลกนี้ ที่มีแต่อิทธิพลของความมืดว่า เป็นเวลากลางคืน แต่คริสเตียนคือคนของเวลากลางวัน นั่นหมายถึง ตื่น ไม่หลับไหล อย่างคนในยุคนี้ ที่กำลังหลับไหล โดยการดำเนินชีวิตด้านมืด
โรม13:11-14 11 นอกจากนี้ท่านควรจะรู้กาลสมัยว่า บัดนี้เป็นเวลาที่เราควรจะตื่นจากหลับแล้ว เพราะว่าเวลาที่เราจะรอดนั้นใกล้กว่าเวลาที่เราได้เริ่มเชื่อนั้น12 กลางคืนล่วงไปมากแล้ว และรุ่งเช้าก็ใกล้เข้ามา เราจงเลิกการกระทำของความมืด และจงสวมเครื่องอาวุธของความสว่าง13 เราจงประพฤติตัวให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน14 แต่ท่านจงประดับกายด้วยพระเยซูคริสตเจ้า และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำรุงบำเรอตัณหาของเนื้อหนัง
อาวุธของความสว่าง กับตะเกียงที่จุด คือความหมายเดียวกัน การประพฤติตัวให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน นั่นคือ ต้องไม่ใช้ชีวิตอย่างคนที่หลับไหล หลงไหลกับสิ่งที่ไร้สาระ อนิจจังทั้งหลาย อย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำรุงบำเรอตัณหาของเนื้อหนัง
นี่คือการดำเนินชีวิตที่มั่นคง…พร้อมสำหรับการเดินทาง
2.ชีวิตที่เป็นสุขและปลอดภัย ลูกา 12:37-39
37 บ่าวพวกนั้นซึ่งนายมาพบว่ากำลังคอยเฝ้าอยู่ก็เป็นสุข เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายผู้นั้นจะคาดเอวไว้และให้บ่าวพวกนั้นนั่งลง และท่านจะมาปรนนิบัติ38 ถ้านายมาเวลาสองยามหรือสามยามและพบว่าบ่าวกำลังคอยเฝ้าอยู่ บ่าวพวกนั้นก็เป็นสุข39 จงเข้าใจอย่างนี้เถอะว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้ก่อนว่าขโมยจะมาเวลาไหน เขาจะตื่นอยู่และระวังไม่ให้ทะลวงบ้านของเขาได้
จะเห็นว่า พระเยซูใช้คำว่า เป็นสุขสองครั้งในตอนนี้ นั่นหมายความว่า ขณะที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ เราสามารถอยู่อย่างมีความสุขได้ และปลอดภัยด้วย การดำเนินชีวิตอย่างคนที่ระมัดระวัง อย่างคนที่ตื่นในฝ่ายจิตวิญญาณ ไม่หลงไปกับอบายมุข ไม่อยู่ใต้อิทธิพลความมืด มุมมืดใดๆของโลกนี้ จะทำให้มีความมั่นใจว่า จะไปถึงเป้าหมายของการรอคอยคือได้พบกับบั้นปลายที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้ คือรับรางวัลของการรอคอย พระเยซูจะเสด็จมาอย่างเจ้านายก็จริง แต่พระองค์ก็ยังเสด็จมาเพื่อปรนนิบัติ ข้อนี้บอกชัดเจนเลยว่า คนที่ดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ ตอนจบ คนนั้น จะจบอย่างผู้รับการปรนนิบัติ จากพระเยซู (วีไอพี) ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ความรู้สึกของคนที่ได้พบกับพระเยซู เหมือนได้รับการปรนนิบัติ คือมีความสุขล้น ปลื้มปิติ ที่การรอคอยประสบความสำเร็จ พระเยซูจึงใช้คำว่า เป็นสุข รากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า เป็นคนที่โชคดี คนที่ได้รับพรสูงสุด Supremely blessed
อีกคำที่พระเยซูใช้ในตอนนี้ คือคำว่า ทะลวง ถึงสองครั้ง แสดงให้เห็นว่า มีอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้จากการมุ่งร้ายของศัตรู ที่เรียกว่า ขโมย พระเยซูทรงใช้คำว่า ขโมย เพื่อเรียกคนที่ไม่ใช่ผู้เลี้ยง แต่เป็นหมาป่ามาเพื่อจะฆ่าลูกแกะ คริสเตียนถูกเปรียบเทียบเป็นเหมือนลูกแกะ ที่เป็นเป้าหมายของการมุ่งร้ายจากมารร้าย ที่มาในรูปแบบต่างๆที่จะลักฆ่าและทำลาย ดังนั้น พระคัมภีร์จึงเตือนคริสเตียนให้ดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวัง
1เปโตร 5:8-9 8 ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้9 จงต่อสู้กับศัตรูนั้นด้วยใจมั่นคงในความเชื่อ เพราะว่า พวกพี่น้องทั้งหลายของท่านทั่วโลก ก็ประสบความทุกข์ลำบากอย่างเดียวกัน
นักล่า มักจะฉวยโอกาสตอนทีเผลอ คือความหมายเดียวกันกับคำที่พระเยซูทรงใช้เปรียบเทียบเรื่องการทะลวงเข้ามาอย่างขโมย ขโมยก็จะฉวยโอกาสทะลวงเข้ามาตอนเผลอก็คือตอนหลับไหล ไม่รู้สึกตัว
เมื่อวันศุกร์ สมาขิกคนหนึ่ง ขอให้อธิษฐานเผื่อ และเล่าว่า ที่ตึกที่ตนเองเช่าอยู่โดนงัดทุกชั้นทุกห้อง ยกเว้นชั้นที่เขาอยู่ ในเวลากลางวัน ช่วงบ่าย ตอนคนไม่อยู่ แต่ชั้นที่เขาอยู่ จังหวะ วันหยุดวันครู ลูกชายอยู่ที่ห้อง ห้องของพวกเขาจึงไม่ได้ล็อคจากข้างนอก ทำให้ขโมยรู้ว่า มีคนอยู่ ก็เลยรอดจากการถูกงัด ทั้งชั้น
ภาพนี้ สามารถทำให้เรามองเห็นชีวิตของคริสเตียน ที่ตื่นอยู่ในมิติฝ่ายวิญญาณ นอกจากตนเองจะอยู่เป็นสุขและปลอดภัยแล้ว ยังสามารถช่วยคนอื่นให้รอดพ้นจากอันตรายด้วยเช่นกัน
3.ได้พบกับเจ้านาย ลูกา 12:40
40 พวกท่านจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา”
สุดท้าย เวลานัดพบที่ยิ่งใหญ่กำลังใกล้เข้ามา พระเยซูทรงนัดหมายไว้ล่วงหน้าที่จะพบกับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ นัดหมายของพระเยซู คือนัดหมายอัศจรรย์ กาลเวลา และระยะทาง ยุคสมัยไม่เป็นอุปสรรคต่อนัดหมายนี้ แม้คนที่ตายไปก่อนในขณะที่รอคอย ก็จะฟื้นขึ้นมาพบกับพระเยซู
(น่าสังเกตุว่า คนที่จะฟื้นขึ้นมาได้ในนัดหมายนี้ จะต้องคาดเอว และจุดตะเกียงในขณะมีชีวิตอยู่เท่านั้น ) และคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เช่นเดียวกัน ต้องคาดเอวด้วยความจริง และจุดตะเกียง มีชีวิตที่ส่องสว่าง) ไม่ใช่เดินอยู่ในความมืด มีชีวิตอยู่ในการหลอกลวงของโลกนี้ ไม่ได้พบกับพระเยซู
พระคัมภีร์พูดชัดเจนว่า ผู้เชื่อทั้งคนตายและคนเป็นจะได้พบกับพระองค์บนท้องฟ้า ไม่ใช่บนดิน เป็นภาวะของการไม่ได้ตั้งตัว แสดงว่า ไม่มีเวลาที่จะจุดตะเกียง ไม่มีเวลาที่จะคาดเอว พระคัมภีร์ใช้คำว่า ชั่วพริบตาเดียว คือ 1 ใน 10 วินาทีเท่านั้น เร็วมาก
1โครินธ์ 15:52 52 ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีเสียงแตร และคนที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาปราศจากเน่าเปื่อย แล้วเราทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่
1เธสะโลนิกา 4:17 17หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์
คนที่รู้ตัวอีกครั้งว่าไม่ได้ถูกรับไป จะอยู่ไม่เป็นสุขแน่นอน เพราะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว่า ว่าพระคัมภีร์ตอนนี้พูดจริง เป็นจริง
มัทธิว 24:32-35 32 “จงเรียนคำเปรียบเรื่องต้นมะเดื่อ เมื่อแตกกิ่งแตกใบ ท่านก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว33 เช่นนั้นแหละ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นบรรดาสิ่งเหล่านั้นก็ให้รู้ว่า พระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว34 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนสิ่งทั้งปวงนั้นบังเกิดขึ้น35 ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย
นี่คือคำทำนายไว้ว่า เวลาที่พระเยซูจะเสด็จมาใกล้เข้ามาแล้ว และกำลังสำเร็จสมบูรณ์ในช่วงอายุของพวกเรา เราได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆมากมายเกิดขึ้นทั่วโลก รวมทั้งประเทศอิสราเอลที่สูญหายไปจากแผนที่โลก วันนี้ ปรากฏในแผนที่โลกอีกครั้ง อิสราเอลเปรียบเหมือนต้นมะเดื่อที่กำลังเติบโตแตกกิ่ง แสดงถึงเวลาของการเสด็จมาของพระเยซูใกล้เข้ามาแล้ว
“ผู้รับใช้ที่รอนาย”
1.ชีวิตที่พร้อม
2.ชีวิตที่เป็นสุขและปลอดภัย
3.ได้พบกับเจ้านาย