“ข่าวดีขึ้นอยู่กับใคร?”
ข่าวดีขึ้นอยู่กับใคร ขึ้นอยู่กับว่า คนฟังเป็นใคร อยากจะฟังอะไร คาดหวังอะไร ถ้าเป็นคนป่วยก็อยากจะฟังว่าอาการป่วยจะหายดี ถ้าเป็นคนทำมาหากินก็อยากจะฟังว่า ธุรกิจของตนเองไปโลด ถ้าเป็นนักเรียนก็อยากจะฟังผลคะแนนการสอบที่ดี ถ้าเป็นผู้ลงสมัครับเลือกตั้ง ก็อยากจะฟังผลคะแนนของตนเอง เปรียบเทียบกับคู่แข่ง ถ้าเป็นลูกจ้างก็อยากจะรับข่าวดีเรื่องเงินเดือน แม้แต่ผู้รับใช้พระเจ้าก็อยากจะเห็นแนวโน้มของคริสตจักรเติบโต ข่าวดีขึ้นอยู่กับความมุ่งหวังของแต่ละคนจะได้รับคำตอบอย่างที่คาดหวังไว้
ส่วนใหญ่แล้ว เรามักให้ความสนใจว่า ใครคือผู้ส่งข่าวดี พระคัมภีร์ที่เราจะศึกษาด้วยกันในเช้าวันนี้ ปรากฏในหนังสือ
ลูกา 4:16-18 16 แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม17 เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า 18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ
คนในธรรมศาลายื่นหนังสืออิสยาห์ให้กับพระเยซู ซึ่งมีหลายบทหลายตอน แต่พระเยซูทรงเลือกที่จะอ่านตอนนี้ เพราะนี่คือข่าวดี ข่าวที่คนอิสราเอลเมื่อสองพันปีที่แล้ว ภายใต้การปกครอง กดขี่ข่มเหงของอาณาจักรโรม คนยิวตกอยู่ในสภาพคนยากจน (จนมากๆ) เป็นเชลย คนถูกบีบบังคับ และคนที่มองไม่เห็นอนาคต (เหมือนคนตาบอด) อนาคตมืดมน สิ้นหวัง
ลูกา 4:21-22 21 พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาว่า “คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว” 22 คนทั้งปวงก็กล่าวชมเชยพระองค์ และประหลาดใจด้วยถ้อยคำอันประกอบด้วยคุณ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และว่า “คนนี้เป็นบุตรของโยเซฟมิใช่หรือ”
คำตรัสของพระเยซูคริสต์ ได้หนุนใจให้คนยิวในธรรมศาลาเวลานั้น ได้ให้ความเชื่อมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้เพื่อจะนำการปลดปล่อยมาให้กับคนอิสราเอล พระเยซูทรงรอบรู้ว่า อะไรคือข่าวดีสำหรับผู้ฟัง วันนี้ เราให้พระเยซูนำข่าวดี หรือเราเลือกที่จะให้อย่างอื่นนำข่าวดี เราเลือกที่จะฟังข่าวจากแหล่งข่าวใด Ex. หากเราฟังข่าวต่างๆด้วยใจที่วินิจฉัย วิเคราะห์ เราจะพบว่า สื่อต่างๆ พยายามจะเลือกข่าวที่คนสนใจ อยากฟัง เพื่อจะเรียกเรตติ้งให้กับสื่อของตนเอง ไม่มีสื่อไหนที่จะนำเสนอข่าวที่คนไม่อยากฟัง
น่าเสียดายที่ข่าวดี ถูกดับลงด้วยคำพูดเชิงดูถูก ดูหมิ่น “คนนี้เป็นบุตรของโยเซฟมิใช่หรือ” การมองที่อาชีพ พื้นเพการศึกษา ฐานะ ของพระเยซู ทำให้ข่าวดีถูกหยุดไว้เพียงแค่ได้ยิน แต่ไม่ไปต่อกับประสบการณ์กับพระเยซูคริสต์ผู้เป็นข่าวดี โปรดสังกตุว่า พระเยซูไม่ใช่แค่ผู้ส่งข่าวดี แต่พระองค์เป็นข่าวดี
อิสยาห์ 52:7 7 เท้าของผู้นำข่าวดีมา ก็งามสักเท่าใดที่บนภูเขา ผู้โฆษณาสันติภาพ ผู้นำข่าวดีของเรื่องดี ผู้โฆษณาความรอด ผู้กล่าวแก่ศิโยนว่า “พระเจ้าของเจ้าทรงครอบครอง”
พระคัมภีร์ได้บอกให้มองที่เท้าของผู้นำข่าวดี ไม่ใช่ให้มองที่อื่น เท้าคือส่วนที่ต่ำที่สุด แต่เป็นเท้าของผู้ที่นำข่าวดี ดังนั้น ส่วนที่ต่ำที่สุด ก็งดงามที่สุด App. วันนี้ เรากำลังมองข่าวดีที่มาจากพระเจ้าที่ไหน ในพระคัมภีร์เดิมมีบทเรียนสำหรับเราในวันนี้ เรื่องราวเกิดขึ้นในสมัยของผู้เผยพระวจนะเอลีชา ในหนังสือ 2 พงศ์กษัตริย์ 6-7 จะนำมาแต่ละชอต ของข่าวดี และข่าวร้ายในเวลาเดียวกัน
1.การฟังข่าวอย่างมีสติ 2พงศ์กษัตริย์6:8-10
8 ฝ่ายพระราชาแห่งซีเรียรบพุ่งกับอิสราเอล พระองค์ตรัสปรึกษากับข้าราชการของพระองค์ว่า “เราจะตั้งค่ายของเราที่นั่นๆ 9 แต่คนแห่งพระเจ้าส่งข่าวไปยังพระราชาแห่งอิสราเอลว่า ‘ขอพระองค์ทรงระวังอย่าผ่านมาทางนั้น เพราะคนซีเรียกำลังยกลงไปที่นั่น’ ”10 และพระราชาแห่งสราเอลทรงใช้ให้ไปยังสถานที่ซึ่งคนแห่งพระเจ้าบอกให้ ท่านเคยเตือนพระองค์ดังนี้แหละ พระองค์จึงทรงระวังตัวได้ที่นั่นมิใช่เพียงครั้งสองครั้ง
พระราชาของอิสราเอลรอดการถูกปองร้ายทุกครั้ง จนพระราชาซีเรียระแวงคนของตนเองว่า จะมีหนอนบ่อนไส้ ทำไมแผนที่วางไว้เป็นการลับจึงล่วงรู้ไปถึงอีกฝ่าย ข้าราชการของพระราชาซีเรียจึงตอบว่า
2พงศ์กษัตริย์ 6:12 12 ข้าราชการคนหนึ่งของพระองค์ทูลว่า “ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาท ไม่มีผู้ใดพระเจ้าข้า แต่เอลีชาผู้เผยพระวจนะซึ่งอยู่ในอิสราเอลทูลบรรดาถ้อยคำ ซึ่งพระองค์ตรัสในห้องบรรทมของพระองค์แก่พระราชาแห่งอิสราเอล”
แม้แต่ศัตรูก็รู้ว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้า(เอลีชา) คือคนที่ช่วยชีวิตพระราชาของอิสราเอล ข่าวดีของผู้รับใช้ สามารถหันเส้นทางให้พระราชาของอิสราเอลไปในทางที่ปลอดภัย ไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้ง แต่ความหมายของพระคัมภีร์ คือทุกครั้ง
เอลีชาเป็นผู้เผยพระวจนของพระเจ้า นั่นคือ เอลีชารับใช้พระเจ้า รับสนองคำบัญชาจากพระเจ้า เพื่อนำข่าวร้ายให้กลายเป็นดี ด้วยการเตือนพระราชา และเมื่อพระราชาเชื่อฟังผู้รับใช้ของพระเจ้า พระราชปลอดภัย แม้จะเป็นพระราชา ที่มีฐานะสูง แต่พระราชาก็มีโอกาสที่จะพลาดท่าเสียทีได้ หากพระราชไม่ฟังคำเตือน การนำที่มาจากพระเจ้า
สุภาษิต 16:32 32 บุคคลผู้โกรธช้าก็ดีกว่าคนมีกำลังมาก และบุคคลผู้ปกครองจิตใจของตนเองก็ดีกว่าผู้ที่ตีเมืองได้
หนังสือสุภาษิตบอกเราว่า การปกครองใจของตนเองได้ คือการเป็นพระราชากับใจของตนเอง การที่จะเป็นพระราชาให้กับชีวิตของตนเองได้อย่างปลอดภัย ต้องฟังได้ทั้งข่าวดีและข่าวร้าย และมีความสามารถรับมือกับทั้งสองข่าว App. มีคนไม่น้อย ชอบฟังข่าวดีอย่างเดียว รับไม่ได้กับข่าวร้าย (สิ่งที่ตนเองไม่อยากฟัง) และมักแสดงออกด้วยความโกรธ ไม่พอใจ และตอบสนองได้ไม่ดี คนที่ฟังข่าวอย่างมีสติ จะต้องหาแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ และในเวลานั้น คนของพระเจ้าน่าเชื่อถือที่สุด เพราะมีความแม่นยำ 100% ในการให้ข่าว ดูได้จากสถิติการรอดจากแผนการร้ายของพระราชาอิสราเอล ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง แต่ทุกครั้ง ทำให้อีกฝ่ายเริ่มสงสัยกันเองว่า แผนการร้ายรั่วไหลออกไปได้อย่างไร
วันนี้ เรากำลังฟังข่าวดี หรือข่าวร้าย วันนี้ เราพร้อมที่จะรับมือกับข่าวได้ทั้งสองอย่างหรือไม่ ข้าพเจ้าชอบบทเพลงหนึ่งที่ร้องว่า ทรงเปลี่ยนความเศร้าโศกและการคร่ำครวญ ให้กลายเป็นความชื่นชมยินดีและเริงรื่น นั่นคือ พระเจ้าทรงสามารถเปลี่ยนข่าวร้ายให้กลายเป็นดีได้ ผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้รับใช้ของพระคริสต์ไม่เป็นเพียงผู้ส่งข่าวดี แต่เป็นข่าวดีได้ อย่าให้เราเป็นแค่ผู้ส่งข่าวดี ในหนังสือ การเป็นสาวกอย่างถึงรากถึงโคน มีประโยคหนึ่งได้กล่าวว่า พระเจ้ามีข่าวดี และเราไม่ใช่เครื่องมือสื่อสาร แต่เราเป็นระบบสื่อสารข่าวดี นั่นหมายความว่า เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับข่าวดี เราเป็นข่าวดี เพราะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี
2.เป็นระบบส่งข่าวดี 2พงศ์กษัตริย์ 6:13-17
13 พระองค์จึงตรัสว่า “จงไปหาดูว่า เขาอยู่ที่ไหน เพื่อเราจะใช้คนไปจับเขามา” มีคนทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในโดธาน”14 พระองค์จึงทรงส่งม้า รถรบ และกองทัพใหญ่ เขาไปกันในกลางคืนและล้อมเมืองนั้นไว้ 15 เมื่อคนใช้ของคนแห่งพระเจ้าตื่นขึ้นเวลาเช้าตรู่และออกไป ดูเถิด กองทัพพร้อมกับม้าและรถรบก็ล้อมเมืองไว้ และคนใช้นั้นบอกท่านว่า “อนิจจา นายของข้าพเจ้า เราจะทำอย่างไรดี”16 ท่านตอบว่า “อย่ากลัวเลย เพราะฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา”17 แล้วเอลีชาก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเบิกตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น” และพระเจ้าทรงเบิกตาของชายหนุ่มคนนั้น และเขาก็ได้เห็นและดูเถิด ที่ภูเขาก็เต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงอยู่รอบเอลีชา
เอลีชามองเห็นตั้งแต่ต้นแล้ว่า เพราะฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา ข่าวร้ายมักจะนำไปสู่ความกลัว แต่ด้วยสายตาของคนที่มีข่าวดี ทำให้เปิดตาใจในมิติที่มองเห็นแตกต่างจากคนที่มีข่าวร้าย จากความกลัว กลายเป็นความกล้าหาญที่จะอธิษฐานสวนกระแส
ยากอบ 5:16ข …..คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล
เอลีชาไม่เพียงอธิษฐานขอการเปิดตาให้คนรับใช้ของตนเองมองเห็นในมิติที่คนธรรมดามองไม่เห็น แต่เอลีชายังอธิษฐานขอให้อีกฝ่ายมองไม่เห็น และตาบอด นอกจากเอลีชาจะไม่หนีการตามจับ เอลีชายังเผชิญหน้าและนำทางให้คนเหล่านั้นเดินตามเข้าไปในเมืองจนคนเหล่านั้นถูกจับเป็นเชลย
2พงศ์กษัตริย์ 6:19-21, 22-23
19 และเอลีชาบอกคนเหล่านั้นว่า “ไม่ใช่ทางนี้ และไม่ใช่เมืองนี้ จงตามข้ามา และข้าจะพาไปยังคนนั้น ซึ่งเจ้าแสวงหา” และท่านก็พาเขาไปกรุงสะมาเรีย20 และอยู่มาพอเข้าไปในกรุงสะมาเรีย เอลีชาก็ทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเบิกตาของคนเหล่านี้ เพื่อเขาจะเห็นได้” พระเจ้าจึงทรงเบิกตาของเขาทั้งหลายและเขาทั้งหลายก็เห็น และนี่แน่ะ เขามาอยู่กลางกรุงสะมาเรีย21 และเมื่อพระราชาแห่งอิสราเอลเห็นเขาเข้า จึงตรัสแก่เอลีชาว่า “บิดาของข้าพเจ้าจะให้ข้าพเจ้าฆ่าเขาเสียหรือ จะให้ข้าพเจ้าฆ่าเขาเสียหรือ”
22 ท่านก็ทูลตอบว่า “ขอพระองค์อย่าทรงประหารเขาเสีย พระองค์จะประหารคนที่จับมาเป็นเชลยเสียด้วยดาบ และด้วยธนูของพระองค์หรือ ขอทรงโปรดจัดอาหารและน้ำให้เขารับประทานและดื่ม แล้วปล่อยให้เขาไปหาเจ้านายของเขาเถิด”23 พระองค์จึงทรงจัดการเลี้ยงใหญ่ให้เขา และเมื่อเขาได้กินและดื่มแล้วก็ทรงปล่อยเขาไป และเขาทั้งหลายได้กลับไปหาเจ้านายของตน และพวกซีเรียมิได้มาปล้นในแผ่นดินอิสราเอลอีกเลย
ระบบสื่อสารข่าวดี สามารถเปลี่ยนข่าวร้ายให้กลายเป็นดี เปลี่ยนสถานการณ์ที่เป็นรองกลายเป็นเหนือศัตรู เปลี่ยนความกลัวให้กลายเป็นความกล้าหาญ เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นเชลย พระเยซูได้ตรัสถึงการเป็นระบบส่งข่าวดีของพระองค์เองในหนังสือลูกา
ลูกา 4:18-21 18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ 19 และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า 20 แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วทรงนั่งลง และตาของคนทั้งปวงในธรรมศาลาก็เพ่งดูพระองค์21 พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาว่า “คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว”
ทุกสายตาจ้องมองที่พระเยซูคริสต์ พระเยซูกำลังหมายถึงพระองค์เอง เป็นข่าวดี เป็นระบบส่งข่าวดี และสาวกของพระองค์ก็คือข่าวดี และเป็นระบบส่งข่าวดี อย่าให้มารซาตานมาหลอกลวงเรา ที่จะมองว่า เราเป็นเพียงแค่เครื่องมือส่งข่าวดี และในความอ่อนแอ ความผิดพลาด ความจำกัดของเรา ทำให้เรา รู้สึกว่า เรายังไม่สามารถเป็นเครื่องมือส่งข่าวได้
2ทิโมธี 2:20-21 20 ในบ้านใหญ่หลังหนึ่งๆ มิได้มีแต่ภาชนะทองและเงินเท่านั้น แต่มีภาชนะไม้และภาชนะดินด้วย บ้างก็เพื่อศิลปะ และบ้างก็สามัญ21 ถ้าผู้ใดชำระตัวให้พ้นจากสิ่งที่ไม่มีค่า เขาก็จะเป็นภาชนะที่มีค่า ซึ่งชำระให้บริสุทธิ์แล้ว เหมาะที่เจ้าของเรือนจะใช้ให้เป็นประโยชน์ พร้อมกับการดีทุกอย่าง
ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ราคา ความสูงส่ง ของภาชนะ แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่การรับการชำระ คือสิ่งที่ตัดสินการเป็นระบบส่งข่าวดีต่างหาก ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงในความบริสุทธิ์ คือการเป็นระบบส่งข่าวดีของพระเจ้า
วันนี้ สิ่งที่เห็นชัด คือระบบสามจี กำลังจะเพิ่มจีมากขึ้นเป็นสี่จี ห้าจี ทำให้เครื่องมือสื่อสารราคาถูกสามารถรับสัญญาณและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่ตัดสินคือระบบ ไม่ใช่ราคาของเครื่องโทรศัพท์ จึงทำให้มีการแข่งขันกันที่ระบบส่งสัญญาณ
ข่าวดี อาจเป็นข่าวร้าย หากคริสเตียนเป็นเพียงแค่เครื่องมือสื่อสาร ที่อาศัยระบบของโลกในการส่งข่าวดี แต่ถ้าคริสตียน คือตัวเราทุกคน รับการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างพระเยซูคริสต์เจ้า ไม่ว่าจะถูกต่อต้าน ขัดขวางอย่างไร ระบบส่งข่าวดี ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงข่าวดีที่ส่งไปได้ ยังสามารถนำทาง และเปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นอุปกรณ์ เปลี่ยนข่าวร้ายให้กลายเป็นดีได้
ให้เราสำรวจตัวเราเองว่า เรากำลังดำเนินชีวิตกับข่าวดี หรือข่าวร้าย ขึ้นอยู่กับใคร
“ข่าวดีขึ้นอยู่กับใคร?”
1.การฟังข่าวอย่างมีสติ
2.เป็นระบบส่งข่าวดี