“ผู้รับใช้ของพระคริสต์ฟื้นฟูความรักดั้งเดิม”
ความรักในโลกนี้ที่เราได้เห็นทั่วไป ได้แก่ รักของพ่อแม่ต่อลูก รักของสามีภรรยา รักอย่างพี่น้อง และรักอย่างเพื่อน ในภาษาอังกฤษมีคำว่า Everybody needs love แปลว่า ทุกคนต้องการความรัก เช่น คนเป็น…ลูกจะคาดหวังให้พ่อแม่รัก พ่อแม่คาดหวังให้ลูกรัก พี่น้องคาดหวังความรักกันและกัน พ่อแม่ก็คาดหวังให้ลูกรักกันและกัน เพื่อนก็คาดหวังความรักอย่างเพื่อน สามีภรรยาก็คาดหวังความรักจากกันและกัน แม้ว่า แต่ละคน ต่างจะพยายามทำให้อีกฝ่ายรักด้วยวิธีการต่างๆนาๆ แต่ก็ยังมีความรู้สึกลึกๆของทุกคนว่า ขอให้ได้รับความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่ใช่เพราะสวย รวย เก่ง ดี สมบูรณ์ รักอย่างที่เป็นอยู่ แม้จะไม่ดี ไม่สวย ไม่เก่ง ไม่รวย ไม่ดี ไม่สมบูรณ์ และไม่น่ารัก แต่ก็ยังรัก และนี่คือความรักที่แท้จริงในยุคของเราที่ได้จางหายไป เราได้พบเห็น ได้ยินเรื่องราวของครอบครัวที่แตกสลาย ความสัมพันธ์ที่เสียไป ความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันต่างมีเงื่อนไข มันเกิดขึ้นจากอะไร พระเยซูคริสต์เจ้าได้ตอบสาวกของพระองค์ไว้ล่วงหน้าเมื่อสองพันปีแล้วว่า
มัทธิว 24:10-14 10 คราวนั้นคนเป็นอันมากจะถดถอยไป และอายัดกันและกัน ทั้งจะเกลียดชังซึ่งกันและกันด้วย11 ผู้เผยพระวจนะปลอมหลายคนจะเกิดมีขึ้น และล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป12 ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง เพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป13 แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด14 ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า จะได้ประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง
หนังสือวิวรณ์เป็นหนังสือที่อัครทูตยอห์นได้รับนิมิตการเปิดเผยจากพระวิญญาณของพระเจ้าให้เขียนถึงอนาคตจุดจบที่จะเกิดขึ้น กับโลกนี้ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากโลกจบลง และเขียนเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นระหว่างก่อนโลกจะจบลง เกี่ยวกับคริสตจักร และคนในโลกนี้ พระเยซูคริสต์ได้ตรัสไว้กับสาวกของพระองค์ล่วงหน้าด้วยเช่นกัน ในหนังสือมัทธิว
พระเยซูทรงใช้คำว่า ความรัก (อากาเป้) แปลว่า ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และถูกใช้ในหนังสือวิวรณ์ร่วมกับคำว่า ความรักดั้งเดิม (First Love) รักครั้งแรก ไม่ได้หมายความว่า มีครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ แต่หมายถึงความรักเดียวที่เป็นรักแท้ เป็นความรักพื้นฐานของความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา รักอย่างพ่อแม่รักลูก รักอย่างพี่น้อง รักอย่างเพื่อน ต่างต้องการความรักพื้นฐานนี้ รักอย่างไม่มีเงื่อนไข และเป็นความรักที่ทุกคนต้องการ Everybody needs love(First Love)
มัทธิว 24:4-8 4 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง5 ด้วยว่าจะมีหลายคนมา ต่างอ้างนามของเราว่าตัวเขาเป็นพระคริสต์ เขาจะให้คนเป็นอันมากหลงไป6 ท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังไม่มาถึง7 เพราะ ประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ 8 เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก ซึ่งต้องมีมาก่อนกำเนิดยุคใหม่
ก่อนกำเนิดยุคใหม่ คือเรื่องเดียวกันกับหนังสือวิวรณ์ หนังสือวิวรณ์ได้เริ่มต้นด้วยการเตือนคริสตจักรเจ็ดแห่ง ซึ่งมีเจ็ดลักษณะที่เด่นๆ ในทางที่ดี และไม่ดี ได้รับทั้งคำชม และคำติ คริสตจักรแรกที่ถูกกล่าวถึง คือ คริสตจักรเมืองเอเฟซัส เมืองเอเฟซัสเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยรูปเคารพ และหนังสือเอเฟซัสที่อ.เปาโลเขียนจดหมายถึง ก็ถูกเตือนในบทที่ 6 เกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่างสามีภรรยา พ่อแม่ลูกและความสัมพันธ์ของการทำงานเป็นทีม (ในยุคนั้น ใช้คำเรียกว่า นายกับบ่าว (ทาส))
เอเฟซัส5:22 22 ฝ่ายภรรยา จงยอมฟังสามีของตน เหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า
เอเฟซัส5:25 25 ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร
เอเฟซัส 5:33 33 ถึงอย่างไรก็ดี ท่านทุกคนจงต่างก็รักภรรยาของตนเหมือนรักตนเอง และภรรยาก็จงยำเกรงสามีของตน
เอเฟซัส 6:1 1 ฝ่ายบุตรจงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้นเป็นการถูก
เอเฟซัส 6:4 4 ฝ่ายท่านผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ แต่จงอบรมบุตรด้วยการสั่งสอน และการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เอเฟซัส 6:5 5 ฝ่ายพวกทาส จงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายฝ่ายโลกด้วยใจเกรงกลัวจนตัวสั่น ด้วยน้ำใสใจจริงเหมือนที่กระทำแก่พระคริสต์
เอเฟซัส 6:99 ฝ่ายนายจงกระทำต่อทาสในทำนองเดียวกัน คืออย่าขู่เข็ญเขาเพราะท่านก็รู้แล้วว่า พระองค์ผู้ทรงเป็นนายของเขาและของท่านนั้นอยู่ในสวรรค์ และพระองค์ไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใดเลย
จะเห็นว่า ความสัมพันธ์ทุกความสัมพันธ์ ล้วนอยู่บนพื้นฐานของความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข อากาเป้ หนังสือเอเฟซัสใช้คำว่า รักอย่างไม่มีเงื่อนไข แม้จะอยู่ในบทบาทที่แตกต่างกัน ต่างก็ต้องแสดงออกบนพื้นฐานของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข นี่คือคำเตือนคริสตจักในเมืองเอเฟซัสในยุคสองพันปี และคำเตือนล่วงหน้าหลังจากสองพันปี ปรากฏอยู่ในหนังสือวิวรณ์
วิวรณ์ 2:4 4 แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้าง คือว่าเจ้าละทิ้งความรักดั้งเดิมของเจ้า
รักดั้งเดิม รักครั้งแรก รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ถูกทอดทิ้ง ตามคำพยากรณ์ในหนังสือวิวรณ์ พระเยซูทรงเตือนไว้ล่วงหน้าว่าความรักของคนจะเยือกเย็นลง คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข จะจางหายไปในคนส่วนใหญ่ คำเตือนในหนังสือวิวรณ์คือการบอกว่า คริสตจักรก็จะพบกับอิทธิพลของความรักที่เยือกเย็นลงของคนส่วนใหญ่ แต่…คริสตจักรจะต้องหันกลับมาฟื้นฟูความรักดั้งเดิมนี้
ข้าพเจ้ามักจะพูดกับพี่น้องบ่อยๆว่า ถ้าพระเจ้าเตือน จงดีใจเถิดว่า ยังมีความหวัง แต่ถ้าพระเจ้าเงียบ แสดงว่า สิ้นหวัง หมดหนทางเยียวยา และในหนังสือวิวรณ์ตอนนี้ คือทำนองเดียวกันว่า ยังมีความหวังสำหรับคริสตจักรเอเฟซัส คริสตจักรในกรุงเทพอย่างเรา ก็มีสภาพแวดล้อมเหมือนคริสตจักรเมืองเอเฟซัส คือเต็มไปด้วยรูปเคารพ คนในเมืองก็มีความสัมพันธ์กันแบบสามีภรรยา พ่อแม่ลูก เจ้านายลูกน้อง พี่น้อง และเพื่อน อยู่กันเต็มไปหมด มีพฤติกรรมก็คล้ายกับคนในยุคนั้น และที่สำคัญ ต่างต้องการความรักพื้นฐาน สำหรับความสัมพันธ์ทุกอย่าง
วันนี้ เรากำลังต้องการความรักพื้นฐาน ที่หายไปกลับคืนมา มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า เมื่อใดที่เรากำลังหาเหตุผลที่จะรัก แสดงว่า เราหมดรักไปแล้ว หรือเราไม่รู้สึกรัก ไม่อยากสัมพันธ์ นั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกว่า ความรักของเรากำลังเหมือนความรักของคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ คือความรักที่เยือกเย็นลง แปลว่า ความรักพื้นฐาน (ดั้งเดิม) หายไป กลายเป็นรักสนุกอย่างเดียว
2ทิโมธี 3:1-9 1 แต่จงเข้าใจข้อนี้ คือว่าในสมัยจะสิ้นยุคนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค2 เพราะมนุษย์จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน เย่อหยิ่ง ยโส ชอบด่าว่า ไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา อกตัญญู ไร้ศีลธรรม3 ไร้มนุษยธรรม ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี4 ทรยศ มุทะลุ หัวสูง รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า5 ถือศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ คนเช่นนั้นท่านอย่าคบ6 เพราะในบรรดาคนเหล่านั้น มีคนที่แอบไปตามบ้าน แล้วลวงหญิงที่เบาปัญญาหนาด้วยบาป และหลงใหลไปด้วยตัณหาต่างๆ ไปเป็นเชลย7 หญิงพวกนี้จะฟังทุกคนที่พูด แต่ไม่อาจที่จะเข้าถึงหลักแห่งความจริงได้เลย8 ยันเนสกับยัมเบรส์ได้ต่อต้านโมเสสฉันใด คนเหล่านี้ก็ต่อต้านความจริงฉันนั้น เขาเป็นคนใจทราม และในเรื่องความเชื่อนั้นเขาใช้ไม่ได้เลย9 แต่เขาจะไปได้ไม่กี่น้ำ เพราะความโง่ของเขาจะปรากฏแก่คนทั้งปวง เช่นเดียวกับความโง่ของชายสองคนนั้น
รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า ความรักที่ใช้ใน 2 ทิโมธีข้อที่ 12 นี้ใช้คำว่า ฟิเลโอ้ คนในยุคสุดท้ายจะรักโลก(รักสนุก) เป็นมีโลกนี้เป็นเพื่อนคือชักนำไปกับค่านิยมของโลกนี้ด้วยกิเลศตัณหาของตาและเนื้อหนัง ลาภยศสรรเสริญ และจะมีคริสเตียนไม่น้อยที่รักสนุกมากว่ารักพระเจ้า นี่คือความจริงที่พระเยซูทรงเตือนคริสตจักรในยุคสุดท้าย ที่ปรากฏในหนังสือวิวรณ์
คำพยากรณ์เกี่ยวกับยุคสุดท้ายใกล้เรามาก ถึงขนาดบางคนเรียกยุคของเราว่าเป็นยุคสุดท้าย เพราะสิ่งเหล่านี้ เด่นชัดมาก และเกิดขึ้นเด่นชัดในคริสตจักร นั่นหมายถึง คริสตจักรรับอิทธิพลของโลกเข้ามามาก ในหนังสือ2 ทิโมธีตอนนี้ ได้กล่าวถึง ยัมเนส และยัมเบรส์ ที่ต่อต้านโมเสส เป็นเหตุการณ์ของการประลองกัน ระหว่างไม้เท้าของอาโรนกับไม้เท้าของสองคนนี้ที่เป็นนักเล่นวิทยากล ทั้งเรื่องภัยพิบัติที่เลียนแบบ แต่สุดท้าย ไม้เท้าของอาโรนที่กลายเป็นงูก็กลืนไม้เท้าของสองคนนี้ที่แปลงเป็นงูเช่นกัน หนังสือ 2 ทิโมธีได้กล่าวถึงสองคนนี้เป็นภาพของคนลักษณะในยุคสุดท้ายที่เหมือนสองคนนี้ในด้านความเชื่อ และความโง่ในการต่อต้านโมเสส โดยขาดการแยกแยะว่า อะไรดีหรือชั่ว เลียนแบบได้เหมือนเท่านั้น แต่ไม่ใช่ของแท้ ซึ่งเป้าหมายของการยกตัวอย่างของสองคนนี้ ก็เพื่อจะเปรียบเทียบคนในยุคสุดท้าย ที่เข้ามาในคริสตจักรก็จะต้องถูกพิสูจน์ความเชื่อของแต่ละคน
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ความรักไม่เป็นนามธรรม แต่เป็นรูปธรรม นั่นหมายความว่า ความรัก ต้องแสดงออก พูดอย่างเดียวไม่ได้
1ยอห์น 3:18 ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง
คำว่า รัก ที่ใช้ในข้อนี้ก็คือรักอย่างอากาเป้ แม้แต่รักอย่างอากาเป้ ก็ยังถูกนำมาใช้พูด แต่ไม่ได้แสดงออกในการกระทำ เราจะเห็นว่า อิทธิพลของความรัก(อากาเป้) เยือกเย็นลง ได้แผ่กว้างไปจริงๆ แม้แต่ในคริสตจักร มันก็เข้ามา คริสตจักรต้องเป็นที่ที่ดำรงและรักษาความรักอย่างอากาเป้ไว้ให้ถึงที่สุด
จำเป็นที่เราจะต้องฟื้นฟูความรักดั้งเดิม นั่นหมายความว่า จากไม่มี ให้กลับมามีขึ้นมาใหม่ สังคมของเราขาดความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ให้เราหันกลับมาสำรวจมองดูความสัมพันธระหว่างกัน ว่า เรารักกันเพราะอะไร เรากำลังทำอะไรเพื่อจะฟื้นฟูความรักดั้งเดิม หรือเรากำลังเพิกเฉย และเย็นชาลงไปเรื่อยๆ โดยการเรียกร้องความรักที่มีเงื่อนไขเช่น ที่ไม่รักเพราะเธอไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ นี่คือการเรียกร้องความรักที่มีเงื่อนไข และเป็นบทสรุปได้เลยว่า ไม่มีความรักอย่างอากาเป้ ไม่ต้องการความรักอย่างอากาเป้
ทุกวันนี้ คนมากมายกำลังแสดงหาความรักที่มีเงื่อนไข ขออย่าให้คริสตจักรของเราเป็นเหมือนคริสตจักรเอเฟซัสในหนังสือวิวรณ์ ที่ได้ละทิ้ง คือไม่สนใจความรักดั้งเดิม รักอย่างอากาเป้
แต่ให้เรากลับมาสนใจ ใส่ใจ พัฒนา แสวงหา ช่วยกันฟื้นฟู ความรักอากาเป้ ให้เป็นความรักพื้นฐานของทุกความสัมพันธ์ เมื่อเรามีความรักพื้นฐานนี้ ไม่ยากที่เราจะรักสามี ภรรยา พ่อแม ลูก พี่ๆน้องๆ คนรอบข้างได้อย่างสนิทใจ
1ยอห์น 13:34-35 34 เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น35 ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา”
พระเยซูใช้คำว่า อากาเป้ รักกันและกัน ด้วยความรักพื้นฐาน รักดั้งเดิม อากาเปโอ จงรักอย่างไม่มีเงื่อนไข จงรักกันและกัน สามี ภรรยา จงรักกันด้วยความรักอากาเปโอ้ พ่อแม่ จงรักลูกด้วยความรักอากาเปโอ้ พี่น้องจงรักกันอย่างอากาเปโอ้ เพื่อนจงรักเพื่อนอย่างอากาเปโอ้
สุดท้ายนี้ จะปิดจบด้วยคำถามที่พระเยซูถามเปโตรว่า เจ้ารักเราหรือ พระเยซูถามด้วยคำว่า อากาเปโอ้ และเปโตรตอบพระเยซูว่า รักพระองค์อย่าง ฟิเลโอ้ (อย่างเพื่อน) พระเยซูถามสามครั้ง อากาเปโอ้ ๆๆ เปโตรก็ตอบสามครั้ง ฟิเลโอ้ ๆๆ และพระเยซูทรงพยากรณ์เกี่ยวกับเปโตรว่า วันหนึ่ง เปโตรจะแสดงความรักอย่างอากาเปโอ้ แน่นอน เพราะว่าเปโตรติดตามพระเยซูอย่างเพื่อน รักอย่างอากาเปโอ้ ไม่มีวันเข้าใจและตอบได้ จนกว่าการดำเนินชีวิตของเราจะเป็นเพื่อนกับพระเยซู
ยอห์น 15:12-14 12 “พระบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน13 ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน14 ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามที่เราสั่งท่าน ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา
รักอย่างอากาเปโอ้ จะเกิดขึ้นเมื่อเราเชื่อฟังและทำตาม เราจะเข้าใจความเป็นเพื่อนและรักอย่างอากาเปโอ้จะเกิดขึ้น เพราะเป็นรักที่เราสร้างขึ้นมาเองไม่ได้ แต่เป็นรักที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่คนที่เป็นเพื่อนกับพระเยซูเท่านั้น
ยอห์น 15:15-17 15 เราจะไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว16 ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน17 สิ่งที่เราสั่งท่านทั้งหลายไว้ก็คือ ท่านจงรักกันและกัน
ให้เราถามตัวเราเองว่า เรากำลังเป็นเพื่อนกับโลกนี้ หรือเป็นเพื่อนกับพระเจ้า
รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะสำรวจตนเอง และฟื้นฟูความรักดั้งเดิมที่หายไปกลับคืนมา ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ลูกา 13:23-30 23 มีคนหนึ่งทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า คนที่รอดนั้นน้อยหรือ” พระองค์ตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า24 “ท่านทั้งหลายจงเพียรเข้าไปทางประตูคับแคบ เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า คนเป็นอันมากจะพยายามเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้25 เมื่อเจ้าบ้านลุกขึ้นปิดประตูแล้ว และท่านทั้งหลายยืนอยู่ภายนอกเคาะที่ประตูว่า ‘นายเจ้าข้า ขอเปิดให้ข้าพเจ้าเถิด’ และเจ้าบ้านนั้นจะตอบท่านทั้งหลายว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้าว่ามาจากไหน’26 ขณะนั้นท่านทั้งหลายจะว่า ‘ข้าพเจ้าได้กินได้ดื่มกับท่าน และท่านได้สั่งสอนที่ถนนของพวกข้าพเจ้า’27 เจ้าบ้านนั้นจะว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้าว่ามาจากไหน เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’28 เมื่อท่านทั้งหลายจะเห็นอับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และบรรดาผู้เผยพระวจนะในแผ่นดินของพระเจ้า แต่ตัวท่านเองถูกขับไล่ไสส่งออกไปภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน29 จะมีคนมาจากทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ จะมาร่วมสำรับในแผ่นดินของพระเจ้า30 และดูเถิด จะมีผู้ที่เป็นคนสุดท้ายกลับเป็นคนต้นและผู้ที่เป็นคนต้นกลับเป็นคนสุดท้าย”
“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…จง….ฟื้นฟูความรักดั้งเดิม”