“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…มุ่งหาความรักและการเผยพระวจนะ”
มีเรื่องเล่าว่าผู้จัดการฝ่ายตลาดคนหนึ่ง
ต้องการหาตลาดรองเท้าแห่งใหม่ จึงส่ง
พนักงานขายเข้าไปสำรวจตลาดในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
พนักงานขายคนนั้นบอกว่า หมู่บ้านนี้
ไม่มีใครใส่รองเท้าเลยขืนเอาไปขายก็เจ๊งแหงๆ
หยุดความคิดที่จะไปขายรองเท้าในหมู่บ้านแห่งนั้นเถอะ
ผู้จัดการฝ่ายขายจึงส่งคนที่สองไปสำรวจตลาดบ้าง
คนที่สองกลับมารายงาน บอกโอ้โหผู้จัดการ
เรารวยไม่รู้เรื่องแน่ๆ เพราะคนในหมู่บ้านแห่งนั้น
ไม่มีใครใส่รองเท้าเลย ถ้าเราสอนให้เขาใส่รองเท้า
เรายึดตลาดขายรองเท้าในหมู่บ้านแห่งนั้นได้แน่
ไอ้คนแรกคือพวก Quitter
แต่คนที่สองเป็นพวก Climber
ถ้าท่านเป็นผู้จัดการท่านเลือกคนไหน
เลือกคนแรกไปฝังดิน เลือกคนที่สองไปใช้งาน
. . .
หากแบ่งคนตามความมุ่งหวังของชีวิต
จะมีคน 3 ประเภทที่มีวิถีชีวิตที่ต่างกัน
– พวก Quitter มุ่งหวังในปัจจัยสี่
ชอบใช้คำพูดเชิงปฏิเสธ
เช่น คงทำไม่ได้หรอก มันยากเกินไปที่จะทำ
ทำไมเราต้องเหนื่อย อยู่เฉยๆ ดีกว่า
– พวก Climber ชีวิตจะเต็มไปด้วยพลัง มีวิสัยทัศน์
ท้าทายและยินดียอมรับกับความเปลี่ยนแปลง
คำพูดที่ใช้ เช่น ลองทำดูมันมีโอกาสที่จะเป็นไปได้
– พวก Camper คือประชากรส่วนใหญ่ในโลกนี้
คือ สู้เหมือนกันแต่ท้ายที่สุดขออยู่สบายๆ ดีกว่า
ชอบใช้คำพูดในลักษณะประนีประนอม
เช่น จะลองทำดูแต่ไม่ค่อยแน่ใจนะ
พระคัมภีร์สอนเราให้เป็น Climber เป็นนักไต่เขา สู้แรงต้าน โดยเฉพาะแรงของตนเอง ที่เป็นความจำกัดของมนุษย์ทุกคน
1โครินธ์13:12-13 12 เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า13 ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
พระคัมภีร์โครินธ์บทที่ 13 จบที่ข้อ 13 ด้วยคำว่า แต่ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด และไปต่อในบทที่ 14 ด้วยข้อ 1 ด้วยคำว่า….
1โครินธ์ 14:1 1จงมุ่งหาความรัก และขวนขวายของประทานฝ่ายพระวิญญาณด้วยความจริงใจ เฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ
คนในโลกนี่ มุ่งหา ความเชื่อ ความหวัง และความรัก สามอย่างนี้อยู่ในชีวิตของทุกคน คนที่ไม่มุ่งหาสามสิ่งนี้ คือคนตายเท่านั้น
พระคัมภีร์ได้บอกว่า ในการมุ่งหาสามสิ่งนี้ของมนุษย์ทุกคน มีความจำกัด คือ การมองไม่ชัด รู้ไม่หมด พระคัมภีร์ใช้คำว่า ความรู้ของเราไม่สมบูรณ์ ดังนั้น เราจึงสะเปะสะปะ ไล่ล่าสิ่งต่างๆแล้วแต่ว่าอารมณ์ของเราแบบไหนจะพาไป ตามความเชื่อและความคาดหวังที่เราได้รับข้อมูลมา
ในยุคของเราในวันนี้ จะเห็นว่า พอมีอะไรลงในโซเชียลมีเดียหน่อย คนก็จะแห่กันไปไล่ล่าตามกระแส จนมีคำเตือนว่า อย่าเชื่อไปทุกอย่างที่อยู่ในโลกโซเชียล เพราะว่ามีคนหาประโยชน์ด้วยการหลอกลวงก็มาก เพราะรู้ว่า มีคนประเภท ตื่นกระแส และมีนิสัยไล่ล่า อย่างเช่น
เรื่องกินก็ไปแสวหาของกิน เรื่องคดีดังก็ไปไล่ล่าหาข้อมูลกัน เรื่องของใครถูกลงในโซเชียล คนนั้นกลายเป็นเหยื่อของการไล่ล่าจากนักล่าในอินเตอร์เน็ต นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์เรียกว่า ความรู้ของเราไม่สมบูรณ์ ทำให้เราเต้นไปตามกระแสความเชื่อ และความหวัง อย่างคนที่ขาดความรัก จนมีคำพูดหนึ่งกล่าวถึงพฤติกรรมของคนในโลกโซเชียลว่า เป็นศาลเตี้ย ตัดสินคนอย่างไร้ความปรานี (เพราะความรู้ไม่สมบูรณ์ พอรู้อะไรนิดอะไรหน่อย ก็ตัดสินวิพากษ์วิจารณ์กันจนเละ คนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถูกเหยียบจมดิน ไม่มีที่ยืนในสังคม
พระคัมภีร์ได้สอนหลักในการดำเนินชีวิตมานานนับพันปี และยังทันสมัย นั่นคือ ขอให้คนของพระเจ้า จงมุ่งหาความรัก และขวนขวายหาของประทานการเผยพระวจนะ (เพราะความรู้ของเราไม่สมบูรณ์ สายตาของเรามัวๆ จำเป็นที่เราจะต้องพึ่งพาการเปิดเผยจากพระเจ้า)
มุมมองของพระเจ้าเป็นแบบเฮลิคอปเตอร์วิว คือมองเห็นไกลและชัดเจน ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่มุมมองของเราเป็นแค่ภาคพื้นดิน เรามองไม่เห็นอนาคตที่เป็นเหมือนมีภูเขาบังเราอยู่ตรงหน้า เพราะฉะนั้น อย่าให้เราเป็นนักไล่ล่า ตามความเชื่อและตามความคาดหวังแบบไม่ชัดเจน แบบมั่วๆ มีสิ่งเดียวที่เราจะไล่ล่าได้ ก็คือ ความรัก (อย่างไม่มีเงื่อนไข)
ในหนังสือ 1โครินธ์ตอนนี้ได้ใช้ประโยคประกอบไปด้วยคำที่เฉพาะเจาะจงมาเชื่อมต่อกัน นั่นคือคำว่า จงมุ่งหาความรัก คำว่า มุ่ง ภาษากรีก แปลว่า ไล่ล่า แสวงหา เป็นคำของนักล่า Persecutor โดยเฉพาะล่าเพื่อจะข่มเหง คนที่มีเป้าหมายแสวงหา ล่าเพื่อจะข่มเหง จะมองหาทุกช่องทาง ทุกวิธีการที่จะได้ตัวคนที่เขาต้องการจะข่มเหง อ.เปาโลเป็นผู้เขียนหนังสือโครินธ์เล่มนี้ ในอดีต อ.เปาโลคือผู้ไล่ล่าคริสเตียนเพื่อจะจับคริสเตียนมาบีบบังคับให้เลิกติดตามพระแยซู แต่เปาโลกลับกลายต้องเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียนเสียเอง เพราะพระเยซูได้มาปรากฏกับเปาโลจนเปาโลตาบอด เปาโลเปลี่ยนมาเป็นคนที่มุ่งโอกาสที่จะรักโดยไม่มีเงื่อนไข แทนการมุ่งหาโอกาสที่จะข่มเหงคริสเตียน เปาโลขวนขวาย (ร้อนรน)ในการแสวงหาของประทานการเผยพระวจนะ ของประทานการเผยพระวจนะไม่ใช่การรู้อนาคต เหมือนหมอดู แต่ของประทานการเผยพระวจนะ คือ ความเข้าใจในพระคัมภีร์ การนำความเข้าใจนั้นมาเทศนา สั่งสอน ความเข้าใจในการอธิษฐาน ความเข้าใจในการนมัสการ แม้กระทั่งความเข้าใจจนแต่งเป็นเพลงบทใหม่ ซึ่งของประทานนี้ เป็นสิ่งที่เราควรจะขวนขวายมากกว่าสิ่งอื่นใด
ยอห์น 13:34-35 34 เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น35 ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา”
คำว่า รัก ที่พระเยซูใช้คือคำเดียวกันกับที่เปาโลใช้ในหนังสือโครินธ์ รักกันและกันอย่างที่พระองค์ทรงรักสาวก คือการมอบชีวิตของพระองค์ ตายแทนคนที่พระองค์ทรงรัก
ยอห์น 15:13 13 ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน
วันนี้ ข้าพเจ้าได้เขียนสูจิบัตรในห้วข้อที่ชื่อว่า “เราจะรักกันได้อย่างไร?” ควรเป็นคำถามที่เราจะต้องถามตัวเอง ถามกันและกัน นื่คือหนึ่งในคำถามของการมุ่งหาความรัก แต่ในความเป็นจริง เรากลับพบว่า เรามักจะดำเนินชีวิตตรงกันข้าม คือเรามุ่งที่จะหาทางแสดงออกถึงการที่จะเกลียดกันละปฏิเสธกันและกันตลอดเวลา เรากำลังไล่ล่าผิดทิศผิดทางกับที่พระเยซูต้องการให้เราไป
เรากำลังจัดตัวเราเองอยู่ในกลุ่มคนที่นักจิตวิทยาเรียกว่า พวก Quitter แปลว่า พวกถอดใจ และถอนตัว
มุ่งหวังในปัจจัยสี่
ชอบใช้คำพูดเชิงปฏิเสธ
เช่น คงทำไม่ได้หรอก มันยากเกินไปที่จะทำ
ทำไมเราต้องเหนื่อย อยู่เฉยๆ ดีกว่า
หรือเป็นอีกประเภทคือ พวก Camper คือประชากรส่วนใหญ่ในโลกนี้
คือ สู้เหมือนกันแต่ท้ายที่สุดขออยู่สบายๆ ดีกว่า
ชอบใช้คำพูดในลักษณะประนีประนอม
เช่น จะลองทำดูแต่ไม่ค่อยแน่ใจนะ
“เราจะรักกันได้อย่างไร?” คือวิถีคิดอย่างพวก Climber นักไต่เขา เป็นพวกที่สู้กับแรงโน้มถ่วงของโลก
ชีวิตจะเต็มไปด้วยพลัง มีวิสัยทัศน์
ท้าทายและยินดียอมรับกับความเปลี่ยนแปลง
คำพูดที่ใช้ เช่น ลองทำดูมันมีโอกาสที่จะเป็นไปได้
1โครินธ์ 14:1 1จงมุ่งหาความรัก และขวนขวายของประทานฝ่ายพระวิญญาณด้วยความจริงใจ เฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ
พระคำตอนนี้ บ่งบอกลักษณะที่ควรเป็นของคริสเตียนสามอย่าง คือ เป็นนักไล่ลา นักขวนขวาย และนักรู้
1.นักไล่ล่า…ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข Hunting…Unconditional Love 1โครินธ์ 14:1ก
1จงมุ่งหาความรัก….
สำนวนไทย เรียกนักรัก แปลว่า คนเจ้าชู้ บางคนก็ให้นิยามใหม่ คือ เป็นที่รักเป็น รู้จักเอาใจ รู้จักรัก เพื่อจะลบความหมายที่ไม่ดีของคำว่า นักรัก แต่ภาษาอังกฤษก็ยังคงให้ความหมายของความจริงคือ นักรักหมายถึงคนเจ้าชู้ นักรักแตกต่างจากนัไล่ล่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไข นักรัก
มักจะมีเงื่อนไขที่จะรัก คือสวยหล่อ เก่ง ถูกใจ พอใจ แต่นักไล่ล่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไข คือลักษณะของคนที่มีความชัดเจนที่จะยอมทนทุกข์เพื่อคนอื่น ที่พระคัมภีร์กล่าวถึงตรงนี้ เราต้องเข้าใจในบริบทของวัฒนธรรมภาษากรีกของคนในยุคนั้น ไม่ใช่ตีความตามภาษาของคนไทยเรา ความรักในภาษากรีกตอนนี้ใช้คำวา อากาเป้ คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่ใช่ความรักอย่างพ่อแม่รักลูก ไม่ใช่ความรักของคนหนุ่มสาว ไม่ใช่ความรักอย่างเพื่อน
ยอห์น 15:13-15 13 ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน14 ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามที่เราสั่งท่าน ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา15 เราจะไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของการเป็นนักไล่ล่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไข คือมุ่งที่จะสร้างความสัมพันธ์ ส่งต่อความสัมพันธ์ที่ดี มีทัศนคติที่ดี สร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้น ให้ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เป็นผู้สื่อสารที่นำข่าวสารของพระเจ้ามาสู่ทุกคน ด้วยความสัมพันธ์อย่างเพื่อน เพื่อนยอมรับกันและกัน ไม่ใช่บีบบังคับ
ให้เราถามตัวเราเองว่า เราตั้งเงื่อนไขเรื่องอะไรบ้าง ในการที่จะสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ต้องดี ต้องพอใจ ต้องได้อย่างใจ ต้องไม่ทำให้รู้สึกเซ็ง รู้สึกเบื่อ ต้องอย่างโน้นนี้นั้น ต้องเหมือน ต้องเห็นด้วย ต้องตามใจ ต้องได้อย่างไร เรากำลังเป็นนักไล่ล่าความรักที่มีเงื่อนไขอยู่หรือเปล่า
แต่ผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่นักไล่ล่าความรักที่มีเงื่อนไข เรากำลังมุ่งหาความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่ใช่กับคนอื่น แต่ภายในตัวเราเอง
1โครินธ์ 13:4-7 4 ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง5 ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด6 ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ 7 ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง
สังเกตุว่า นิยามของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เริ่มต้นที่คำว่า อดทนนาน และจบลงที่ ทนต่อทุกอย่าง นักไล่ล่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ต้องฝึกอดทน ถ้าไม่ฝึกอดทน เราก็ไม่สามารถที่จะเป็นสาวกของพระเยซูได้
ยอห์น 13:34-35 34 เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น35 ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา”
2.นักขวนขวาย…ของประทานฝ่ายวิญญาณ Seeking…Spiritual Giftedness 1โครินธ์ 14:1ข
1…และขวนขวายของประทานฝ่ายพระวิญญาณด้วยความจริงใจ….
คริสเตียนต้องเป็นนักขวนขวายของประทานต่างๆ คือการค้นหาที่พบความสามารถของตนเองที่พระเจ้าประทานให้ ของประทานที่มาจากพระเจ้า เพื่อจะใช้เสริมสร้างคริสตจักรให้แข็งแรง ดังนั้น งานรับใช้ในคริสตจักรต่างๆคือการค้นหาว่าตนเองถนัดอะไร ในขณะที่รับใช้
เมื่อข้าพเจ้ายังสาวๆ ทำงานข้างนอก กับบริษัท บางแห่งก็มาขอให้ทำงานถึงบ้าน ข้าพเจ้าถามเขาว่า ทำไม เขาบอกว่า เขาเห็นข้าพเจ้ารับใช้ในโบสถ์ แล้ว เหมาะมากที่จะมาทำงานให้กับบริษัทของเขา (นี่เป็นคริสเตียนด้วยกัน) ส่วนที่ไม่ใช่คริสเตียน เขาอยากให้ข้าพเจ้าทำงานด้วย เพราะความเป็นคริสเตียน ของข้าพเจ้า เขาอยากได้ เพราะว่า ความสามารถของคริสเตียนคือการพูดถึงสิ่งที่มองไม่เห็นให้คนเชื่อ ดังนั้น งานที่เขาต้องการให้ข้าพเจ้าทำ คือขายประกัน หมาะมาก ส่วนอีกคน อยากได้คริสเตียนอย่างข้าพเจ้า เพราะว่า ไว้วางใจได้ บ้างานพระเจ้า รับใช้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะฉะนั้น เหมาะมากที่จะทำงานให้กับเขา
ยังมีอีกเยอะ เช่น ขณะทำงาน ได้ใช้ของประทานในการพูดกับลูกน้อง เอาลูกน้องอยู่ทุกคน จนอีกโรงงานหนึ่งมาขอตัวไปพูดกับคนงานหลายร้อยคน เพราะเขารู้ว่า พูดอย่างนี้ คนงานฟัง ของประทานในการพูดนี้ ฝึกที่ไหน ก็ที่โบสถ์ ในการรับใช้ ในการประกาศ เป็นพยาน พูดหนุนใจ พูดให้คนเข้าใจ สิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้าทำในขณะรับใช้เป็นฆารวาส ยังไม่เป็นศิษยาภิบาลอย่างทุกวันนี้
ของประทานของพระเจ้า ส่งผลพลอยได้ให้กับข้าพเจ้าในการทำงานในโลกข้างนอกได้ดี ข้าพเจ้าอยากหนุนใจให้พี่น้องเป็นนักขวนขวายของประทานที่มาจากพระเจ้า ใช้ของประทานนี้กับคริสตจักร แล้วเราไม่ต้องกังวลเลย
มัทธิว 6:33 33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้
นักไล่ล่าของประทานจากพระเจ้า พระเจ้าจะเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวง ให้ ขนาดของ ความสามารถของประทานที่พระเจ้าจะเพิ่มเติมให้ ไม่ต้องกังวลว่า จะสู้คนอื่นไม่ได้ ดูซาโลมอนเป็นแบบอย่าง ซาโลมอนใส่ใจอันดับแรก คือปัญญาจากเบื้องบน เพื่อจะรับใช้ประชาชนคนของพระเจ้า และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซาโลมอนกลายเป็นอันดับหนึ่งของประเทศรอบข้าง ในเรื่องความมั่งคั่ง เกียรติ และปัญญา
3.นักรู้….ความจริงของพระเจ้า Knowing…Truth of God 1โครินธ์ 14:1ค
1…..เฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ
การเผยพระวจนะ คืองานการเปิดเผยความจริงของพระเจ้า เป็นของประทานที่อ.เปาโลผู้เขียนหนังสือโครินธ์ตอนนี้ย้ำกับคริสเตียนในเมืองโครินธ์ เพราะคริสเตียนในเมืองโครินธ์กำลังสนุก มีความสุขกับของประทานการพูดภาษาแปลกๆ Speaking in tongue หรือที่เรียกว่า ภาษาลิ้น พูดแล้วเสริมสร้างตนเอง ด้านความเชื่อ ความกล้าหาญ แต่เปาโลอยากให้คริสเตียนทุกคน เติบโตในการรู้ความจริงของพระเจ้าด้วยของประทานการเผยพระวจนะ อ่านพระคัมภีร์แล้วเข้าใจ เทศนาสั่งสอนด้วยความจริงที่ได้ในลักษณะ ที่เรียกว่า เรมาร์ ออกมาจากโลกอส เรมาร์คือถ้อยคำความจริง ความเข้าใจจากพระเจ้าบนพื้นฐานของพระคำโลกอสคือพระคัมภีร์
ของประทานที่คริสเตียนทุกคนควรต้องแสวงหา นอกจากของประทานที่บางคนถนัดตามขนาดความเชื่อของตนเอง
เอเฟซัส 4:7-8 7 แต่ว่าพระคุณนั้นทรงโปรดประทานแก่เราทุกๆ คน ตามขนาดที่พระคริสต์ประทานให้8 เหตุฉะนั้นจึงมีพระวจนะว่า ครั้นพระองค์เสด็จขึ้นไปสู่ที่สูง พระองค์ก็ทรงนำพวกเชลยไป และประทานของประทานแก่มนุษย์
ในโลกของเรากำลังสร้างความอยากรู้ให้กับคนในมากมายหลายมิติ จนคนหลงเข้าไปติดกับ อยากรู้ไปทุกเรื่อง เดี๋ยวนี้อยากรู้อะไร ถามอากู๋ พิมพ์คำอะไร มันมีคำตอบให้กับทุกเรื่อง แต่จะจริงหรือไม่จริง เป็นอีกเรื่อง แล้วแต่ว่าใครจะมีพื้นฐานความเชื่อ ความหวัง และความรักประเภทไหน บางคนก็เชื่ออย่างชนิดสุดโต่ง บ้าคลั่งไปก็มี
จำเป็นที่คริสเตียนจะต้องเป็นนักรู้…ความจริงของพระเจ้า เพื่อเราจะสามารถรับมือกับสิ่งที่โลกนี้กำลังบอกว่า มันคือความจริง ทุกอย่างคือความจริง ค่านิยามเสมือนจริงกำลังมาแรง ถ้าเราเป็นนักรู้ความจริงของพระเจ้า เราจะกลายเป็นเหยื่อของค่านิยมของโลกนี้
ความจริงของมนุษย์ทำลายครอบครัวมากมาย ด้วยคำว่า พ่อไม่ดี จริง แม่ไม่ดีจริง ลูกเลวจริง สามีไม่สัตย์ซื่อจริง ภรรยาไม่เพรียบพร้อมจริง พี่น้องตัดขาดกันได้จริง ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรจริง โลกนี้มีมารจริง มีความซวยจริง มีเคราะห์กรรมจริง และอะไรๆที่เรียกว่า จริง Fact ของมนุษย์ คือความจำกัดที่มนุษย์ยอมรับว่าเปลี่ยนไม่ได้ ในขณะที่ความจริงของพระเจ้า Truth พระองค์ทำได้ เปลี่ยนได้ เป็นความคิดอย่างเดียวกันกับที่คนในยุคของพระเยซูถามพระองค์ว่า ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่คนจะได้รับความรอด (ความรอดแปลว่า ดีสมบูรณ์ทั้งกายจิตและวิญญาณ) พระเยซูตอบว่า
มัทธิว 19:23-26 23 พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ก็ยาก 24 เราบอกท่านทั้งหลายอีกว่า ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า”25 เมื่อพวกสาวกได้ยินก็ประหลาดใจมาก จึงทูลว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้”26 พระเยซูทอดพระเนตรดูพวกสาวก และตรัสว่า “ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง”
เราเป็นนักรู้ความจริงของพระเจ้าขนาดไหน? ที่จะสามารถชนะความจริงของมนุษย์ที่ทำให้เราท้อ และอยากจะปล่อยไปตามเวรตามกรรม อย่างที่คนไทยที่สิ้นหวังกับโชคชะตา ชีวิตของตนเอง แต่คริสเตียนไม่ใช่ คุณคือคริสเตียนไทยที่กำลังต่อสู้กับเบื้องหลังความรู้ในความเชื่อ ความหวัง และความรักแบบมีเงื่อนไขในอดีตอยู่หรือเปล่า ขอพระเจ้าช่วยพี่น้องทุกคน
“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…มุ่งหาความรักและการเผยพระวจนะ”
1.นักไล่ล่า…ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข Hunting…Unconditional Love
2.นักขวนขวาย…ของประทานฝ่ายวิญญาณ Seeking…Spiritual Giftedness
3.นักรู้….ความจริงของพระเจ้า Knowing …Truth of God