“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…มีสายตาฝ่ายวิญญาณ”
เช้าวันหนึ่ง ข้าพเจ้าเตรียมตัวออกขี่จักรยาน โดยปกติ ก็จะมีแว่นสองอัน อันหนึ่งใส อีกอันเป็นปรอทไว้ตัดแสงแดด เช้าวันนั้น ไม่มีแดด และตั้งใจว่า จะใส่แว่นใส แต่ปรากฏว่า หยิบเอาแว่นเคลือบปรอทมาใส่ ขี่ไปก็นึกในใจว่า ทำไมวันนี้ฟ้ามันหม่นกว่าที่เห็นในตอนแรก ปกติ ยิ่งขี่ยิ่งสาย ดวงอาทิตย์จะขึ้นมาและจะสว่างขึ้น แต่ทำไมฟ้าก็ยังหม่น ดูมืดครึ้ม เลยหยุดขี่ เช็คแว่นตัวเอง อ้าว กลายเป็นแว่นเคลือบปรอท ไม่ใช่แว่นใสอย่างที่เข้าใจ (ความคิดของข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองกำลังใส่แว่นใส จึงไม่สงสัยแว่นที่ใส่ แต่สงสัยฟ้าที่หม่น มืดครึ้ม นักพูดเก่งๆหลายคนมักจะหยิบตัวอย่างของแว่นสีต่างๆมาเปรียบเทียบมุมมองของชีวิต ข้าพเจ้าไม่ใช่นักพูดที่เก่งแต่ข้าพเจ้าอยากจะนำเอาความจริงแห่งพระคัมภีร์ที่กล่าวเกี่ยวกับมุมมองของชีวิตในมิติฝ่ายวิญญาณเพื่อเราได้รู้จักคำว่า สายตาฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่คริสเตียนต้องมี ต้องเป็น
มัทธิว15:12-14 12 ขณะนั้นพวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า “พระองค์ทรงทราบแล้วหรือว่า เมื่อพวกฟาริสีได้ยินคำตรัสนั้นเขาแค้นเคืองนัก” 13 พระองค์จึงตรัสตอบว่า “ต้นไม้ใดๆ ทุกต้น ซึ่งพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ มิได้ทรงปลูกไว้จะต้องถอนเสีย14 ช่างเขาเถิด เขาเป็นคนนำทางตาบอด ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองจะตกลงไปในบ่อ”
พระเยซูทรงตรัสถึงพวกฟาริสีที่เป็นเหมือนคนนำทางตาบอด พวกฟาริสีเคร่งครัดในบัญญัติของโมเสส และเที่ยวสอนคนอื่นแต่ตัวเองทำไม่ได้อย่างที่ตัวเองสอน เป็นคนนำทางตาบอดที่กำลังนำคนตาบอดไปในที่ที่ตัวเองไม่เคยไป ไม่มีประสบการณ์กับสิ่งที่ตนเองกำลังสอนในมิติฝ่ายวิญญาณ มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ไกด์จะไม่มาพาเราไปในที่ที่ตนเองไม่เคยไป พระเยซูกำลังหมายถึงพวกฟาริสีไม่มีสายตาฝ่ายวิญญาณและกำลังนำทาง(เป็นไกด์)พาคนที่ไม่มีสายตาฝ่ายวิญญาณเพื่อให้มองเห็นความจริงในมิติฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นไปไม่ได้
การจะได้สายตาฝ่ายวิญญาณ เริ่มต้นด้วยการมองตนเองในชีวิตภายใน ในฐานะผู้ฟังที่ตอบสนองด้วยการปฏิบัติ
ยากอบ 1:22-25 22 แต่ท่านทั้งหลายจงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการลวงตนเอง23 เพราะว่าถ้าผู้ใดฟังพระวจนะ และไม่ได้ประพฤติตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ดูหน้าของตัวในกระจกเงา24 เพราะว่าเมื่อดูตัวเองแล้วก็ไป และก็ลืมในทันทีนั้นว่าตัวเองเป็นอย่างไร25 แต่ผู้ที่พิจารณาดูในวิสุทธิบัญญัติ ซึ่งเป็นพระบัญญัติแห่งเสรีภาพ และตั้งอยู่ในพระบัญญัตินั้น มิได้เป็นผู้ฟังแล้วก็หลงลืม แต่เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตาม ผู้นั้นก็จะได้รับความสุขเพราะการประพฤติปฏิบัติของตน
พระคัมภีร์ตอนนี้ กำลังบอกเราว่า พระคัมภีร์ไม่ใช่แค่หลักทฤษฏี แต่เป็นปฏิบัติได้จริง ฟังแล้วต้องนำไปปฏิบัติ พระคัมภีร์รับประกันว่า ถ้าปฏิบัติตามที่ได้ฟัง จะทำให้ได้รับความสุขเพราะการปฏิบัติของตน พระคัมภีร์ยังกล่าวถึงการฟังเพื่อจะปฏิบัติตามก็ยังต้องเป็นการฟังที่ได้ยินด้วยใจ ไม่ใช่แค่หู
ยากอบ 1:19 19 ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ
ความหมายของการไวในการฟัง คือการพร้อมและตั้งใจที่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ยิน
บางคนฟังยังไม่ทันจบ(ของหู) ตอบโต้ แทนการตอบสนอง รีบสวนกลับทันที ไม่ใช้จิตพิเคราะห์สิ่งที่ตนเองได้ยิน ใช้ความกลัว และสันชาตญาณของการปกป้องตัวเอง พูดออกมาด้วยความไม่พอใจ อันนี้ ได้พลาดการฝึกที่จะมีสายตาฝ่ายวิญญาณ
ผู้รับใช้ของพระคริสต์…มีสายตาฝ่ายวิญญาณ ผ่านกระบวนการอันดับแรก
1.มองตัวเองก่อน 2ทิโมธี 3:16-17
16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม17 เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
พระคัมภีร์ตอนนี้เพื่อใช้มองตัวเอง รับการสอน รับการตักเตือน รับการปรับปรุงแก้ไข รับการอบรม เพื่อจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
ลูกา 6:42 42 เหตุไฉนท่านจึงจะพูดกับพี่น้องของท่านว่า ‘พี่น้องเอ๋ย ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ’ แต่ที่จริงท่านเองยังไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้
พัฒนาการสายตาฝ่ายวิญญาณเริ่มจากมองตัวเอง และทำความสะอาดตาของตัวเอง ด้วยการชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของตัวเอง ที่พระเยซูทรงเปรียบเทียบ ไม้ทั้งท่อนอยู่ในตา (เป็นการบ่งบอกว่า คนเรามักจะมองไม่เห็นจุดบกพร่องของตัวเอง ทั้งๆที่มันใหญ่ก็ยังมองข้าม มองไม่เห็น เพราะความลำเอียง คิดเข้าข้างตัวเองว่าตัวเองดีแล้ว ไม่เห็นเป็นไร ไม่เห็นจะผิดตรงไหน พระคัมภีร์ได้เตือนว่า ยิ่งไม่ใส่ใจต่อการจัดการตัวเองเท่าไร สิ่งที่เป็นผงในตาของคนอื่น มันจะเป็นไม้ท่อนใหญ่บังตาของตัวเองเท่านั้น และนี่คืออุปสรรคต่อการมีสายตาฝ่ายวิญญาณ (ฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจ มองเท่าไรก็มองไม่เห็น)
1โครินธ์ 10:12 12 เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง
“คิดว่า” รากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า จินตนาการ แสดงว่า ตัวเองยังไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แต่เป็นการคิดเอง เออเอง ว่าตนเองมั่นคงดีแล้ว พระคัมภีร์เตือนว่า จงระวังให้ดี เกรงว่าจะล้มลง นั่นคือ คนที่คิดอย่างนั้น มีสิทธิ์ไปไม่ตลอดรอดฝั่ง คำสุภาษิตที่ว่า หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน (ต้องรอดู โดยเฉพาะคนอายุยังน้อย ยังมีเวลาอีกนานที่จะรอการพิสูจน์)
ผู้รับใช้ของพระคริสต์…มีสายตาฝ่ายวิญญาณ เพื่อจะเป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณแก่คนอื่น เพื่อนำไปสู่ความจริงของพระเจ้า ด้วยประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณเท่านั้น จำไว้ว่า ไกด์จะไม่นำไปในที่ที่ไกด์ไม่เคยไป อย่าให้คนนำทางตาบอดนำทางคุณ และอย่าเป็นคนนำทางตาบอดเสียเอง สายตาฝ่ายวิญญาณจะเกิดขึ้นได้ด้วยประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า ซึ่งจะทำให้เรามองเห็นตัวเองก่อน
อิสยาห์ 6:5-8 5 และข้าพเจ้าว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากไม่สะอาด และข้าพเจ้าอยู่ในหมู่ชนชาติที่ริมฝีปากไม่สะอาด เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นกษัตริย์ คือพระเจ้าจอมโยธา” 6 แล้วตนหนึ่งในเสราฟิมบินมาหาข้าพเจ้า ในมือมีถ่านเพลิง ซึ่งเขาเอาคีมคีบมาจากแท่นบูชา7 และเขาถูกต้องปากของข้าพเจ้าพูดว่า “ดูเถิด สิ่งนี้ได้ถูกต้องริมฝีปากของเจ้าแล้ว กรรมชั่วของเจ้าก็ถูกยกเสีย และเจ้าก็จะรับการลบมลทินบาป”8 และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะใช้ผู้ใดไป และผู้ใดจะไปแทนเรา” แล้วข้าพเจ้าทูลว่า “ข้าพระองค์อยู่นี่ พระเจ้าข้า ขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด”
การได้มองเห็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทำให้อิสยาห์มองเห็นตัวเองเป็นคนปากสกปรก อยู่ในท่ามกลางคนปากสกปรกด้วย เมื่อมาถึงการมองเห็นธาตุแท้ของตัวเอง เกิดการสารภาพบาป และนี่แหล่ะคือผู้รับใช้ของพระเจ้าที่จะไปแทนพระองค์ได้ พระเจ้าจึงถามอิสยาห์ว่า ใครที่พระเจ้าจะใช้การได้ อิสยาห์ตอบสนองทันที ว่า ตัวของเขาพร้อมแล้วที่จะให้พระเจ้าใช้ เพราะเขาได้เห็นพระเจ้า และเห็นตัวเอง (เห็นว่า ตัวเองไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่น ไม่ดีไปกว่าคนอื่น สิ่งที่จะทำให้อิสยาห์แตกต่างคือ การยอมรับว่าตัวของอิสยาห์เองต้องพบกับความวิบัติแน่ๆ ถ้าพระเจ้าไม่ช่วย พระเจ้าจึงส่งไฟแห่งการชำระมาให้อิสยาห์
1ยอห์น 1:9 9 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น
วันนี้ การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ คืองานเดียวกันกับเสราฟิม คือการชำระเราด้วยไฟ การพูดภาษาแปลกๆ คือเครื่องหมายของการบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้พระองค์ควบคุมชำระลิ้นของเรา (ลิ้นเป็นส่วนที่ควบคุมยากที่สุดของอวัยวะทั้งหมดของร่างกาย) ท่าที่เราจะมีประสบการณ์กับการชำระด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ต้องสารภาพบาปก่อน
ยากอบ 3:6 6 และลิ้นนั้นก็เป็นไฟ ลิ้นเป็นโลกที่ไร้ธรรมในบรรดาอวัยวะของเรา เป็นเหตุให้ทั้งกายมลทินไปทำให้วัฏฏะแห่งชีวิตเผาไหม้ และมันเองก็ติดไฟโดยนรก
อ.เปาโลหนุนใจให้คริสเตียนมีประสบการณ์การพูดภาษาแปลกๆ และมีการแปลภาษาแปลกๆนั้น เพื่อจะเสริมสร้างคริสตจักรให้เจริญขึ้น
1โครินธ์ 14:4-5 4 ฝ่ายคนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้น ก็ทำให้ตนเองเจริญฝ่ายเดียว แต่ผู้เผยพระวจนะนั้นย่อมทำให้คริสตจักรจำเริญขึ้น5 ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านทั้งหลาย พูดภาษาแปลกๆ ได้ แต่ยิ่งกว่านั้นอีก ข้าพเจ้าปรารถนาจะให้ท่านทั้งหลายเผยพระวจนะได้ เพราะว่าผู้เผยพระวจนะได้นั้นก็ใหญ่กว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆ ได้ เว้นแต่เขาสามารถแปลภาษานั้นๆ ออก เพื่อคริสตจักรจะได้รับความเจริญขึ้น
พัฒนาการของผู้รับใช้ของพระคริสต์…จะมีสายตาฝ่ายวิญญาณได้ ด้วยการยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ชำระปากและลิ้นของตัวเอง(บ่อยๆ) และพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ที่จะรับการสื่อสารจากพระเจ้า(ผู้เผยพระวจนะ) มีถ้อยคำของพระเจ้าออกจากปากของตัวเอง ก่อนจะมีถ้อยคำของพระเจ้าจากปากของตัวเอง ต้องมีสายตาฝ่ายวิญญาณมองเห็นอย่างที่พระเจ้ามองเห็น พระเจ้าทรงมองเห็นอย่างไร
โรม 3:20,22-23 20 เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรมโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้….22 คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า
เราทุกคนไม่ต่างกัน ผู้รับใช้ของพระคริสต์…มีสายตาฝ่ายวิญญาณที่จะมองทุกคนไม่ต่างกัน ไม่มีใครดีกว่าใคร ทุกคนต่างทำบาป และต้องการรับการชำระบาปจากพระเจ้า การประพฤติของเราไม่ได้ทำให้เราดีกว่าคนอื่น แต่การประพฤติที่ตอบสนองจากการได้ยินทำให้เรารับการพัฒนาขึ้น การที่เราพัฒนาขึ้นก็ไม่ได้ทำให้เราดีกว่าคนอื่น แต่ทำให้เรามีสายตาฝ่ายวิญญาณที่จะมองอย่างที่พระเจ้ามอง การมองอย่างที่พระเจ้ามองก็ไม่ได้ทำให้เราดีกว่าคนอื่น เรามองเห็นอย่างพระเจ้ามองก็เพื่อเราจะทำให้คนอื่นมาถึงความจริงของพระเจ้า การนำคนอื่นมาถึงความจริงของพระเจ้าก็ยังไม่ได้ทำให้เราดีกว่าคนอื่น เรายังคงต้องพึ่งพาความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์เพื่อเราจะรอด โดยพระคุณของพระเจ้า
ฉะนั้น สายตาฝ่ายวิญญาณมีไว้เพื่อมองตัวเองก่อนเสมอ และรับการชำระด้วยความจริงของพระเจ้า
1ยอห์น 1:10 10 ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่ได้ทำบาป ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา และพระดำรัสของพระองค์ก็มิได้อยู่ในเราทั้งหลายเลย
บาป แปลว่า พลาดไปจากน้ำพระทัยพระเจ้า นั่นคือ ขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ เรามีโอกาสพลาดไปจากน้ำพระทัยพระเจ้าได้ตลอดเวลา เพราะตัณหาของตา ตัณหาของเนื้อหนัง และความปรารถนาอย่างโลกนี้ ในหนึ่งยอห์นจึงเตือนคริสเตียนเรื่องอย่ารักโลก….
1ยอห์น 2:15-17 15 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น16 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
สายตาฝ่ายวิญญาณมีไว้เพื่อตรวจสอบตัวเอง เพื่อจัดการกับตาฝ่ายเนื้อหนังของตนเอง ตราบใดที่สายตาของตัวเราเองยังจดจ้องอยู่กับสิ่งของของโลกนี้ เรายังยึดติดอยู่กับโลกนี้ จงรู้เถิดว่า คุณกำลังใช้สายตาของเนื้อหนังมากกว่าสายตาฝ่ายวิญญาณ และมีโอกาสที่จะเดินออกไปจากทางของพระเจ้า การล้มลงของเอวาในสวนเอเดนก็เพราะยิ่งมองทุกวันผลไม้ที่พระเจ้าห้ามนั้นก็ยิ่งน่ากิน แต่บางคนไม่ใช่แค่มอง แต่ได้ชิมควาบาปนั้นแล้ว อย่างที่ยากอบได้กล่าวไว้ว่า
ยากอบ 1:14-15 14 แต่ทุกคนถูกล่อลวงด้วยตัณหาของตัวเอง คือถูกตัณหานั้นล่อลวงและชักนำ15 เมื่อตัณหาฟักตัวขึ้นแล้วก็ก่อให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็ก่อให้เกิดความตาย
คำที่ยากอบใช้ เป็นคำของนักตกปลา Entice คือสร้างให้เกิดความอยากแก่ปลาที่ถูกล่อด้วยเหยื่อให้ตอดทีละนิด จนเหยื่อตายใจ ก็จะฮุบคำโต และติดเบ็ด คำๆนี้เป็นคำเดียวกันกับการล่อให้คนติดกับดักการล่อลวงด้วยกิเลศตัณหาความอยากของตนเอง สายตาที่จับจ้องด้วยตัณหา บดบังสายตาฝ่ายวิญญาณ ต้องมองตัวเองให้ออกว่า ความอยากของตัวเอง กำลังเป็นอุปสรรคต่อการมีสายตาฝ่ายวิญญาณอยู่หรือไม่ ประการที่สอง สายตาฝ่ายวิญญาณ
2.เกิดจากการอธิษฐาน เอเฟซัส 1:17-19
17 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์18 และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร19 และรู้ว่า ฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ตามอำนาจของพระกำลัง และฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์
สายตาฝ่ายวิญญาณ เกิดจากชีวิตการอธิษฐาน ในเอเฟซัสตอนนี้ อ.เปาโลได้อธิษฐานขอให้ตาใจของพี่น้องคริสเตียนในเมืองเอเฟซัสสว่างขึ้น คือมองเห็นในมิติฝ่ายวิญญาณ ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้ มักจะถูกใช้เพื่อต่อสู้กับการคุกคามของวิญญาณชั่ว ผีที่เราขับออกจากคน อิทธิพลของอำนาจมืดต่างๆ เมื่อสายตาฝ่ายวิญญาณของคนที่ถูกขับผีออกได้มองเห็นความจริงเรื่องฤทธิ์เดของพระเยซูคริสต์ คนเหล่านั้นก็หลุดจากความกลัว และมีชัยชนะมีแรงต่อต้านกับอำนาจของผีได้
คำว่า ผีหลอก ไม่ได้มาแหกอกควักไส้อย่างในหนัง แต่ผีหลอก คือหลอกให้เรามองไม่เห็นความจริงของพระเจ้า และตกอยู่ในอิทธิพลของความกลัว ตำรวจที่ไม่ดีชอบหากินกับความไม่รู้กฏหมายของประชาชน ตำรวจที่ไม่ดีจะกลัวคนที่รู้กฏหมาย และคนที่ไม่รู้กฏหมายก็มักจะกลัวตำรวจโดยไม่รู้สาเหตุ แต่คนที่รู้กฏหมายจะไม่กลัว พวกเรารู้กฏหมายเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐานของการเป็นคนไทยไม๊ มีคนไทยไม่น้อยไม่รู้กฏหมายเรื่องนี้ และถูกละเมิดสิทธิ์โดยไม่รู้ตัว และบางทีก็ไปละเมิดสิทธิ์ของคนอื่นด้วย
ในมิติฝ่ายวิญญาณ คริสเตียนมีสิทธิอำนาจที่ได้มาโดยการรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ มีสิทธิ์เหนือผีร้าย และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคริสเตียนก็ทำให้เรายิ่งมีสิทธิอำนาจในระดับที่สูงขึ้นไปอีกด้วย ยิ่งมีความเข้าใจและมีสายตาฝ่ายวิญญาณก็ยิ่งทำให้เราใช้สิทธิอำนาจได้อย่างถูกต้อง
มัทธิว 18:18-20 18 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า สิ่งสารพัดซึ่งท่านจะกล่าวห้ามในโลก ก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ และสิ่งซึ่งท่านจะกล่าวอนุญาตในโลก ก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์เหมือนกัน19 เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายอีกว่า ถ้าในพวกท่านที่อยู่ในโลกสองคนจะร่วมใจกันขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ก็จะทรงกระทำให้20 ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนๆ ในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น”
การอธิษฐาน คือกุญแจสำคัญทำให้สายตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก สว่างขึ้น ดังนั้นคริสเตียนต้องอธิษฐาน และการเข้าเป็นกลุ่มที่แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เช่น กลุ่มในรุ่งอรุณ ยิ่งทำให้สายตาฝ่ายวิญญาณได้รับการพัฒนา และมองเห็นสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หากเรามองย้อนกลับไปที่บุคคลในพระคัมภีร์ทั้งใหม่และเก่า บุคคลเหล่านั้น มีชีวิตแห่งการอธิษฐานทั้งสิ้น
ตัวอย่าง เอลีชาได้อธิษฐานขอพระเจ้าทรงเปิดตาฝ่ายวิญญาณของคนรับใช้ให้มองเห็นกองทัพทูตสวรรค์ที่มาอยู่ฝ่ายเอลีชา ขณะที่กองทัพของซีเรียมาล้อมเมืองที่เอลีชาอยู่ ด้วยสายตาฝ่ายวิญณาณ เอลีชาพูดว่า ฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา
ตัวอย่าง เปโตกับยอห์น ได้เจอกับขอทานที่ประตูทางเข้าพระวิหาร ขณะนั้นเป็นเวลาอธิษฐาน เปโตรกับยอห์นกำลังไปอธิษฐาน แต่เมื่อถูกขัดจังหวะด้วยคนขอทาน การอธิษฐานดำเนินไปได้โดยไม่ต้องเข้าไปในพระวิหาร และด้วยสายตาฝ่ายวิญญาณ เปโตรมองเห็นความต้องการของขอทานไม่ใช่ที่เงิน แต่ที่การหายโรค เดินได้ การอัศจรรย์เกิดขึ้น คนขอทานเดินได้ นี่คือผลของสายตาฝ่ายวิญญาณ
กิจการ 3:4-10 4 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นเพ่งดูเขาบอกว่า “จงดูเราเถิด”5 คนขอทานนั้นได้เขม้นดู คิดว่าจะได้อะไรจากท่าน6 เปโตรกล่าวว่า “เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด”7 แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง8 เขาจึงกระโดดขึ้นยืนและเดินเข้าไปในพระวิหาร ด้วยกันกับเปโตรและยอห์น เดินเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าไป9 คนทั้งปวงเห็นเขาเดินและสรรเสริญพระเจ้า10 จึงรู้ว่าเป็นคนนั้นซึ่งนั่งขอทานอยู่ที่ประตูงามแห่งพระวิหาร เขาจึงพากันมีความประหลาดและอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่คนนั้น
วันนี้ คนที่เรากำลังพบเจอในชีวิตประจำวันของเรา เรารู้หรือไม่ว่า เขากำลังต้องการอะไร มีคำพูดหนึ่งกล่าวเกี่ยวกับ Eye contact คือการมองลึกเข้าไปอ่านในใจคนที่กำลังพูดกับเราว่า แท้จริง เขากำลังต้องการอะไร ไม่ใช่แค่คำพูด แต่ลึกเข้าไปในจิตใจ สายตาฝ่ายวิญญาณคือเครื่องมือของผู้รับใช้ของพระคริสต์ที่พระเจ้าต้องการให้เราทุกคนมีไว้เพื่อ รับใช้คน วิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆในมิติฝ่ายวิญญาณ ประการสุดท้าย สายตาฝ่ายวิญญาณคือ….
3.คือช่องทางที่พระเจ้าสื่อสารในยุคสุดท้าย กิจการ 2:17
17 ‘พระเจ้าตรัสว่าในวาระสุดท้าย เราจะเทฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของเราโปรดประทานแก่มนุษย์ทั้งปวง บุตราบุตรีของท่านทั้งหลายจะกล่าวคำพยากรณ์ คนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิต และคนแก่จะฝันเห็น
นี่คือคำที่เปโตรอธิบายด้วยพระคัมภีร์ต่อคนที่มาถามเหตุการณ์ที่สาวก 120 คนไปรวมตัวกันที่ห้องชั้นบน และรับบัพติสมาพูดภาษาต่างๆมากมาย ในยุคของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเคลื่อนไหวไปทั่วโลก คนหนุ่มคนสาวเห็นนิมิต มีคำพยากรณ์ออกมาจากปากของคนมากมาย สายตาฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นในท่ามกลางผู้เชื่อทุกคน สิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวตอนนี้ กำลังบอกว่า มันจะเป็นเรื่องปกติในยุคของเรา ถ้าไม่เกิดสิ่งนี้ในท่ามกลางพวกเรา แสดงว่า มันผิดปกติ เพราะในยุคสุดท้าย พระเจ้าจะสื่อสารกับเราในช่องทางเหล่านี้ ผู้รับใช้ของพระคริสต์…มีสายตาฝ่ายวิญญาณ มองเห็นในมิติที่คนทั่วไปมองไม่เห็น เรากำลังส่งต่อ สืบต่อเรื่องนี้อย่างไร
“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…มีสายตาฝ่ายวิญญาณ”
1.มองตัวเองก่อน
2.เกิดจากการอธิษฐาน
3.คือช่องทางที่พระเจ้าสื่อสารในยุคสุดท้าย