“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…ทำงานของพระคริสต์”
ในช่วงนี้ มีการนำเรื่องราวของในหลวงร. 9 มากมายเสนอขึ้นมาเพื่อระลึกถึงพระองค์ท่าน มีเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจ ก็คือเรื่องการทำบัตรประชาชนของพระองค์ท่าน เจ้าหน้าที่ที่อำเภอได้ถามว่า จะให้ลงว่า พระองค์ทรงทำงานอะไร ในหลวงทรงตอบว่า ทำราชการ มีพระองค์ท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงทำงานของตัวของพระองค์เอง นอกนั้น คนที่รับราชการ ที่เป็นข้าราชการ ต่างทำงานของพระองค์ท่านทั้งสิ้น งานที่บรรดาข้าราชการทำ คืองานของในหลวงท่าน ข้าพเจ้าชื่นชอบเรื่องราวนี้ และอยากอัญเชิญมาเปรียบเทียบกับ งานของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ กับคำว่า ผู้รับใช้ของพระคริสต์ในชีวิตของคริสเตียนทุกคน
กาลาเทีย 1:10 10 บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังพูดเอาใจมนุษย์หรือ ข้าพเจ้าทำให้เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้ามิใช่หรือ ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประจบประแจงมนุษย์หรือ ถ้าข้าพเจ้ากำลังประจบประแจงมนุษย์อยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระคริสต์
กาลาเทีย 1:10 10 บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังแสวงหาการยอมรับจากมนุษย์หรือจากพระเจ้า? ข้าพเจ้าอุตส่าห์เอาใจมนุษย์หรือ? ถ้าข้าพเจ้ากำลังเอาใจมนุษย์อยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ทาสของพระคริสต์(2011)
อ.เปาโลผู้เขียนหนังสือกาลาเทียตอนนี้ได้ใช้คำว่า ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระคริสต์ หรือในฉบับแปล 2011 ใช้คำว่า ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ทาสของพระคริสต์ เงื่อนไขสำคัญของการ…เป็นหรือไม่เป็น …ผู้รับใช้ของพระคริสต์ อยู่ที่ตรงว่า การยอมรับของมนุษย์หรือการยอมรับของพระเจ้า มนุษย์พอใจ หรือพระเจ้าทรงพอพระทัย คำที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือ การแสวงหา คือการค้นหาว่า อะไรคือความพอใจและยอมรับ ของมนุษย์ และอะไรคือความพอใจและยอมรับของพระเจ้า มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า มาตรฐานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แล้วมาตรฐานของพระเจ้ากับมนุษย์เหมือนกันไม๊
มีคนยกตัวอย่างเรื่องมาตรฐานความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ด้วยเรื่องน้ำดื่ม กับเรื่องไข่เน่า เอาเรื่องไข่เน่าก่อนละกัน ถ้าเอาไข่ผสมกับไข่เน่า ตีเข้ากัน เอาไปทอดเป็นไข่เจียว เราจะทานไม๊ ข้าพเจ้าคนหนึ่งหล่ะ ที่ไม่ยอมกินแน่นอน (ถ้ารู้ก่อนนะ) ถ้าไม่รู้และเผลอกินเข้าไป ก็จะรีบคายออกมา เพราะกลิ่นและรสชาดมันบอกว่า มีไข่เน่าผสมอยู่ นี่คือมาตรฐานความสะอาดของมนุษย์ที่ใส่ใจต่อสุขภาพ
ส่วนเรื่องน้ำดื่ม ถ้ามีน้ำแก้วหนึ่งที่สะอาด แต่หยดเชื้อโรคลงไปหยดหนึ่ง เราจะดื่มไม๊ (ถ้าเรารู้ เราจะไม่ดื่มแน่นอน) แต่ถ้าไม่รู้ เราดื่มเข้าไป ร่างกายของเราจะมีมาตรฐานการต่อต้านทันที แสดงอาการ อุณภูมิที่เปลี่ยนไป ท้องเสีย ไข้ขึ้น แล้วแต่ว่า เชื้อโรคนั้นจะรุนแรงขนาดไหน
ทำนองเดียวกัน ถ้าชีวิตของเราไม่บริสุทธิ์เพียงพอสำหรับมาตรฐานสวรรค์ ถ้าสวรรค์รับไว้ ก็ทำให้สวรรค์ป่วย แต่สวรรค์มีเครื่องตรวจจับที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด สวรรค์ปฏิเสธชีวิตของคนที่มีบาปทันที (แต่คริสเตียนได้เข้าสวรรค์ด้วยพระคุณ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามมาตรฐานของพระเจ้า (พระเยซูต้องจ่ายราคาสูงเพื่อเราจะเข้าสวรรคได้ ไม่ใช่ตามมาตรฐานของมนุษย์) ทั้งหมดนี้ เป็นตัวอย่างภาพของมาตรฐานระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ที่มนุษย์จะยอมรับพอใจ ในระดับไหน คนที่เรียกว่า perfectionist คือพวกที่มีมาตรฐานสุดๆของมนุษย์ก็ยังไม่เท่ากับมาตรฐานของพระเจ้า พระคัมภีร์ได้ใช้คำว่า
1โครินธ์ 1:19-20,25 19 เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา และจะทำให้ความฉลาดของคนฉลาดสูญสิ้นไป 20 คนมีปัญญาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน บัณฑิตแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน นักโต้ปัญหาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน พระเจ้าได้ทรงกระทำปัญญาของโลกให้โฉดเขลาไปแล้ว… 25 เพราะความเขลาของพระเจ้ายังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังเข้มแข็งยิ่งกว่ากำลังของมนุษย์
มีสิ่งหนึ่งที่แปลกประหลาดมากกับพระคัมภีร์ตอนนี้ ตรงกันข้ามกลับมาตรฐานเรื่องความบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สูงเกินมนุษย์จะไปถึง แต่มาตรฐานของพระเจ้าในการเลือกผู้รับใช้ของพระองค์ที่จะทำงานของพระคริสต์ กลับต่ำกว่ามาตรฐานของมนุษย์ หรือเรียกว่า ติดลบ คือ คนไม่เอา แต่พระเจ้าเอา
1โครินธ์ 1:27-29 27 แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย28 พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อยและดูหมิ่น และเห็นว่าไร้สาระ เพื่อทำลายสิ่งซึ่งโลกเห็นว่าสำคัญ29 เพื่อมิให้มนุษย์สักคนหนึ่งอวดต่อพระเจ้าได้
และนี่คือสิ่งที่เรียกว่า งานของพระเจ้าล้วนๆ ไม่ใช่งานของมนุษย์
โรม 15:3 3 เพราะว่าพระคริสต์ไม่ทรงทำสิ่งที่พอพระทัยพระองค์เอง….
พระเยซูคริสต์มุ่งทำงานของพระเจ้ามิใช่เพื่อให้ตัวพระองค์พอใจ แต่เพื่อให้พระเจ้าพระบิดาพอพระทัย พระเยซูคริสต์ทรงวางรูปแบบตัวอย่างในการทำงานของพระองค์แก่สาวกของพระองค์ เพื่อผู้เชื่อทุกคนจะเป็นผู้รับใช้อย่างพระคริสต์ เราทุกคนต่างมีงาน ภารกิจที่รับผิดชอบในบทบาทของตัวเราเอง เพื่อแสวงหาความพอพระทัยและการยอมรับของพระเจ้า(ก่อน) และการยอมรับและความพอใจของมนุษย์จะตามมา
โรม 14:18 18 ผู้ที่ปรนนิบัติพระคริสต์ในการเหล่านั้น ก็เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า และเป็นที่พอใจของมนุษย์ด้วย
มีคริสเตียนไม่น้อยที่มุ่งจะทำให้พระเจ้าพอใจ โดยไม่สนใจว่า ใครหน้าไหนจะพอใจหรือไม่พอใจ อันนี้ก็ไม่ใช่ พระคัมภีร์ได้บอกแล้วว่า ถ้าพระเจ้าทรงพอพระทัย ความพอใจและการยอมรับของมนุษย์ก็จะตามมาด้วย
สุภาษิต 16:7 7 เมื่อทางของมนุษย์เป็นที่โปรดปรานแก่พระเจ้า แม้ศัตรูของเขานั้นพระองค์ก็ทรงกระทำให้คืนดีกับเขาได้
พระเจ้าจะเป็นผู้ทำให้มนุษย์ยอมรับและพอใจเกิดขึ้นแก่มนุษย์ แม้แต่ศัตรู พระเจ้าก็ยังทำให้ยอมรับและหันกลับมาพอใจได้
สุภาษิต 14:35 35 ข้าราชการผู้ประกอบกิจอย่างเฉลียวฉลาดก็ได้รับความโปรดปรานจากพระราชา แต่พระพิโรธของพระองค์ก็ตกลงบนผู้ที่ประพฤติน่าละอาย
หนังสือสุภาษิตยังได้กล่าวถึงข้าราชการทำงานของพระราชาก็จะทำให้พระราชาโปรดปราน สิ่งที่ทำให้พระราชาพิโรธ ก็คือ ข้าราชการประพฤติน่าละอาย ด้วยการไม่ได้ทำงานเพื่อพระราชา แต่เพื่อความพอใจของตนเอง พระคัมภีร์กล่าว่า เป็นการประพฤติที่น่าละอาย
พระเจ้าทรงคาดหวังให้ผู้รับใช้ของพระคริสต์ทุกคน (คริสเตียน ผู้เชื่อ)ทำงานที่พระคริสต์คาดหวัง ทำให้พระเยซูคริสต์ทรงพอพระทัย เราอยู่ในยุคที่คริสเตียนไม่น้อย พยายามที่จะทำสิ่งหนึ่งก็คือ contextualization คือพยายามจะเอาบริบทของคนที่ไม่เป็นคริสเตียนเป็นตัวตั้ง เพื่อจะสร้างสัมพันธ์ เพื่อจะสร้างช่องทางที่จะให้คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เพื่อการประกาศ แต่เกิดอะไรขึ้น กับการใช้ความพยายามนั้น มีคนเรียกคำว่า contexualization ว่า คอนเท็กชั่วร้าย เพราะได้ทำให้ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์กลายเป็นข่าวประเสริฐอื่น ที่พยายามทำให้คนพอใจ ทำให้คนยอมรับ
มาดูตัวอย่างตอนหนึ่งที่คนในยุคของพระเยซูได้ทำให้พระวิหารของพระเจ้าเละเทะสกปรก จนพระเยซูต้องชำระพระวิหาร….อะไรเกิดขึ้นกับพระวิหารของพระเจ้า ในหนังสือยอห์นได้บรรยายดังนี้
ยอห์น 2:13-17 13 เทศกาลปัสกา ของพวกยิวใกล้เข้ามาแล้ว พระเยซูเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม14 ในบริเวณพระวิหารพระองค์ทรงเห็นคนขายวัว ขายแกะ ขายนกพิราบ และคนรับแลกเงินที่กำลังแลกเงินอยู่15 พระองค์ทรงเอาเชือกทำเป็นแส้ไล่คนเหล่านั้น พร้อมกับแกะและวัวออกไปจากบริเวณพระวิหาร และพระองค์ทรงเทเงินและคว่ำโต๊ะของคนรับแลกเงิน16 และพระองค์ตรัสแก่บรรดาคนขายนกพิราบว่า “จงเอาของเหล่านี้ไปเสีย อย่าทำพระนิเวศของพระบิดาเราให้เป็นแหล่งค้าขาย”17 พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกขึ้นได้ถึงคำที่เขียนไว้ว่า “ความร้อนใจในเรื่องพระนิเวศของพระองค์จะท่วมท้นข้าพระองค์ ”
พระเยซูทรงร้อนใจเรื่องพระนิเวศของพระเจ้าอย่างชนิดที่เรียกว่า ท่วมท้นพระองค์เอง เพราะพระเยซูมองเห็นการใช้พระวิหารของคนยิวในเวลานั้น เป็นเรื่องของการค้า ผลประโยชน์ ความสะดวก มักง่าย ไม่ใช่ความจริงใจต่อพระเจ้า ไม่ได้มาหาพระเจ้า มาเพื่อทำศาสนกิจ เป็นหน้าที่เท่านั้น ทุกอย่างเป็นเรื่องผลประโยชน์ ใช้เงินซื้อหมด มีโต๊ะแลกเงิน มีสัตว์บูชาขาย มีบริการโน่นนี่นั่น เป็นตัวของคนที่มาวิหารพอใจ เจ้าหน้าที่ของวิหารพอใจ เมื่อพระเยซูล้มโต๊ะแลกเงิน ขับไล่คนค้าขายออกไป สั่งสอนประชาชนใหม่ คนที่ไม่พอใจมากที่สุดคือ…
มาระโก 11:18 18 เมื่อพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ทราบอย่างนั้น จึงหาช่องที่จะประหารพระองค์เสีย เพราะเขากลัวพระองค์ ด้วยว่าประชาชนประหลาดใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์
พวกปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ หาทางกำจัดพระเยซู (ไม่พอใจ) แต่ประชาชนประหลาดใจ (พอใจ) กับคำสั่งสอนของพระเยซู ประชาชนยอมรับพระเยซู เพราะพระเยซูกำลังทำให้ประชาชนได้หันกลับมาใส่ใจต่อการมาหาพระเจ้า และพบกับพระเจ้า ทำให้ประชาชนมองเห็นตัวตนของตัวเอง และไปถึงความต้องการการช่วยเหลือจากพระเจ้าที่แท้จริง
วิธีคิดวิธีมองของผู้รับใช้ของพระคริสต์…ทำงานของพระคริสต์ จะมีมุมมองที่แตกต่างจากคนทั่วไป และแสดงออกถึงความรู้สึก…..
1.มีงานเข้าตลอดเวลา มัทธิว 2:13-14
13 เทศกาลปัสกา ของพวกยิวใกล้เข้ามาแล้ว พระเยซูเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม14 ในบริเวณพระวิหารพระองค์ทรงเห็นคนขายวัว ขายแกะ ขายนกพิราบ และคนรับแลกเงินที่กำลังแลกเงินอยู่
คำว่า งานเข้า เป็นสำนวนของคนในยุคของเรา เมื่อมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น และมองว่า ปัญหานี้คือความรับผิดชอบของตนเอง พระเยซูทรงมองเห็นว่า งานเข้า เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงกรุงเยรูซาเล็มเหมือนกับคนยิวทั่วไปที่มาเยรูซาเล็มในเวลานั้น ในเทศกาลปัสกา สำหรับผู้ชายยิวทุกคน จะต้องมาเยรูซาเล็มปีละสามครั้ง ในเทศกาลประจำปีใหญ่ๆ และพระเยซูมาถึง พระองค์ก็ไปยังวิหาร เพราะคือสถานที่ผู้ชายยิวจะต้องเข้าไปทำหน้าที่ของตนเองต่อพระเจ้า
ปัสกาคือการรำลึกถึงการไถ่ที่พระเจ้าทรงนำอิสราเอลออกจากอียิปต์ พระเจ้าสั่งโมเสสให้กำชับคนอิสราเอลให้ทำพิธีปัสกาต่อๆกันไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน เพื่อจะระลึกถึงและไม่ลืม
ในพิธีปัสกา (ในยุคปัจจุบันของครอบครัวคนยิว) จะมีการร้องเพลง เพลงที่ร้องโต้ตอบกัน เด็กจะถามผู้ใหญ่ว่า ทำไม ผู้ใหญ่จะร้องตอบเด็กว่า เพราะพระเจ้าทรงนำอิสราเอลออกจากอียิปต์ ออกจากความเป็นทาสสู่ความเป็นไท กินผักขม ขนมปังไร้เชื้อ เพื่อให้รู้ว่า ชีวิตขมๆได้รับการช่วยเหลือ และด้วยความเร่งรีบอย่างไม่ทันเตรียมตัว การช่วยกู้ก็มาถึง จึงต้องกินขนมปังที่ไม่มีเวลาหมัก เทศกาลปัสกาคือการแสดงการรู้จักพระเจ้า ไม่ลืมพระเจ้า พระองค์เป็นผู้เดียวที่ช่วยกู้อิสราเอล
แต่อะไรเกิดขึ้นแก่ลูกหลานอิสราเอลในยุคของพระเยซู คนยิวทำปัสกาให้ไร้ความหมาย เป็นเพียงพิธีกรรมทางศาสนา และยังกลายเป็นเรื่องของผลประโยชน์ของพวกที่เรียกตัวเองว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้า (ปุโรหิตและธรรมาจารย์) คนเหล่านี้ก็ทำหน้าที่ในวิหารให้กลายเป็นเรื่องปากท้องของตนเอง ไม่ได้อยู่เพื่อทำงานของพระเจ้าอีกต่อไป
งานเข้า พระเยซูไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นต่อไป พระองค์จึงต้องทำงานของพระองค์ คือชำระพระวิหาร ใครคือคนที่ต้องแอ๊กชั่น พระเยซูไม่รอคนอื่นทำ พระองค์ทำเอง
วันนี้ เราเห็นอะไรที่เป็นงานเข้าสำหรับส่วนรวม อะไรคืองานของพระคริสต์ที่เราต้องแอ๊กชั่น ไม่ต้องรอคนอื่น เราเห็นปัญหา นั่นหมายความว่า เราคือคนที่ต้องลงมือทำ มีคนไม่น้อย ที่มองเห็นปัญหา แต่แสดงออกด้วยการบ่น การแก้ตัว และโยนเป็นความผิดของคนอื่น
สุภาษิต 14:35 35 ข้าราชการผู้ประกอบกิจอย่างเฉลียวฉลาดก็ได้รับความโปรดปรานจากพระราชา แต่พระพิโรธของพระองค์ก็ตกลงบนผู้ที่ประพฤติน่าละอาย
“งานเข้า” เป็นอะไรที่คนที่รู้หน้าที่ของตัวเอง จะทำด้วยความกระตือรือร้น
2.ธรรมชาติงานของพระคริสต์ มัทธิว 2:15-16
15 พระองค์ทรงเอาเชือกทำเป็นแส้ไล่คนเหล่านั้น พร้อมกับแกะและวัวออกไปจากบริเวณพระวิหาร และพระองค์ทรงเทเงินและคว่ำโต๊ะของคนรับแลกเงิน16 และพระองค์ตรัสแก่บรรดาคนขายนกพิราบว่า “จงเอาของเหล่านี้ไปเสีย อย่าทำพระนิเวศของพระบิดาเราให้เป็นแหล่งค้าขาย”
ธรรมชาติงานของพระคริสต์ เหมือนกับ จมูกของเราถูกสร้างมาเพื่อทำหน้าที่หายใจ สิ่งที่จะเข้าทางจมูกคืออากาศ จะเอาจมูกไปทำหน้าที่ตามธรรมชาติอย่างปากที่มีหน้าที่กินดื่มไม่ได้ มีแต่สำลักและทำให้ตายได้ เพราะฉะนั้น อวัยวะแต่ละส่วนมีธรรมชาติของอวัยวะนั้นๆ เช่นเดียวกัน งานของพระคริสต์ก็มีธรรมชาติเฉพาะเจาะจง และผู้รับใช้ของพระคริสต์ทุกคน ก็ต้องทำงานของพระคริสต์เหมือนกัน อย่างจมูกของมนุษย์ทุกคนก็ทำหน้าที่หายใจเหมือนกัน ไม่ว่าจมูกนั้นจะไปอยู่บนใบหน้าของใครก็ตาม
งานของพระคริสต์อยู่ในชีวิตของผู้เชื่อทุกคน ทำงานกับคนทุกประเภท ทุกชนชั้น ทุกฐานะ ทุกเวลา พระเยซูได้ตรัสถึงธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้างมา เช่น ฝนตกแก่คนดี และคนชั่วเหมือนกัน
มัทธิว 5:43-45 43“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู44 ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน45 ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม
พระเยซูจัดการคว่ำโต๊ะของคนแลกเงิน เอาแส้ไล่คนที่ขายวัวแกะ บอกกับคนขายนกพิราบ ให้ออกไป ไม่ว่าใครหน้าไหน ถูกจัดการหมด ไม่มียกเว้น เพื่อในมีท่าทีที่ถูกต้องต่อพระวิหารของพระเจ้า
มัทธิว 21:13 13 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า นิเวศของเราเขาจะเรียกว่า เป็นนิเวศอธิษฐาน แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น ถ้ำของพวกโจร ”
ธรรมชาติงานของพระคริสต์ เกี่ยวข้องกับคนทุกเพศทุกวัย ทุกสถานที่ ทุกสถานการณ์ ไม่ใช่ชั่วโมงออฟฟิต ไม่มีวันหยุด ไม่มีการเว้น ข้ามคนบางคน ข้าพเจ้าอ่านบทความหนึ่ง ชื่อว่า เมื่อในหลวงร.9 อวยพรวันเกิดดร.สุเมฆ เรารู้ว่าดร.สุเมฆเป็นคนถวายงานใกล้ชิดในหลวงมากที่สุดคนหนึ่ง และในคำอวยพรวันเกิดของในหลวงร.9 ที่ให้กับดร.สุเมฆคือคำว่า งานยังไม่เสร็จ แปลว่า การมีชีวิตอยู่ผ่านวันเกิดไปอีกหนึ่งปี ก็เพื่อจะทำงานของพระองค์ต่อไป
ธรรมชาติงานของพระคริสต์ คือไม่มีวันที่จะยกเลิก มีความต้องการอยู่มาก ไม่มีคำว่า เสร็จ พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า
ลูกา10:2 2 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากแต่คนงานยังน้อยอยู่ เหตุฉะนั้น พวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์
แสดงว่า งานของพระคริสต์ไม่มีวันเสร็จ ยังต้องการแรงงานอีกมาก ความต้องการของคนมีจำนวนมากจริงๆ นี่คือธรรมชาติงานของพระคริสต์
3.ร้อนใจอย่างท่วมท้น มัทธิว 2:17
17 พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกขึ้นได้ถึงคำที่เขียนไว้ว่า “ความร้อนใจในเรื่องพระนิเวศของพระองค์จะท่วมท้นข้าพระองค์ ”
สดุดี 69:7-9 7 เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ได้แบกรับการเยาะเย้ย ความขายหน้าได้คลุมหน้าข้าพระองค์ 8 ข้าพระองค์กลายเป็นแขกแปลกหน้าสำหรับพี่น้อง และเป็นคนต่างด้าวสำหรับบุตรทั้งหลายของมารดา 9 ความร้อนใจในเรื่องพระนิเวศของพระองค์ได้เผาผลาญข้าพระองค์ และคำเยาะเย้ยของผู้ที่เยาะเย้ยพระองค์ตกแก่ข้าพระองค์
ความร้อนใจอย่างท่วมท้น ทำให้ผู้รับใช้ของพระคริสต์…ทำงานของพระองค์โดยไม่เกรงกลัวคำเยาะเย้ย ไม่หวั่นเกรงว่า ตัวเองจะกลายเป็นคนแปลกหน้า สำหรับพี่น้อง (ไม่กลัวที่จะถูกเกลียดชังจากพี่น้อง) เป็นคนต่างด้าวสำหรับพี่น้องของตัวเอง เรียกว่า กลายเป็นตัวประหลาด ในสายตาของคนใกล้ตัว เพราะความร้อนใจอย่างท่วมท้นเรื่องพระนิเวศของพระเจ้าในตัวของคน ใม่ใช่ตัวอาคาร ต้องการให้คนถูกต้องต่อพระเจ้า ต้องการให้คนใกล้ชิดพระเจ้า ต้องการให้คนนมัสการพระเจ้า รักพระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงเป็น
ขอให้เราทุกคน จงเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์…ทำงานของพระคริสต์ ให้พระเจ้าทรงพอพระทัย ไม่ใช่มนุษย์พอใจ แต่ในเวลาต่อมา มนุษย์จะเข้าใจ และพอใจในงานที่เราทำ
พระเยซูทำหลายอย่าง ที่สาวกของพระองค์เองในเวลานั้น ก็ไม่เข้าใจ และรับไม่ได้ แต่ในเวลาต่อมา (เราจะเห็นบันทึกในหนังสือพระกิตติคุณี่เล่ม มักจะเขียนว่า ในเวลานั้น พวกเขาไม่เข้าใจ เพื่อบอกว่า ในภายหลังพวกเขาเข้าใจแล้ว พระเยซูไม่รอให้พวกสาวกเข้าใจ เพราะงานของพระองค์ต้องดำเนินไป
“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…ทำงานของพระคริสต์”
1.มีงานเข้าตลอดเวลา มัทธิว 2:13
2.ธรรมชาติงานของพระคริสต์
3.ร้อนใจอย่างท่วมท้น