“ตัวเองนั่นแหล่ะ”
1โครินธ์ 3:6-9 6 ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต7 เพราะฉะนั้นคนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงโปรดให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ8 คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำก็เป็นพวกเดียวกัน แต่ทุกคนก็จะได้ค่าจ้างตามการที่ตนได้กระทำไว้9 เพราะว่าเราทั้งหลายร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า และเป็นตึกของพระองค์ บ่อยครั้งเรามักมองที่คนปลูกและคนรดน้ำว่าเป็นใคร แม้กระทั่งผู้ที่ทำให้เติบโตคือพระเจ้า ความรับผิดชอบตกอยู่กับผู้ปลูก ผู้รดน้ำ และผู้ทำให้เติบโต แต่เรามักจะลืมไปว่า ชีวิตที่รับการ…ปลูกและรดน้ำ นั้นสำคัญ นั่นหมายถึงตัวเรา ที่จะเป็นดินดี (แน่นอนว่า เมล็ดพันธ์ที่หว่านเป็นเมล็ดที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมที่สุดที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดีแล้ว) แต่ทั้งหมดนี้ จะไม่สามารถเกิดผลดีได้เลย หาก ดินที่รับการหว่าน (เมล็ดพันธ์ที่ดี)ปลูก รดน้ำ ไม่ใช่ดินที่ดี พระเยซูได้ยกตัวอย่างดินสี่ชนิดในหนังสือมัทธิว 13:18-23 18 “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงฟังคำอุปมาว่าด้วยผู้หว่านพืชนั้น19 เมื่อผู้ใดได้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่เมล็ดพืชซึ่งหว่านตกริมหนทาง20 และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความปรีดี21 แต่ไม่ฝังลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทัน ทีทันใด22 และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล23 ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้ แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” สังเกตว่า พระเจ้าทรงทำหน้าที่ของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อคือให้เติบโต แต่อุปสรรคอยู่ที่ลักษณะชีวิตของคนที่เป็นเหมือนกับดิน ดินที่แข็งเหมือนดินข้างทาง (เปรียบเหมือนกับหัวใจที่แข็งกระด้าง) หัวใจที่บาดเจ็บ ต้องรับการเยียวยารักษาเปลี่ยนเป็นใจเนื้อ ใจที่เปิดออก พระวจนะของพระเจ้าที่หว่านเข้าไปในหิน เปรียบเหมือนกับคนที่ไม่สู้ชีวิตไม่อดทน ต้องฝึกชีวิตตนเองให้มาก การจะทนความยากลำบากได้ ต้องแน่วแน่ อดทนและมีความเพียรพยายาม ส่วนชีวิตที่มีหนามปกคลุมจนเมล็ดแห่งพระวจนะเติบโตก็จริง แต่ไม่เกิดผล เพราะความกังวลตามธรรมดาโลกและความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ สุดท้าย ดินดี คือชีวิตที่ได้ยินพระวจนะและเข้าใจ พระวจนะที่หว่านในชีวิตของคนนั้น เกิดผล 100, 60,30 เท่า แล้วแต่ชีวิตของคนนั้นจะพัฒนาความเข้าใจและประยุกต์ใช้ในชีวิตของตนเองมากน้อยขนาดไหน นี่คือภาพที่พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเปิดเผยและอธิบายให้กับสาวกของพระองค์ฟังเป็นการส่วนตัว เพื่อบอกกับสาวกของพระองค์ว่า ทุกคนมีความรับผิดชอบส่วนตัวของตัวเอง การเจริญเติบโตของแต่ละคน มากน้อย ขึ้นอยู่กับตัวของคนๆนั้น อย่าไปโทษว่า คนปลูกไม่ดี คนรดน้ำ ไม่ดี และอย่าได้โทษพระเจ้าที่ไม่ให้เติบโต ตัวเองนั่นแหล่ะ….