“หวั่นไหว?”
ลูกา 6:47-49 47 ทุกคนที่มาหาเราและฟังคำของเรา และกระทำตามคำนั้น เราจะแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า เขาเปรียบเหมือนผู้ใด48 เขาเปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างตึก เขาขุดลึกลงไปแล้วตั้งรากบนศิลา และเมื่อน้ำมาท่วม กระแสน้ำไหลเชี่ยวกระทบกระทั่ง แต่ทำให้หวั่นไหวไม่ได้ เพราะได้สร้างไว้มั่นคง49 ส่วนคนที่ได้ยินและมิได้กระทำตาม เปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างตึกบนดินไม่ก่อราก เมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยวกระทบกระทั่งตึกนั้น ตึกนั้นก็พังทลายลงทันที และความพินาศของตึกนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก” น่าสนใจในคำที่พระเยซูทรงตรัสตอนนี้ว่า คนที่ไม่ได้ก่อรากบนศิลา เป็นเหมือนตึกที่ไม่มีราก without foundation จากความรู้ที่มีน้อยนิดเกี่ยวกับการสร้างตึก หรือบ้าน ชั้นไม่มากแค่ชั้นเดียวที่ไม่ต้องลงเสาเข็ม เป็นเพราะว่า ใต้พื้นที่ที่จะสร้างเป็นชั้นหิน เขาจะขุดลงไปไม่ได้ลึก ติดหิน วิธีสร้างก็คือ หล่อตีนช้าง (ถ้าเรียกไม่ผิด) วางบนหินที่ขุดลงไปเจอ (ไม่ลึกเท่าไหร่) เพื่อให้ตีนช้างนั้นเป็นส่วนเดียวกันกับพื้นหินนั้น คาดว่า สมัยของพระเยซูก็ไม่มีการลงเสาเข็ม แต่น่าจะเลือกสร้างบ้านบนพื้นหินที่ขุดลงไปเจอ คนโบราณยุคนั้น เวลาจะสร้างบ้านก็น่าจะเลือกทำเล ที่มีชั้นหิน ทำให้บ้านที่สร้างบนหินนั้นมั่นคง ซึ่งเป็นความรู้ทั่วไปที่คนในยุคนั้นจะรู้ และไม่มีใครที่จะไปเลือกสร้างบ้านบนพิ้นที่ไม่มีหิน (คาดว่า ในยุคนั้นยังไม่มีความรู้เรื่องการทำเสาเข็ม หรือใช้เสาเข็ม) ดังนั้น พื้นหิน (ศิลา) ที่พระเยซูทรงตรัสถึง จึงเป็นที่รู้กันว่า ทุกคนที่จะสร้างบ้าน จะต้องสร้างบนศิลา เพื่อใช้หินนั้นเป็นรากของบ้าน ถ้าไปสร้างบนทราย(ดินแดนทะเลทราย) บ้านนั้นก็ไม่มีรากใดๆทั้งสิ้น ลมแรงในดินแดนทะเลทรายของอิสราเอลเวลานั้นคำที่ใช้แสดงความแรงของลม แปลว่า ฉีกทุกอย่างที่ขวางหน้า การเปรียบเทียบเรื่องนี้ กับคนที่ฟังคำสอนของพระเยซู แล้วไม่ประพฤติตาม เป็นอะไรที่บอกให้รู้ว่า คำสอนของพระเยซูเป็นความจริงที่ต้องนำไปปฏิบัติ ผลลัพธ์ของการปฏิบัติตาม จะนำไปสู่ชีวิตที่มั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อแรงต้านใดที่มาปะทะ มีตอนหนึ่งที่พระเยซูทรงตรัสถึงบทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์เกี่ยวกับการทำให้ผู้เชื่อระลึกถึงทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสอนไว้ ยอห์น 14:26-27 26 แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว27 เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย ความหวั่นไหวที่น่ากลัวที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน ก็คือ ความวิตกและความกลัว คำสอนของพระเยซูจะทำงานในผู้เชื่อผ่านการทำให้ระลึกถึงโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อผู้เชื่อตอบสนองต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการประพฤติตามตำสอนนั้น ผู้เชื่อคนนั้นจะไม่หวั่นไหว นี่คือความแตกต่างของการเอาคำสอนของพระเยซูไปใช้แบบเนื้อหนัง โดยปราศจากการเร้าใจด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นไปได้ว่านี่คือความแตกต่างของคริสเตียนบางคนที่“หวั่นไหว” และบางคน “ไม่หวั่นไหว” คริสตจักรในยุคแรกถูกเขย่า ถูกข่มเหงหนัก รุนแรง แต่คริสเตียนยุคนั้นไม่หวั่นไหว พวกเขาสามารถร้องเพลงต่อหน้าสิงโตเสือที่กำลังจะฉีกพวกเขาเป็นชิ้นๆ ในโคลอสเซี่ยมของพวกโรมัน บทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังสำคัญสำหรับเราทั้งหลายในวันนี้ สิ่งที่กำลังทำให้คนในยุคนี้หวั่นไหว ก็คือสิ่งเดียวกันที่กำลังทำให้คริสเตียนหวั่นไหว นั่นคือความวิตกและความกลัวในรูปแบบใหม่ ฮีบรู 12:8 28 เหตุฉะนั้นครั้นเราได้แผ่นดินที่ไม่หวั่นไหวมาแล้ว ก็ให้เราขอบพระคุณพระเจ้า เพื่อเราจะได้ปฏิบัติพระเจ้าตามชอบพระทัยของพระองค์ ด้วยความเคารพและยำเกรง แผ่นดินที่ไม่หวั่นไหวของเราคือพระเยซูคริสต์เจ้าผู้เป็นพระศิลาในการสร้างชีวิตของเราทั้งหลาย เรามีรากฐานของชีวิต คือคำสอนของพระเยซูคริสต์แล้ว เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทับตราไว้ในชีวิตของเราแล้ว เหลือส่วนที่เราจะลงรากนั้นในชีวิตก็คือ การเคลื่อนไปตามคำสอนด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่เนื้อหนัง เนื้อหนังทำให้ “หวั่นไหว” แต่พระวิญญาณทำให้ “ไม่หวั่นไหว” แต่จะมั่นคงยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น อาเมน