“Rapture คริสเตียนจะถูกรับขึ้นไป”
2เปโตร 3:10-14 10 แต่ว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะมาถึงเหมือนอย่างขโมยแอบย่องมา และในวันนั้น ท้องฟ้าจะล่วงเสียไปด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินโลกกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในโลกนั้น จะต้องไหม้เสียสิ้น 11 เมื่อเห็นแล้วว่าสิ่งทั้งปวงจะต้องสลายไปหมดสิ้นเช่นนี้ ท่านทั้งหลายควรจะเป็นคนเช่นใดในชีวิตที่บริสุทธิ์และดีงาม12 จงเฝ้ารอและเร่งวันของพระเจ้าให้มาถึง ซึ่งวันนั้นท้องฟ้าจะถูกไฟผลาญสลายไป และโลกธาตุก็จะถูกไฟเผาให้สลายไป13 แต่ว่าตามพระสัญญาของพระองค์นั้น เราจึงคอยท้องฟ้าอากาศใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ซึ่งความชอบธรรมจะดำรงอยู่ 14 เหตุฉะนั้นพวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายยังคอยสิ่งเหล่านี้อยู่ ท่านก็จงอุตส่าห์ให้พระองค์ทรงพบท่านทั้งหลายมีใจสงบ ปราศจากมลทินและข้อตำหนิ
มีคริสเตียนหัวหมอบางคนพูดว่า ถ้าอย่างนั้นเราไปสร้างหนี้สินไว้เยอะๆดีกว่า เวลาถูกรับไป Rapture ไม่ต้องใช้หนี้ซะเลย (ชักดาบ)
แต่พระคัมภีร์ได้พูดเกี่ยวกับหนี้สินอย่างนี้
โรม 13:8 8 อย่าเป็นหนี้อะไรใคร นอกจากความรักซึ่งมีต่อกัน เพราะว่าผู้ที่รักเพื่อนบ้าน ก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว
อาจตีความจากพระคัมภีร์สองตอนนี้ว่า ขอให้เรารีบเคลียร์ตัวเองก่อนถูกรับขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์ ไม่เป็นหนี้การยกโทษให้อภัยกันและกันแล้ว ยังไม่เป็นหนี้สินต่างๆด้วย พยายามใช้หนี้ให้ทัน อย่าเอาหนี้ติดตัวไปเข้าสวรรค์เลย หนี้อะไรไม่ทุกข์เท่าหนี้ภายในจิตใจ ค้างคาใจ ยังไม่ได้ใช้หนี้ใคร
มีผู้ชายคนหนึ่ง มาหาข้าพเจ้าและยื่นเงินคืนให้ข้าพเจ้า(ลืมไปแล้ว) เขาบอกว่าเขาเคยยืมเงินจากข้าพเจ้าตอนเข้าเดือดร้อน ข้าพเจ้าในความรู้สึกตอนให้เงินเขา ไม่ได้คิดว่ให้ยืม แต่ให้เลย เงินไม่มาก แค่สองพันบาท และข้าพเจ้าก็บอกกับเขาว่า ให้ไม่ได้ให้ยืม ข้าพเจ้าไม่ได้รับเงินคืนจากผู้ชายคนนั้น และเขาก็กลับไปด้วยความสบายใจว่า ไม่ได้ติดหนี้อะไรข้าพเจ้าอีก ในเวลาต่อมา ข้าพเจ้าทรงทราบภายหลังว่า เขาเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวบางอย่าง
นี่คือ ความรู้สึกของคนที่รู้ว่า เขากำลังจะจากร่างกายที่เสื่อมสลายนี้ไป และอยากจะจากไปอย่างไม่เป็นหนี้ค้างอะไรใคร
มีคนไม่น้อย ที่ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน ต่างรู้สึกว่า ถ้าจะตาย ก็ของให้จากร่างกาย จากไป อย่างไม่มีอะไรค้างคาใจไป ด้วยคำว่า อโหสิกรรม แปลว่า ยกโทษให้อภัย แต่..น้อยนักจะคิดถึงการค้างหนี้สิน หนี้เงิน และคิดว่า การตายจะจบเรื่องหนี้สินได้
เรารู้หรือไม่ว่า กฏหมายใหม่ หรือวิธีการพิจารณาของศาลในยุคของเรา มีการให้หนี้สินที่ค้างของคนตาย ตกไปเป็นของผู้สืบสันดาน คือลูกๆ และแก่คนในครอบครัว อย่างเช่นสามีหรือภรรยาได้ เพราะมีบางคนไปก่อหนี้ ก่อนตาย (สร้างภาระให้กับผู้ให้กู้ยืม)
ข้าพเจ้าอยากจะตีความคำว่า อย่าเป็นหนี้อะไรใคร ทั้งหนี้ใจ และหนี้สินด้วย (อย่าไปก่อหนี้ก่อนพระเยซูมา หรือก่อนที่เราจะถูกรับขึ้นไป และถ้าเป็นหนี้ ก็ให้รีบชดใช้ ให้หมดหนี้จะดีกว่า
การถูกรับขึ้นไปของคริสเตียน เป็นอะไรที่เราต้องเคลียร์ตัวเองให้มากที่สุด ก่อนถูกรับไป เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า เราได้รับสถานะใหม่เป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าทรงยกโทษให้อภัยเราแล้ว เรารับการช่วยกู้ให้รอดจากสิ่งที่กำลังจะเกิดแก่โลกนี้แน่นอน
1เธสะโลนิกา 4:17 17 หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์
2เปโตร 3:13-14 13 แต่ว่าตามพระสัญญาของพระองค์นั้น เราจึงคอยท้องฟ้าอากาศใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ซึ่งความชอบธรรมจะดำรงอยู่ 14 เหตุฉะนั้นพวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายยังคอยสิ่งเหล่านี้อยู่ ท่านก็จงอุตส่าห์ให้พระองค์ทรงพบท่านทั้งหลายมีใจสงบ ปราศจากมลทินและข้อตำหนิ
นี่คือคำกำชับของอัครสาวกของพระเยซูคริสต์อย่างเปโตร ที่ย้ำว่า เตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับการถูกรับขึ้นไป
เปโตรเป็นคนหนึ่งที่มีประสบการณ์กับการถูกรับขึ้นไปของพระเยซู และเป็นคนหนึ่งที่ได้ยินทูตสวรรค์พูดกับสาวกที่มองดูการเสด็จขึ้นไปบนฟ้าของพระเยซูว่า
กิจการ 1:10-11 10 เมื่อเขากำลังเขม้นดูฟ้า เวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น มีสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆ เขาสองคนนั้นกล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงเขม้นดูฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น”
เปโตรคือสาวกที่ยอมตายถูกตรึงกางเขนกลับหัว เพราะการยืนหยัดว่า พระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตาย และถูกรับขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์ตาหน้าต่อตาของตนเอง และเป็นคนที่เล่าเรื่องนี้ให้ลูกา คนที่บันทึกหนังสือกิจการนี้ (ลูกาในเวลานั้น ติดตามเปโตรไปทุกที่เพื่อเป็นล่าม ให้กับเปโตร เนื่องจากเปโตรเทศนาอย่างชาวประมงที่ไร้การศึกษา และภาษากรีกของเปโตรน่าจะไม่ช่ำชองเท่าลูกา ในการสื่อสารกับยิวยุคภายใต้อาณานิคมของโรมัน
เรื่องการถูกรับขึ้นไป Rapture ของพระเยซูคริสต์คือต้นแบบของการถูกรับไปของคริสเตียนทุกคนที่จะถูกรับไปในรูปแบบเดียวกัน Rapture
ขอให้พี่น้องคุ้ยเคยกับคำๆนี้เพราะว่า ไม่ว่าเราจะตายไปก่อนพระเยซูมาหรือ ยังมีชีวิตอยู่ขณะพระองค์มา เราทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะมีประสบการณ์กับ Rapture นี้แน่นอน
บางคนอาจสงสัยว่า ที่พระเยซูตรัสว่า บางคนจะถูกรับไป บางคนจะถูกทิ้งไว้หมายถึงใคร คนที่ถูกทิ้งไว้คือใคร
มัทธิว 24:26-42 36 “แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว37 ด้วยสมัยของโนอาห์ ได้เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา ก็จะเป็นอย่างนั้น38 เพราะว่าเมื่อก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายได้กินและดื่มกัน ทำการสมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าในนาวา39 และน้ำท่วมมากวาดเอาเขาไปสิ้น โดยไม่ทันรู้ตัวฉันใด เมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาก็จะเป็นฉันนั้น40 เมื่อนั้นชายสองคนอยู่ที่ทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง41 หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ที่โรงโม่ จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง42 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะเสด็จมาเวลาไหน
นักเทศน์มากมายตีความตอนนี้ว่า หมายถึงคริสเตียนทั้งสองคน คนหนี่งจะถูกละไว้ คนหนึ่งจะถูกรับไป (ข้าพเจ้าเองก็เข้าใจอย่างนั้น) แล้วอะไรคือมาตรฐาน การกรทำของคนหรือ ในขณะที่เราสอนให้ผู้เชื่อใช้ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่การกระทำ By faith alone เราสอนว่า เราเป็นคนดี เราจึงทำดี ไม่ใช่การทำดี เพื่อให้เราเป็นคนดี และการเป็นคนดีของเรา คือการได้รับความชอบธรรมของพระเยซูมาแล้ว เราจะทำดีได้ขนาดไหน ไม่สำคัญ แต่ขอให้เราเป็นคนดีก่อน การทำดีจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของชีวิตใหม่
2โครินธ์ 5:17 17 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
การใช้คำให้กับสิ่งเก่า กับสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน เป็นคำกริยา เป็นปัจจุบัน สิ่งเก่าล่วงไป อย่างต่อเนื่อง และสิ่งใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นิสัยเก่าๆที่คนไทยเรียกว่า สันดาน ที่ฝังรากลึก ต้องใช้เวลาขุด ไม่ใช่ปุบปับจะออกหมด พระคัมภีร์ถึงได้กล่าวว่าพระเจ้าต้องใช้ความอดกลั้นอดทนกับเรา
2เปโตร3:9 9 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่
ถ้าอย่างนั้น ใครคือคนที่ถูกละไว้ น่าสนใจมากว่า มีคนตีความอีกแบบหนึ่ง คือ ถ้าเรารับเชื่อ ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เราเชื่อในพระสัญญาของพระองค์ เราหันกลับมาหาพระเจ้า (กลับใจใหม่) เรารอด
ยอห์น 3:16 16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
ความเชื่ออย่างเดียวทำให้ได้รับความรอดหรือ? ยากอบได้โต้แย้งเรื่องนี้ว่า
ยากอบ 2:17-25 17 ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ประพฤติตามก็ไร้ผล 18 แต่บางคนจะกล่าวว่า “คนหนึ่งมีความเชื่อแต่อีกคนหนึ่งมีการประพฤติ” จงแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นความเชื่อของท่าน ที่ไม่มีการประพฤติตาม และด้วยการประพฤติตาม ข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านเห็นความเชื่อของข้าพเจ้า19 ท่านเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นหนึ่ง นั่นก็ดีอยู่แล้ว แม้พวกปีศาจก็เชื่อ และกลัวจนตัวสั่น20 แน่ะคนโฉดเขลา ท่านต้องการให้พิสูจน์หรือว่า ความเชื่อที่ไม่ประพฤติตามนั้นไร้ผล21 เมื่ออับราฮัมบิดาของเรา ได้พาอิศอัคบุตรของท่านมาถวายบนแท่นบูชา จึงได้ความชอบธรรมเพราะการประพฤติไม่ใช่หรือ22 ท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่า ความเชื่อมีกำลังร่วมกับการประพฤติตามของท่าน และความเชื่อนั้นจะบริบูรณ์ด้วยการประพฤติ23 และพระคัมภีร์ก็สำเร็จที่ว่า อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่า ความเชื่อนั้นเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน และท่านได้ชื่อว่า เป็นสหายของพระเจ้า 24 ท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่า ผู้ใดจะเป็นคนชอบธรรมได้ ก็เนื่องด้วยการประพฤติ และมิใช่ด้วยความเชื่อเพียงอย่างเดียว25 เช่นเดียวกัน ราหับหญิงแพศยาก็ได้ความชอบธรรมเนื่องด้วยความประพฤติมิใช่หรือ เมื่อนางได้รับรองผู้ส่งข่าวเหล่านั้น และส่งเขาไปเสียทางอื่น26 เพราะกายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้นไร้ชีพแล้วฉันใด ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติตามก็ไร้ผลฉันนั้น
สิ่งที่ยากอบกล่าวนี้ คือการประพฤติตอบสนองต่อน้ำพระทัยพระเจ้า คือการทำดีตามน้ำพระทัยพระเจ้า จะยืนยันว่า ความเชื่อที่เรามีนั้น คือความมั่นใจในความรอด
โรม 10:9-10 9 คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด10 ด้วยว่า ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด
ยากอบไม่ได้ขัดแย้งกับพระธรรมโรมตอนนี้เลย แต่กลับสนับสนุนเสียด้วยซ้ำ เพราะยากอบใช้คำว่า ถ้าความเชื่อปราศจากการประพฤติก็ไร้ผล คำว่า ไร้ผล แปลว่า ตาย
ความเชื่อที่แท้ต้องไม่ตาย ใช้ความเชื่อกับคนรอบข้าง มีความหวังกับคน นั่นคือความเชื่ออย่างเดียวกันกับพระเจ้า คนบางคนน่าสิ้นหวัง แต่สำหรับพระเจ้า พระองค์มีความหวังกับคนทุกคน แม้คนที่เลวร้ายที่สุด พระเจ้าก็ยังมองเห็นโอกาสที่จะให้คนๆนั้นกลับใจใหม่ นี่คือความเชื่อที่ไม่ตาย และเป็นความเชื่อที่ยากอบกำลังบอกกับคริสเตียนยุคนั้นถึงคริสเตียนยุคนี้ว่า นี่คือความเชื่อที่จะสร้างความมั่นใจในการถูกรับไป Rapture เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมา และเป็นรากฐานของจิตใจในการทำดีที่จะผ่านการพิสูจน์ด้วยไฟของพระเจ้า เพื่อรับบำเหน็จ เข้าสู่สวรรค์อย่างคนที่ไม่ต้องอยู่อย่างอับอายขายหน้าอย่างคนที่รอดอย่างไฟ(เปลือยกาย)
คลิปวิดีโอที่เราได้รับชม คือ เป็นการตีความของพี่น้องคริสเตียนคนหนึ่ง ที่น่าสนใจ มีสถานที่สามแห่งที่แตกต่างกันในสวรรค์
อ.เปาโลก็ได้แบ่งปันประสบการณ์ว่า ได้เข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่า สวรรค์ชั้นที่สาม ทำให้บางคนตีความเข้าใจว่า มีสวรรค์สามชั้น แต่ความจริง คือสถานที่แตกต่างกันในสวรรค์สามแห่ง แห่งแรก ที่เรียกว่า
สวรรคสถานแห่งที่หนึ่ง คือสถานที่คริสเตียนเข้าสวรรค์อย่างรอดอย่างไฟ คืออยู่อย่างอับอาย ไม่มีบำเหน็จ แต่รอดตายการโลกธาตุที่แตกสลายไป รับกายใหม่ แต่กายนั้นไม่ได้มีสง่าราศรี อย่างที่ควรจะได้รับ
สวรรคสถานแห่งที่สอง คือ สถานที่ที่คริสเตียนอีกประเภทหนึ่งได้เข้าไปแต่ยังเข้าไปไม่ถึงสวรรค์ชั้นที่สาม สวรรค์ชั้นนี้ เป็นคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตที่รักแต่ตัวเอง รอดก็จริง มีเสื้อที่สวมไส่คือสิ่งที่ตนเองรัก หากเทียบศักดิ์ศรีการเข้าสวรรค์แล้ว ก็คือการอยู่อย่างน่าเสียดายที่พลาดโอกาสได้เข้าสวรรค์ชั้นที่สาม
สวรรคสถานแห่งที่สาม (ที่เปาโลได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียน) คริสเตียนที่รอด ถูกรับขึ้นไป จะมีมงกุฎ มีเสื้อแห่งความชอบธรรม อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า มีพื้นที่ส่วนตัว ได้ร่วมโต๊ะกับพระเจ้า ได้นมัสการพระเจ้า และอยู่กับพระสิริของพระเจ้า ในฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่ เยรูซาเล็มใหม่ อยากไปไหน ก็ไปได้ทุกที่ แฮปปี้
ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับการตีความนี้ เราทุกคนที่เชื่อ รอดแน่นอน และจะพบกับการถูกรับขึ้นไป Rapture แต่ว่า จะรอดอย่างไฟ รอดอย่างเข้าสวรรค์ class 1 class 2 หรือ class 3 อยู่ที่เราดำเนินชีวิตในโลกนี้ เพื่อเข้าสู่การพิสูจน์ด้วยไฟของพระเจ้าอย่างไร
แล้วคนที่ถูกละไว้คือใคร คือคนที่จะเป็นพยานว่า การถูกรับไป Rapture มีจริง คือคนที่ไม่เชื่อเรื่องการรถูกรับไป นั่นเอง แต่เราคือคนที่เชื่อใช่ไม๊?
2เปโตร 3:13-14 13 แต่ว่าตามพระสัญญาของพระองค์นั้น เราจึงคอยท้องฟ้าอากาศใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ซึ่งความชอบธรรมจะดำรงอยู่ 14 เหตุฉะนั้นพวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายยังคอยสิ่งเหล่านี้อยู่ ท่านก็จงอุตส่าห์ให้พระองค์ทรงพบท่านทั้งหลายมีใจสงบ ปราศจากมลทินและข้อตำหนิ
ความเชื่อที่มีการประพฤติ ก็ work ด้วย การดำเนินชีวิตที่
1.มีใจสงบ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
2.ปราศจากมลทิน จากกิเลศตัณหาทั้งหลาย
3.ปราศจากข้อตำหนิ ดีรอบคอบ (ดีพร้อม) ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเหมาะสม และดีที่สุดอย่างผู้เชี่ยวชาญในการดี
ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่จะกำหนดว่า เราจะอยู่สวรรคสถานแห่งไหน หลังจากถูกรับขึ้นไป Rapture
โปรดระวัง การตัดสินใจแบบสิ้นคิด คือ ขอแค่สวรรคสถานแห่งที่ 3 ก็พอ เพราะนั่นคือสถานะที่จะอยู่อย่างน่าอายชั่วนิรันดร์ (ขออย่าเป็นอย่างนั้นเลย) เราควรจะเจอกันในสวรรคสถานแห่งที่ 3 (พระเจ้าทรงคาดหวังทุกคนอยู่ที่นั่น The best )