“การจัดเตรียมของพระเจ้า ไม่ได้มาฟรีๆ”
โลกนี้ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ยกเว้น ความรอดในพระเยซูคริสต์เจ้า เรารอดจากการพิพากาษาโทษแล้ว
โรม 3:23-24 23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า24 แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว
เราได้เป็นผู้ชอบธรรมที่จะเข้าแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าโดยไม่ต้องจ่ายราคา แต่ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ จำเป็นที่เราจะต้องจ่ายราคาให้กับทุกอย่าง Ex. แม้แต่สุขภาพของเรา ที่มีคำพูดว่า สุขภาพหาซื้อไม่ได้ อยากได้ ต้องทำเอง นั่นก็คำพูดที่มีความหมายถึงต้องจ่ายราคา แต่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินทอง แต่ต้องจ่ายราคาเป็นการลงแรง ลงกำลังด้วยตัวเอง ถึงจะได้สุขภาพที่ดีมา
มีข้อพระคัมภีร์ที่คริสเตียนไม่น้อยชอบ ก็คือการจัดเตรียมของพระเจ้าสำหรับคนที่รักพระองค์
1โครินธ์ 2:9 ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์
การจัดเตรียมของพระเจ้า ในข้อนี้ ก็ไม่ได้มาแบบฟรีๆ คนของพระเจ้าก็ต้องจ่ายราคา ด้วยความรักที่มีต่อพระเจ้า พระเจ้าองค์นี้ ไม่เหมือนพระอื่น ที่คนมากมายกราบไหว้บูชา ที่ต้องมีเครื่องเซ่นไหว้ ทำโน่นนี่นั่นให้เป็นข้อแลกเปลี่ยน และในความเป็นจริง ก็ไม่มีพระอื่นนอกจากพระเจ้าพระผู้สร้างทุกสิ่ง พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า พระเจ้าดำรงอยู่ได้ด้วยพระองค์เอง พระองค์ไม่ต้องการสิ่งใดจากมนุษย์ เพราะทุกสิ่งเป็นของพระองค์ แล้วพระเจ้าต้องการอะไร คำตอบคือ พระเจ้าต้องการให้มนุษย์เป็นอย่างที่พระเจ้าสร้างให้เป็น ทุกวันนี้ มนุษย์ผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น
พระเยซูเสด็จมาเพื่อ เรียกให้มนุษย์ทุกคนติดตามพระองค์เพื่อจะกลับสู่การเป็นไปตามที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ หลังจากมนุษย์คู่แรกล้มลงในความบาป มนุษย์คนแรกที่พระเจ้าทรงเรียกกลับมาหาพระองค์ ก็คืออับราม ภายหลังเปลี่ยนเป็นชื่ออับราฮัม พระเจ้าต้องการจะสร้างโมเดลของมนุษย์ผู้ที่ตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระเจ้ากลับมาอีกครั้งหนึ่ง อับราฮัมเชื่อฟังการทรงเรียก แยกตัวออกจากสังคมที่เคยอยู่ และมุ่งหน้าไปตามที่พระเจ้าทรงนำ ตลอดเส้นทางชีวิตของอับราฮัม ที่มีอายุมากแล้ว อับราฮัมเดินตามพระเจ้าพร้อมกับพระสัญญาว่า เขาจะมีลูกชาย เพื่อสืบทอดต่อไป และการอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น คืออับราฮัม มีลูกกับภรรยาที่เป็นหมัน คือนางซาราห์ เป็นอิสอัค (แม้ว่า ก่อนหน้านั้น อับราฮัมจะมีลูกกับสาวใช้ นางฮาการ์ เป็นอิชมาเอล แต่นั่นไม่ใช่ลูกที่พระเจ้าสัญญา เป็นความพยายามของมนุษย์ที่อยากจะมี อยากจะเป็น)
ในบทเรียนที่พระเจ้าทรงสอนอับราฮัม ผู้ที่จะเป็นต้นตระกูลของชนชาติอิสราเอล เรื่องราวในพระคัมภีร์ตอนนี้ คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการจะสอนคนของพระองค์เกี่ยวกับ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ และการจัดเตรียมของพระเจ้า ที่คริสเตียนคุ้นเคย คือคำว่า เยโฮวายิเรห์ รากศัพท์ฮีบรูแปลว่า “จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์” ไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ มาดูเรื่องราวการเกิดคำนี้ ในหนังสือปฐมกาล…
ปฐมกาล 22:1-18 1 ต่อมาพระเจ้าทรงลองใจอับราฮัม และตรัสกับท่านว่า “อับราฮัม” ท่านทูลว่า “พระเจ้าข้า”2 พระองค์ตรัสว่า “จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก ไปยังแคว้นโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องเผาบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า”3 อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ผูกอานลาของท่านพาคนใช้หนุ่มไปกับท่านด้วยสองคนกับอิสอัคบุตรของท่าน ท่านตัดฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชา เดินทางไปยังที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกแก่ท่าน4 พอถึงวันที่สามอับราฮัมเงยหน้าขึ้นแลเห็นที่นั้นแต่ไกล5 อับราฮัมจึงพูดกับคนใช้ของท่านว่า “อยู่กับลาที่นี่เถิด เรากับลูกจะเดินไปที่โน้นนมัสการพระ แล้วจะกลับมาพบเจ้า”6 อับราฮัมเอาฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชาใส่บ่าอิสอัคบุตรชาย ถือไฟและมีดแล้วพ่อลูกไปด้วยกัน7 อิสอัคพูดกับอับราฮัมบิดาว่า “คุณพ่อ” และท่านตอบว่า “ลูกเอ๋ย มีอะไรรึ” ลูกจึงว่า “นี่ไฟและฟืน แต่ลูกแกะสำหรับเครื่องเผาบูชาอยู่ที่ไหน”8 อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็นเครื่องเผาบูชา” พ่อลูกทั้งสองก็เดินต่อไปด้วยกัน 9 เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน10 แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย11แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า “อับราฮัม อับราฮัม” และท่านตอบว่า “พระเจ้าข้า”12 ทูตสวรรค์ว่า “อย่าแตะต้องเด็กนั้นหรือกระทำอะไรเขาเลย เพราะบัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า แต่ยอมถวายบุตรชายคนเดียวของเจ้าให้เรา”13 อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย14 อับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า เยโฮวาห์ยิเรห์ อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า “จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์” 15 ทูตของพระเจ้าเรียกอับราฮัมครั้งที่สองมาจากฟ้าสวรรค์ว่า16 “พระเจ้าตรัสว่า เราปฏิญาณในนามของเราว่า เพราะเจ้ากระทำอย่างนี้และมิได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า17 เราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์18 ประชาชาติทั้งหลายทั่วโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เหตุว่าเจ้าฟังเสียงของเรา”
1.ความกลัวการสูญเสียที่ต้องถูกจัดการ
คำว่า ถวายเป็นเครื่องบูชา หมายถึง ต้องฆ่าให้ตาย ผ่าซึก หั่น แบ่งชิ้นส่วนเป็นชิ้นๆ วางบนแท่นบูชา และเผาด้วยไฟ โดยปกติจะใช้แกะเป็นเครื่องเผาบูชา แต่ในตอนนี้ พระเจ้าให้อับราฮัมใช้อิสอัค ลูกชายสุดที่รักของอับราฮัมแทนแกะ พระเจ้าตรัสชัดเจน ว่าใช้ลูกชายคนเดียวที่อับราฮัมรักและหวงแหนที่สุด
1 ต่อมาพระเจ้าทรงลองใจอับราฮัม และตรัสกับท่านว่า “อับราฮัม” ท่านทูลว่า “พระเจ้าข้า”2 พระองค์ตรัสว่า “จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก ไปยังแคว้นโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องเผาบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า”2 พระองค์ตรัสว่า “จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก ไปยังแคว้นโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องเผาบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า
อับราฮัมอาจจะต่อรองว่า อิชมาเอลไง ลูกชายคนโต ลูกชายคนแรก ที่เกิดกับนางฮาการ์ แต่การสื่อสารของพระเจ้ามายังอับราฮัมชัดเจน คือชื่ออิสอัค ไม่ใช่อิชมาเอล บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก พระเจ้าทรงสื่อสารอย่างชัดเจนกับอับราฮัม ระบุชื่ออิสอัค ความจริง อับราฮัมน่าจะรักลูกชายทั้งสองคน ทั้งอิชมาเอล และอิสอัค แต่อิสอัคน่าจะเป็นลูกที่หวงแหนมากที่สุดของอับราฮัม เพราะเกิดจากภรรยา ที่อับราฮัมหวงแหนมากเช่นกัน หากเราย้อนกลับไปดูบทต้นๆ นางซาราห์ตอนสาวๆ มีความสวยงามอย่างยิ่ง อับราฮัมต้องปกปิดว่านางซาราห์เป็นแค่น้องสาว เพราะกลัวถูกฆ่าชิงเมีย จนฟาโรห์ยังขอนางซาราห์มาเป็นภรรยา อับราฮัมรอดตัวแต่เสียเมืย พระเจ้าต้องเอากลับมาคืนให้ ด้วยให้ภัยพิบัติเกิดในอียิปต์จนฟาโรห์ ต้องคือนางซาราห์ให้กับอับราฮัม นี่อาจเป็นประสบการณ์ที่อับราฮัมมีกับพระเจ้า เรื่องการได้คืนผู้ที่อับราฮัมรักหวงแหน
การสูญเสียและได้คืน ผู้เป็นที่รัก ของอับราฮัม เกิดจากความกลัวที่จะสูญเสีย ทำให้ต้องสูญเสีย นางซาราห์ แต่พระเจ้าทรงช่วยเอากลับคืนมา
2.ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวการสูญเสีย
3 อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ผูกอานลาของท่านพาคนใช้หนุ่มไปกับท่านด้วยสองคนกับอิสอัคบุตรของท่าน ท่านตัดฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชา เดินทางไปยังที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกแก่ท่าน4 พอถึงวันที่สามอับราฮัมเงยหน้าขึ้นแลเห็นที่นั้นแต่ไกล5 อับราฮัมจึงพูดกับคนใช้ของท่านว่า “อยู่กับลาที่นี่เถิด เรากับลูกจะเดินไปที่โน้นนมัสการพระ แล้วจะกลับมาพบเจ้า”6 อับราฮัมเอาฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชาใส่บ่าอิสอัคบุตรชาย ถือไฟและมีดแล้วพ่อลูกไปด้วยกัน
อับราฮัมพาคนใช้ไปสองคน ซึ่งไม่ใช่คำสั่งของพระเจ้า เป็นไปได้ที่อับราฮัมต้องการคนร่วมทางไปกับท่าน คนใช้หนุ่ม ก็ยังโตกว่าอิสอัคที่ยังเด็ก อับราอัมต้องการคนที่จะร่วมทาง ต้องการกำลังใจ ที่สามารถจะพูดคุยได้ และยามฉุกเฉินก็ช่วยได้ (ณ เวลานั้น อับราฮัมมีอายุเป็นร้อยปีแล้ว ) แต่เมื่อมาถึงที่กำหนดของพระเจ้า คือ ภูเขาโมริยาห์ เป็นภูเขาสูง ในเขาที่ต่อมาคือเยรูซาเล็ม (เป็นพื้นที่ภูเขา) อับราฮัมต้องไปต่อ ต้องไปคนกับลูกชายเล็กๆตามลำพังแล้ว
6 อับราฮัมเอาฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชาใส่บ่าอิสอัคบุตรชาย ถือไฟและมีดแล้วพ่อลูกไปด้วยกัน
มีเวลาที่เราอาจจะต้องโดดเดี่ยว อยู่คนเดียว เพื่อจะเผชิญหน้ากับความกลัวการสูญเสีย แต่สำหรับคนของพระเจ้า นั่นคือจุดนัดพบกับพระเจ้า เป็นเวลาแห่งการถวายเครื่องบูชา ที่จิตใจของผู้นมัสการพระเจ้าจะถวายการจดจ่อที่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว
อ.เปาโล ได้เขียนในพระคัมภีร์ใหม่ ให้คริสเตียนนมัสการพระเจ้า ด้วยจิตวิญญาณ ไม่ใช่ด้วยสิ่งที่นำมาถวาย
โรม 12:1 1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย
การร้องเพลงนมัสการพระเจ้าในโบสถ์วันอาทิตย์ หรือที่ไหนก็ตาม หากปราศจากการนมัสการด้วยจิตวิญญาณแล้ว เสียงเพลงก็เป็นเหมือนฆ้องฉาบที่ส่งเสียงดัง น่ารำคาญเท่านั้น พระเจ้าไม่ต้องการจะฟังเสียงแบบนั้น มันไร้ความหมาย
พระเจ้าต้องการการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง ไม่ใช่การหลอกลวง ที่นำมาให้กับพระองค์
พระเยซูคริสต์ทรงตำหนิพวกฟาริสีว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
มัทธิว 15:7-9 7 โอ คนหน้าซื่อใจคด อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกท่านถูกแล้วว่า 8 ประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของเขาห่างไกลจากเรา9 เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาตู่ว่าเป็นพระดำรัสสอนของพระเจ้า”
การนมัสการที่จะเข้าถึงพระเจ้าจริงๆ ต้องเริ่มต้นด้วยการเผชิญหน้ากับความกลัวการสูญเสียอย่างอับราฮัม ที่กำลังเดินไปพร้อมกับลูกชายที่ตนรักและหวงแหนที่สุด เพื่อจะเข้าสู่การถูกลองใจเรื่องนี้กับพระเจ้า ว่าเขาคือ ผู้นมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่
3.ต้องมีความเชื่อมั่นในพระเจ้าผู้สัตย์จริง
7 อิสอัคพูดกับอับราฮัมบิดาว่า “คุณพ่อ” และท่านตอบว่า “ลูกเอ๋ย มีอะไรรึ” ลูกจึงว่า “นี่ไฟและฟืน แต่ลูกแกะสำหรับเครื่องเผาบูชาอยู่ที่ไหน”8 อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็นเครื่องเผาบูชา” พ่อลูกทั้งสองก็เดินต่อไปด้วยกัน 9 เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน10 แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย
การเอาลูกคนมาเป็นเครื่องบูชา เป็นสิ่งที่ชนชาติต่างๆในยุคโบราณมักจะกระทำกัน แต่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ของคนที่เชื่อพระเจ้าจะต้องเอาคนมาบูชายันต์ต่อพระเจ้า เพราะเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจต่อพระเจ้าอย่างยิ่ง ดังนั้น การที่พระเจ้าทรงลองใจอับราฮัมในเรื่องนี้ จึงเป็นอะไรที่พระเจ้าทรงให้คนที่เชื่อในพระองค์ทำสิ่งที่ขัดต่อความเป็นพระเจ้าพระองค์เองอย่างยิ่ง อับราฮัมน่าจะยังเชื่อในความซื่อสัตย์ของพระเจ้า เหมือนอย่างที่ในพระคัมภีร์ใหม่ได้กล่าวว่า
2ทิโมธี 2:13 13 ถ้าเราไม่มีความสัตย์จริง พระองค์ก็ยังทรงไว้ซึ่งความสัตย์จริง เพราะพระองค์จะไม่ทรงเป็นพระองค์เองไม่ได้
ยากอบ 1:17 17 ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง
อับราฮัมมีความเชื่อมั่นในการจัดเตรียมของพระเจ้าจนถึงวินาทีสุดท้ายของการรอคอยการจัดเตรียมจากพระเจ้า อับราฮัม ทำตามที่พระเจ้าสั่งทุกอย่าง
อับราฮัมสร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน10 แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย
เริ่มจากแบกฟืน ให้ลูกถือไฟ และมีด คริสเตียนส่วนใหญ่ก็อยู่ในการรอคอยการจัดเตรียมของพระเจ้าแค่ตรงนี้ คือ ประกาศให้คนมากมายรู้ว่า ตนเองคือคริสเตียน เป็นผู้นมัสการพระเจ้าแต่องค์เดียว
บางคนก็ มาถึงขั้นตอนอย่างอับราฮัม คือ สร้างแท่นบูชา เรียงฟืน นั่นก็คือภาพของการมาโบสถ์วันอาทิตย์ ร้องเพลง ใช้เวลาสองชั่วโมง เต็มบ้าง ไม่เต็มบ้าง มาเวลาพอดีจะเทศนา หรือจะจบเพลงนมัสการสุดท้ายแล้ว
แต่จะมีแค่บางคน(จำนวนไม่มาก) ที่มาถึงขั้นตอนอย่างอับราฮัมที่จับอิสอัคมัดและวางไว้บนแท่นบูชา และนี่คือ การนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง มีจิตจดจ่อที่พระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
สุดท้าย วินาทีที่อับราฮัมเงื้อมมีดขึ้น….. ตัดใจ จากสิ่งที่ตนเองรักและหวงที่สุด มอบถวายสิ่งนั้นให้กับพระเจ้า
มาระโก 12:29-30 29 พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า “ธรรมบัญญัติเอกนั้นคือว่า โอ ชนอิสราเอลจงฟังเถิด พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงเป็นพระเจ้าเดียว 30 และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน
4.พระเจ้ามาทันเวลาเสมอ
11แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า “อับราฮัม อับราฮัม” และท่านตอบว่า “พระเจ้าข้า”12 ทูตสวรรค์ว่า “อย่าแตะต้องเด็กนั้นหรือกระทำอะไรเขาเลย เพราะบัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า แต่ยอมถวายบุตรชายคนเดียวของเจ้าให้เรา” 13 อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย
พระเจ้ามาทันเวลาเสมอ ในบททดสอบ ลองใจอับราฮัม ที่ต้องจ่ายราคา ในขณะเชื่อฟังพระเจ้า 1.ความกลัวการสูญเสีย 2. การเผชิญหน้ากับความกลัวอีกครั้ง 3. ความเชื่อมั่นในพระเจ้าผู้สัตย์จริง จะพาเราให้มาถึงการพบกับคำว่า พระเจ้ามาทันเวลาเสมอ ไครอสของพระเจ้า
สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับอับราฮัม ในสถานการณ์นั้น อับราฮัมยังเปิดหูเปิดตาของตัวเอง ที่จะรับการสื่อสารจากพระเจ้า หูอับราฮัมได้ยินเสียงของพระเจ้า อย่างรวดเร็ว ไวในการฟัง โดยเฉพาะเสียงห้ามทำอันตรายอิสอัค ตาที่จะมองหาการจัดเตรียมของพระเจ้า ผ่านบทลองใจของพระเจ้า การยอมที่จะมอบถวายของรักของหวงให้กับพระเจ้า ทำให้อับราฮับมรักษาชีวิตลูกชายไว้ได้ และ
อับราฮัมได้เห็นแกะที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างที่อับราฮัมพูดไว้กับลูกชาย ในตอนแรก
5.การจัดไว้บนภูเขาของเยโฮวาห์เท่านั้น
14 อับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า เยโฮวาห์ยิเรห์ อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า “จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์”
การจัดเตรียมของพระเจ้า อยู่บนภูเขาสูง ที่นัดพบที่พระเจ้าเป็นผู้นัดเอง ไม่ใช่มนุษย์กำหนด อับราฮัมได้พบกับพระเจ้า และได้คืนลูกชาย ได้แกะสำหรับบูชา
การมานมัสการพระเจ้าของคริสเตียน ควรจะพบกับการจัดเตรียมของพระเจ้าเสมอ เพราะนั่นคือการพบกับพระเจ้า ณ ที่นัดพบ ที่กำหนด หลายคนมาโบสถ์ทุกอาทิตย์นมัสการพระเจ้า ไม่ขาดเลย เพราะเขาได้พบกับคำตอบของพระเจ้าในการนมัสการเสมอ ได้ยินเสียง ได้เห็นการจัดเตรียมของพระเจ้า เมื่อการนมัสการนั้น เป็นการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง
6. เป็นพระพรแก่คนในวงกว้าง
15 ทูตของพระเจ้าเรียกอับราฮัมครั้งที่สองมาจากฟ้าสวรรค์ว่า16 “พระเจ้าตรัสว่า เราปฏิญาณในนามของเราว่า เพราะเจ้ากระทำอย่างนี้และมิได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า17 เราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์18 ประชาชาติทั้งหลายทั่วโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เหตุว่าเจ้าฟังเสียงของเรา”
อับราฮัม ถูกเรียกว่า เป็นบิดาแห่งความเชื่อ เพราะความเชื่อของอับราฮัม ทำให้ประชาชาตbทั่วโลกได้พร ผ่านการมาบังเกิดของพระผู้ช่วยให้รอดของโลก คือพระเยซูคริสต์เจ้า ผ่านทางเชื้อสายของอับราฮัม เป็นพระพรแก่คนหมู่มาก ไม่ใช่สำหรับคนบางกลุ่มเท่านั้น
7. อย่าซ้ำรอยพระพรที่เสียหายอย่างชนชาติอิสราเอล
น่าเสียดายที่คนอิสราเอลรุ่นหลังๆ ทำความเสียหายให้กับพระพรที่พระเจ้าประทานผ่านอับราฮัม ยอห์น บัพติศโต ผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายของชนชาติอิสราเอล ได้เรียก เตือนพวกฟารีสี สะดูสี ที่เป็นกลุ่มคนที่น่าจะมีชีวิตดีที่สุดแต่กลับมีความเชื่อในพระเจ้าแต่เปลือกนอกเท่านั้น
มัทธิว 3:7-10 7 ครั้นยอห์นเห็นพวกฟาริสี และพวกสะดูสีพากันมาเป็นอันมาก เพื่อจะรับบัพติศมา ท่านจึงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าชาติงูร้าย ใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น8 เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น9 อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้10 บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ
“การจัดเตรียมของพระเจ้า ไม่ได้มาฟรีๆ”
1.ความกลัวการสูญเสียที่ต้องถูกจัดการ
2.ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวการสูญเสีย
3.ต้องมีความเชื่อมั่นในพระเจ้าผู้สัตย์จริง
4.พระเจ้ามาทันเวลาเสมอ
5.การจัดไว้บนภูเขาของเยโฮวาห์เท่านั้น
6. เป็นพระพรแก่คนในวงกว้าง
7.อย่าซ้ำรอยพระพรที่เสียหายอย่างชนชาติอิสราเอล