นิสัยของคริสเตียนสำคัญไฉน?

ภาษาไทยแยก 2 คำนี้ นิสัยกับสันดาน คือ

นิสัย : คือสิ่งที่ได้จากการอบรมสั่งสอน เปลี่ยนได้โดยการฝึก เรียนรู้ เลียนแบบ

📖1คร.15:33อย่าหลงเลย การคบกับคนชั่วย่อมทำให้นิสัยที่ดีเสียไป

Manner =a strengthened form of moral habits

สันดาน คือลักษณะชีวิตที่ไม่มีใครสอน เป็นสิ่งที่เชื่อว่ามีมาแต่กำเนิด ทำให้มีการตอบสนองสิ่งรอบข้างด้วยตัวเขาเอง มีทั้งดีและไม่ดี

พระคำ ให้คำว่า “สันดาน” มาจากความหมายธรรมชาติบาป

📖ยน.8:44ข. เมื่อมันพูดมุสามันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา

📖อฟ.2:33เมื่อก่อนเราทั้งปวงเคยประพฤติเป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้นที่ประพฤติตามตัณหาของเนื้อหนังเช่นกัน คือกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนังและความคิดในใจ ตามสันดาน by nature from 5453; growth (by germination or expansion)…..(ธรรมชาติบาป)…เราจึงเป็นบุตรแห่งพระอาชญาเหมือนอย่างคนอื่น

💥และธรรมชาติบาป หรือ สันดานบาปสำหรับคต.ต้องสิ้นสุดแล้วโดยพระโลหิตของพระเยซู💥

📖กท.3:22ก.22แต่พระคัมภีร์ได้บ่งว่า ทุกคนอยู่ในความบาป ….เพื่อจะประทานตามพระสัญญาแก่คนทั้งปวงที่เชื่อ โดยอาศัยความเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นหลัก

คริสเตียนทุกคนที่บังเกิดใหม่จึงมีสันดานดี

แต่คริสเตียนที่สันดานดีก็มีนิสัยเสีย……แตกต่างกัน…ซึ่งตามที่กล่าวมาข้างต้นเป็น•••นิสัย.. ส่วน..คุณธรรมนิสัย(moral habit) …..วัดจากเมื่อแสดงออกด้านคุณธรรมในชีวิตประจำวันโดยไม่เกี่ยวกับกฏ แต่เป็นเหมือน “กฏ” (สิ่งที่ยึดไว้อย่างเหนียวแน่น)ที่ตนเองรักษาไว้เป็นปกตินิสัย…

…เช่น คริสเตียน ก……จะให้คนที่ทำตัวดีเหมาะสม

….แต่ คริสเตียน  ข……จะให้คนที่เดือดร้อน

….พระคำบอกให้อาหารแก่ศัตรู

(รม.12:2020เหตุฉะนั้น ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหาย จงให้น้ำเขาดื่ม เพราะว่าการทำอย่างนั้นเป็นการสุมถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศีรษะของเขา’)

ที่สำคัญ…ไอ้ตัวที่เป็นนิสัยเสียนี้แหละ..มันอาจมีผลต่อชีวิตใหม่ให้มีมลทินจนไปถึงจุดที่ออกจากความเชื่อได้

ดังนั้น..คริสเตียนจึงต้องถูกฝึกฝน นิสัยโดยพระคำ

📖 2ทธ.3:16 พระคำทุกตอน เพื่อฝึกฝนให้เป็นคนดี…💥นี่คือเป้าหมายของพระวจนะทั้งเล่ม

และนั่นคือ..ชีวิตภายใน /นิสัย/จิตใจทัศนคติ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันอยากแยกไม่ได้และเป็นส่วนของเราที่ต้องร่วมมือกับพระคำ พระวิญญาณ

📖ยก.1:21….>

แต่เมื่อเราเป็นคริสเตียน ….เรามักให้ความสำคัญในการเปลี่ยนนิสัยน้อยเกินไป…..น้อยกว่าของประทาน ความรู้…แม้กระทั่งการอธิษฐาน..ทั้งๆที่

“นิสัย” เป็นตัวชี้วัด บ่งบอก ความเป็นบุคคล ตัวตนของเรา….เราจะบอกว่าเรารู้จักคนนั้นจริงๆเมื่อเรารู้จักนิสัยแท้ๆของเขา

😆ตัวอย่าง….. คนที่เชื่อคำนินทาง่ายๆแสดงว่า …คนนั้นไม่รู้จักคนที่ถูกนินทาจริง…ถ้ารู้จักเขาจะแก้แทนหรือไปถามให้รู้ความจริง

“นิสัย” เป็นตัวชี้วัดถึงพระคำที่ทำงานในชีวิตของเราโดยตรง…ว่ามากน้อยแค่ไหน..เราสามารถเช็คการเติบโตในพระเจ้าผ่านนิสัยที่เปลี่ยนไป

ที่สำคัญ

“นิสัย”ใหม่..ทำให้เรามั่นใจในการบังเกิดใหม่

เพราะการบังเกิดใหม่เป็นอย่างไรเราไม่รู้ …แต่เราจะรู้เมื่อนิสัยเปลี่ยน…และคนอื่นจะเชื่อว่าเรามีพระเจ้าก็เพราะนิสัยเปลี่ยนเช่นกัน

📖ยน.3:7อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านต้องบังเกิดใหม่ 8ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน”

นิสัยใหม่จึงเป็นสิ่งเดียวที่จะเป็นพยานในการบังเกิดใหม่ที่เราจับต้องได้ มีประสิทธิภาพ..

🎁พอเราพูดถึงนิสัย …เราอดคิดถึงตัวสร้างนิสัยไม่ได้ คือ”วิธีคิด”💹

วิธีคิดสลับกันผลลัพธ์ต่างกัน

1+(1×0)=1 (1+1)x0=0

“วิธีคิด” จะเป็นหลักจัดการระบบ “นิสัย” (เบื้องหลังวิธีคิดคือทัศนคติ)….แต่ในทางกลับกัน “นิสัย”ในตัวเราที่เรายึดไว้แน่นไม่ยอมเปลี่ยนหลายครั้ง จะส่งผลทำให้เราจัดการเปลี่ยนวิธีคิด..ด้วย

💰คนขี้เกียจ..จะคิดถึงการทำงานแบบหนึ่ง…”หางานสบายเงินเยอะ”

💵คนขยัน…จะคิดถึงการทำงานแบบหนึ่ง…”งานยิ่งยากยิ่งทำให้ตนเองเก่ง”

⚜️ถ้าจะมีชีวิตแบบพระคริสต์ ก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิดตนเองให้เหมือนพระองค์ก่อน

เราจะเข้าใจพระคำได้ยากมาก…หรือเราจะคิดไม่ตรงกับพระคำที่เขียนไว้ .. เรามักเคยเถียงพระคำ…..^เมื่อเรายังยึดวิธีคิดแบบเดิม(แบบโลก) ไว้

🤭ที่สำคัญที่สุด

ผลจาก“นิสัย”ของธรรมิกชนจะถูกนำพิจารณาให้รับบำเหน็จต่อหน้า “พระที่นั่งแห่งการพิพากษาของพระคริสต์” ….คือที่ๆพิพากษาผู้เชื่อ…

แม้จะไม่ใช่พิพากษาความรอด…แต่เป็นการพิพากษาการงานของเรา มีหลักการใหญ่ๆที่เปาโลเขียนไว้ 2 ประการ

1.📖1ประการที่ 1…..พิพากษาจากผลสิ่งที่เราทำให้เห็นได้ 📖1คร.3:11-1511เพราะว่าผู้ใดจะวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์ 12แล้วบนรากนั้นถ้าผู้ใดจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง 13การงานของแต่ละคนก็จะได้ปรากฏให้เห็น เพราะเวลาวันนั้นจะให้เห็นได้ชัดเจน เพราะว่าจะเห็นชัดได้ด้วยไฟ ไฟนั้นจะพิสูจน์ให้เห็นการงานของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร 14ถ้าการงานของผู้ใดที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ ผู้นั้นก็จะได้ค่าตอบแทน 15ถ้าการงานของผู้ใดถูกเผาไหม้ไป ผู้นั้นก็จะขาดค่าตอบแทนแต่ตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ

พระคำข้างบน💥เน้นผลงานที่เกิดจากการสร้างชีวิตจากคำสอนอันบริสุทธิ์ (ไม่ใช่ผลงานจากการใช้ของประทาน แต่การใช้ของประทานเกี่ยวข้องกับการสร้างชีวิตในบางส่วนเช่นกัน) และการสร้างชีวิตดูได้จากการดำเนินชีวิตว่าเป็นฟางหรือทองคำ เมื่อถูกไฟ…

การดำเนินชีวิตแบบฟาง คือ การดำเนินชีวิตแบบโลกBi?

การดำเนินชีวิตแบบทองคำ คือ การดำเนินชีวิตแบบคนสวรรค์ … นิสัยสวรรค์โลกไม่ใช่ที่พำนักถาวร

“ไฟ”ปัจจุบันคือการพบปัญหาหรือความทุกข์บนโลก

“ไฟ”อนาคต คือไฟจากการพิพากษา

รอดจากไฟ..คือรอดอย่างหวุดหวิด ซึ่งเต็มด้วยความอดสูและอับอายนิรันดร์ (เมื่อสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด 📖1คร.3:1515ถ้าการงานของผู้ใดถูกเผาไหม้ไป ผู้นั้นก็จะขาดค่าตอบแทนแต่ตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ

ถ้าผู้เชื่อที่ขาดค่าตอบแทนและสภาพรอดดังไฟ…ยืนเคียงข้างกับผู้เชื่อที่ได้มงกุฏและสวมเสื้อคลุมสีม่วงอย่างดี…เราคิดว่าจะรู้สึกอย่างไร?

เปาโลมั่นใจในการถูกพิพากษา

8📖ตั้งแต่นี้ไป มงกุฎแห่งความชอบธรรมก็เตรียมไว้สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้พิพากษาอันชอบธรรม จะทรงประทานแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น และมิใช่แก่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น แต่จะทรงประทานแก่คนทั้งปวงที่รักการเสด็จมาของพระองค์

💥ทองแท้ไม่กลัวไฟ ….คนจริงไม่กลัวการพิพากษา…ในทางกลับกัน

# การพิพากษากลับทำให้เห็นความสง่างาม

ประการที่ 2. 📖1คร.4:4-5พิพากษาผลงานจากแรงจูงใจ

4เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ว่าข้าพเจ้ามีความผิดสถานใด ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่พ้นการพิพากษา ท่านผู้ทรงพิพากษาตัวข้าพเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้า 5เหตุฉะนั้นท่านอย่าตัดสินสิ่งใดก่อนที่จะถึงเวลาจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดให้แจ่มกระจ่าง และจะทรงเผยความในใจของคนทั้งปวงด้วย เมื่อนั้นทุกคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้า

แรงจูงใจที่สะอาด.. มาจากคุณธรรมนิสัยของเราว่ามีมากน้อยแค่ไหน…และแรงจูงใจที่บริสุทธิ์..ต้องมาจากคุณธรรมนิสัยที่บริสุทธิ์เช่นกัน

น่าสนใจที่ว่า พระคำชี้ให้เห็นว่านิสัย

ทำให้เราใช้ชีวิตแบบคนฉลาด หรือโง่ได้ เช่นกัน

💥ที่สำคัญ…คนฉลาดเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมงานสมรสได้…

ตัวอย่างจากพระคำ

📖มธ.25:1-13

1📖“เมื่อถึงวันนั้น อาณาจักรแห่งสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตนออกไปรับเจ้าบ่าว 2ในพวกเธอเป็นคนที่มีปัญญาห้าคน และเป็นคนโง่ห้าคน“

มีคน 2 ประเภท ในโลก….ที่รอคอยเข้าแผ่นดินสวรรค์ คือ คนมีปัญญา กับคนโง่..(ที่มีความโง่ที่เกิดจากนิสัย..ไม่ใช่ ระดับไอคิว)

🍦ทั้งคนโง่ และ คนมีปัญญา ก็มั่นใจว่า แผ่นดินสวรรค์เป็นสิ่งที่สุดยอดของชีวิตหลัง ความตาย ที่ทุกคนต้องการอยู่ที่นั่น

: พระเจ้าให้ทุกคนมีสิทธิ์รู้ว่ามีสวรรค์ …ทุกคนมีสิทธิ์เข้าแผ่นดินสวรรค์..แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ได้เข้า

3📖พวกที่โง่นั้นเอาตะเกียงของตนไป แต่หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่ 4แต่คนที่มีปัญญานั้นได้เอาน้ำมันใส่ภาชนะไปกับตะเกียงของตนด้วย

ถือตะเกียงที่ไม่มีน้ำมัน เหมือนเราถือความเชื่อที่ไม่มีความประพฤติ ยก.2:26 ….ไร้แสง ไร้ผล

ถ้าเราถือตะเกียงที่ไม่มีน้ำมัน…ตะเกียงนั้นจะใช้ทำอะไร?

ตะเกียงโชว์ที่บ้าน กับ ความเชื่อโชว์ที่โบสถ์

คนอื่นเห็นตะเกียงที่เราถือเท่านั้น … แต่เราเองที่จะรู้ว่าตะเกียงนั้นมีน้ำมันหรือไม่?

ความเชื่อ..ไม่ก่อเกิดการประพฤติ หรือเกิดการเปลี่ยนนิสัยอย่างอัตโนมัติ…การประพฤติยังเป็นสิทธิ์ที่เราต้องเลือกอยู่ดีว่า……. จะทำตามพระคำเพื่อสร้างนิสัยใหม่จากผลของความเชื่อ หรือ จะทำตามนิสัยเดิมแล้วให้พระคำยกเว้น

📖 :6เมื่อเจ้าบ่าวยังช้าอยู่ พวกเธอทุกคนก็พากันง่วงเหงาและหลับไป

คนโง่กับคนมีปัญญาหลับเหมือนกัน …แต่ก่อนหลับมีการเตรียมชีวิตไม่เหมือนกัน

คน 2 ประเภทที่ทำก่อนนอน คือ 1 . จัดทุกอย่างที่จะทำวันพรุ่งนี้ให้เสร็จก่อนนอน … หรือ …2.นอนก่อนแล้วตื่นมาทำ

คนแรก..คือคนที่มีนิสัยขยัน..ความขยันทำให้ทำล่วงหน้า.. ทำมากกว่าปกติ … เตรียมพร้อมที่จะเดินต่อได้ทันที

คนที่สองคือคนที่มีนิสัย…ขี้เกียจ ทำให้ความคิดมุ่งแต่แก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าและพึ่งพิงคนอื่น

การนอนคือการปิดโหมดชีวิต..จะตื่นหรือไม่ไม่รู้…ตื่นเช้าหรือตื่นสาย … ตื่นทันหรือไม่ทัน…ตื่นแล้วลืมนั่น นี่ โน่น?…แต่เมื่อตื่นขึ้นเราจะพร้อมแค่ไหน..ขึ้นอยู่กับการเตรียมก่อนนอน

ลองสังเกต..เราทำอะไรก่อนนอนบ้าง…สิ่งที่ทำเพื่ออนาคตที่จะถึงรุ่งเช้า หรือวนเวียนกับอดีตที่ผ่านมาแล้ว …หรือไม่ทำอะไรเลย…นิสัยจะบ่งบอกอนาคต

📖 6ครั้นเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องมาว่า ‘ดูเถิด เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’ 7บรรดาหญิงพรหมจารีเหล่านั้นก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน 8พวกที่โง่นั้นก็พูดกับพวกที่มีปัญญาว่า ‘ขอแบ่งน้ำมันของท่านให้เราบ้าง เพราะตะเกียงของเราดับอยู่’’

คนนิสัย”โง่” คือ ..คิดแต่เอาง่ายๆ.. .. คือ”ขอยืม”…ทุกคนต้องให้ฉันยืมไม่งั้นถือว่าไม่มีน้ำใจ

มี 3สิ่งที่ยืมไม่ได้ 1. ความเชื่อ 2. โอกาส 3. นิสัย

9📖พวกที่มีปัญญาจึงตอบว่า ‘ทำอย่างนั้นไม่ได้ เกรงว่าน้ำมันจะไม่พอสำหรับเราและเจ้า จงไปหาคนขาย ซื้อสำหรับตัวเองจะดีกว่า’

เมื่อเราไม่พร้อมเองเพราะนิสัยไม่เตรียม….อย่าโทษคนอื่นถ้าเขาไม่พร้อมที่จะช่วยเหลือ

เป็นสิทธิ์ของเราที่จะไม่ช่วยเหลือได้..ถ้าเราช่วยแล้วเราไปไม่รอด

💥ความรับผิดชอบชีวิตตนเองคือตนเอง

📖10เมื่อพวกเธอกำลังไปซื้อนั้นเจ้าบ่าวก็มาถึง ผู้ที่พร้อมอยู่แล้วก็ได้เข้าไปกับท่านในพิธีสมรสนั้น แล้วประตูก็ปิด’

💥พระเจ้าเปิดโอกาสให้แต่ “นิสัยที่โง่ๆ..นิสัยที่ขี้เกียจ “ ปิดโอกาสตัวเอง

แผ่นดินสวรรค์มีสำหรับคนฉลาด คนขยัน

แผ่นดินสวรรค์มีสำหรับคนเตรียมชีวิต

แผ่นดินสวรรค์มีสำหรับคนพร้อม

ความบาป และนิสัยจะเป็นตัวชี้วัดความพร้อมของเราด้วยตัวเราเอง…ความพร้อมคือความพร้อมฝ่ายวิญญาณ..ที่เราจะสัมผัสได้จากนิสัยเท่านั้น(เหมือนคำพยานของโบ้/ฮิม)

📖 11ภายหลังหญิงพรหมจารีอีกพวกหนึ่งก็มาร้องว่า ‘ท่านเจ้าข้าๆ ขอเปิดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย’ 12ฝ่ายท่านตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักเจ้า

ความเชื่อที่เปลี่ยนการประพฤติเดิมเป็นความประพฤติใหม่เท่านั้น …. ที่จะทำให้พระเจ้ารู้จัก เพราะเป็นความเชื่อแท้

ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงนิสัยใหม่..เท่ากับเราก็ยังไม่รู้จักพระเจ้าจริง

ถ้าเรารู้จักพระองค์จริงเราจะยอมเปลี่ยนอย่างไม่มีเงื่อนไข

พระเจ้าโยนสิทธิ์ความเป็นลูกของพระองค์ให้เราฟรีๆ…แต่เป็นไปได้ไหมว่า ..”คนที่คิดว่าตนเองเป็นลูกพระองค์อาจไม่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ทุกคน”

ลูกพระเจ้าต้องมี DNA ของพระเจ้า ของพระเยซูคริสต์ ที่พิสูจน์ได้จากพฤติกรรม

แน่นอนเรามีสิทธิ์เข้าแผ่นดินสวรรค์โดยความเชื่อ…แต่ต้องเป็นความเชื่อแท้…..คือที่มีผลการกระทำ…กายที่มีวิญญาณ..เป็นผู้เชื่อแท้ที่จะถูกรับไปยังสวรรค์ทันที ยน.14:1-3

📖13เหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงที่บุตรมนุษย์จะเสด็จมา

การเฝ้าระวัง…คือมีชีวิตที่พร้อมจัดการกับนิสัย..ที่นำเราเข้าสู่ชีวิตโง่ๆทุกวัน

📖ทต.3:33เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นบางครั้งเราเองก็โง่เช่นกัน ไม่เชื่อฟัง หลงผิด เป็นทาสของกิเลสตัณหาและการเริงสำราญต่างๆ ใช้ชีวิตอย่างเลวร้าย ริษยา น่าชัง และเกลียดชังกันและกัน

นิสัย ทำให้เกิดความคิดที่ฉลาดหรือโง่? 📖รม12:22อย่าทำตามอย่างชาวโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้าว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม

พระเจ้าคุยกับคจ.ของพระองค์ ในเรื่องนี้ชัดเจน

วว.3:คจ.ซาดิส

1“จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองซาร์ดิสว่า ‘พระองค์ผู้ทรงมีพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า และทรงมีดาราเจ็ดดวงนั้น ได้ตรัสดังนี้ว่า เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า เจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าได้ตายเสียแล้ว 2เจ้าจงระแวดระวังให้ดี และกระตุ้นส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งจวนจะตายอยู่แล้วนั้นให้แข็งแรงขึ้น เพราะว่าเราไม่พบการประพฤติของเจ้าดีพร้อมต่อพระพักตร์พระเจ้า 3เหตุฉะนั้น เจ้าจงระลึกว่าเจ้าได้รับและได้ยินอะไร จงยึดไว้ให้มั่นและกลับใจเสียใหม่ ฉะนั้นถ้าเจ้าไม่เฝ้าระวัง เราจะมาหาเจ้าเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าเมื่อไร 4แต่ก็มีพวกเจ้าสองสามชื่อที่เมืองซาร์ดิส ที่ไม่ได้กระทำให้เสื้อผ้าของตนมีมลทิน และเขาเหล่านั้นจะแต่งตัวสีขาวเดินไปกับเรา เพราะว่าเขาเป็นคนที่สมควรแล้ว 5ผู้ใดมีชัยชนะ ผู้นั้นจะสวมเสื้อสีขาว และเราจะไม่ลบชื่อผู้นั้นออกจากหนังสือแห่งชีวิต แต่เราจะรับรองชื่อผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเรา และต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ 6ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความซึ่งพระวิญญาณตรัสไว้แก่คริสตจักรทั้งหลายเถิด’

“ผู้จะไปสวรรค์ ต้องมีชื่อจดในหนังสือแห่งชีวิตเท่านั้น”

By admin