“ชีวิตนี้…ต้องการข่าวร้าย หรือข่าวดี”
สันติสุข peace ความสงบนิ่งของจิตใจของคนมากมายกำลังหายไป ด้วยการมาของโควิด 19 ทำอย่างไรที่เราจะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้ คนที่มีศาสนา ก็จะพึ่งพาสิ่งที่ตนเองเชื่อศรัทธา ยึดเหนี่ยวไว้ จะบอกว่า หวั่นไหว ไม๊ ก็น่าหวั่นไหว สิ่งที่คนเคยฝากความไว้วางใจไว้ ไม่ว่าจะอาชีพการงานที่มั่นคง สุขภาพที่แข็งแรง หรืออะไรๆที่คนส่วนใหญ่จะฝากชีวิตตนเองไว้อย่างรู้สึกว่าจะปลอดภัย สบายใจ แต่เวลานี้ ล้มเหลว เสียหาย และไม่มีอีกต่อไป แม้กระทั่งเสรีภาพ ที่คิดว่ามี ทุกคนกลับถูกกักตัว จากสมัครใจ กลายเป็นต้องบังคับ มีเคอฟิวจากเวลาที่น้อยๆ ก็จะมีมากขึ้น และมากขึ้นจน อาจเป็น 24 ชม. ทั้งหมด นี้มาจากการไม่เชื่อฟังของคนบางคน(จำนวนไม่น้อย) ทุกๆวัน ผู้คนได้รับแต่ข่าวร้าย มากกว่าข่าวดี
หลายคนชอบฟัง ชอบพูด ชอบเก็บ และส่งต่อ แต่ข่าวร้าย (ของชาวบ้าน) จนต้องมีรายการ เช็กก่อนแชร์ หรือ กฏหมายควบคุมการส่งต่อข่าวปลอม เพื่อป้องกัน ช่วยเหลือคนไม่ให้เป็นเหยื่อของข่าวปลอมๆที่ทำร้ายคน ทำร้ายสังคม
เราคงต้องมานั่งถามตนเองว่า เรากำลังต้องการข่าวร้ายหรือข่าวดี บางคนมีเหตุผลว่า ต้องอัพเดตข้อมูลอยู่เสมอ จะได้ไม่ตกข่าวตามไม่ทันชาวบ้าน หรือเพื่อจะปลอดภัยไว้ก่อน จากจุดแข็งจุดดีกลายเป็นจุดอ่อน
คริสเตียน อย่างเราจะปฏิบัติตนอย่างไร กับสถานการณ์เหล่านี้ ข้าพเจ้าอยากจะบอกกับพี่น้องทั้งหลายว่า วิถีชีวิตและความเชื่ออย่างคริสเตียนที่เราทำๆกันอยู่ได้เตรียมพวกเราไว้ เพื่อจะพบกับสถานการณ์เหล่านี้ เพราะคริสเตียนในยุคแรก ถูกข่มเหงมาก ตั้งแต่เริ่มต้น แม้แต่พระเยซูคริสต์ และสาวกสิบสองคน เจ็ดสิบคน และกลายเป็นผู้เชื่อที่กระจัดกระจายออกไปทั่วโลก พวกเขาเอาตัวรอดได้อย่างไร คำสำคัญอยู่ที่นี่
กิจการ 1:8 8 แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”
นี่คือคำตรัสสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ก่อนที่พระองค์จะถูกรับขึ้นไปบนฟ้า พระองค์ตรัสกับสาวกที่อยู่กับพระองค์ในเวลานั้น ว่า พวกเขาจะเป็นสักขีพยานของพระองค์ จบคำตรัส พระคัมภีร์กิจการบันทึกต่อว่า
กิจการ 1:9-11 9 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา10 เมื่อพวกเขากำลังเขม้นมองดูฟ้า ในขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นไป มีชายสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆ พวกเขา11 สองคนนั้นกล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น”
แปลว่า เหล่าบรรดาสาวก ที่ต่อมาถูกเรียกว่า คริสเตียน เพราะก่อนหน้านั้น ไม่รู้ว่า จะเรียกคนพวกนี้ว่าอะไร เป็นเหมือนศาสนาใหม่ ก็ไม่เชิง เพราะว่ายังเชื่อในพระเจ้าของศาสนายูดาห์ ก่อนจะมาเป็นคริสเตียน ผู้เชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์เหล่านี้ถูกเรียกว่า ผู้ที่เดินในทางนั้น เพราะพระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า พระองค์เป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต
ทบทวนเราว่า สถานการณ์โลกและอิสราเอลในเวลานั้น กำลังเผชิญกับภัยต่างๆนาๆ ทั้งสงคราม ทั้งโรคภัยไข้เจ็บ และความยากจนถ้วนหน้า โดยเฉพาะคนยากจนในประเทศอิสราเอลมีมาก ชีวิตนี้ของคนในเวลานั้น มีแต่ข่าวร้าย พระเยซูทรงทำพันธกิจ รักษาคนเจ็บป่วย สอนคนทุกระดับรากหญ้า ให้กลับใจใหม่ ปรับเปลี่ยนชีวิต ทัศนคติ เพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ในสถานการณ์รอบข้างที่มีแต่ข่าวร้าย พระเยซูทรงย้ำว่า พระสัญญาของพระเจ้าที่ได้ให้ไว้ผ่านผู้เผยพระวจนะก่อนหน้านี้หลายร้อยปี เป็นจริงแล้ว เริ่มต้นแล้ว
ลูกา 4: 18-21 18 “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ 19 และประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า” 20 แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วประทับลง และตาของทุกคนที่อยู่ในธรรมศาลาก็จ้องดูพระองค์21 พระองค์จึงเริ่มต้นตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “พระคัมภีร์ตอนนี้ที่พวกท่านได้ยินกับหูก็สำเร็จแล้วในวันนี้”
มีคำสำคัญในวันที่พระเยซูทรงตรัสกับสาวกก่อนที่พระองค์จะถูกรับขึ้นไปบนท้องฟ้าว่า
กิจการ 1:8 8 แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”
สาวกที่รับคำว่า พวกเขาจะเป็นสักขีพยานของพระเยซูคริสต์ เริ่มต้นด้วยการกักตัวของพวกเขาเอง จากการข่มเหง ในที่ที่มีการข่มเหงความเชื่อของพวกเขามากที่สุด คือกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน ตาย และถูกฝังที่นั่น และพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์จากความตาย ที่เยรูซาเล็มด้วยเช่นกัน อุโมงค์ฝังศพของพระองค์ในวันนี้ ว่างเปล่า จนถึงวันนี้ อูโมงค์ฝังศพก็ยังอยู่ แต่มีป้ายติดไว้หน้าอุโมงค์ฝังศพนั้น พระองค์ไม่ได้อยู่ที่แล้ว สักขีพยานของพระเยซูคริสต์ แปลว่า พวกเขาได้พบกับพระเยซูคริสต์หลังจากพระองค์ฟื้นขึ้นมาจากความตาย แล้วมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา แน่นอนว่า มันคือข่าวดี ไม่ใช่ข่าวร้าย การข่มเหงในรูปแบบต่างๆ ทำให้สาวกต้องกักตัวเอง กลายเป็นคริสเตียนใต้ดิน คริสเตียนที่อยู่ตามบ้าน การนมัสการที่บ้าน การร้องเพลงด้วยกัน การฟังคำเทศนา การรับการเปิดเผยอย่างสดใหม่ จากผู้ที่เป็นสักขีพยานของพระเยซูคริสต์ คนแล้วคนเล่า ทั้งที่ได้เห็นพระองค์ด้วยตา สัมผัสด้วยมือ หรือแค่มีความเชื่อ เป็นไปตามคำของพระเยซูที่ตรัสกับโธมัส หนึ่งในสาวกขี้สงสัย เมื่อเขาได้ยินว่า คนนั้นคนนี้ ได้พบกับพระเยซูคริสต์ และเป็นสักขีพยานของพระองค์ให้กับโธมัสแต่เขากลับพูดว่า
ยอห์น 20:25-28 25 สาวกคนอื่นๆ จึงบอกโธมัสว่า “เราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่โธมัสตอบพวกเขาว่า “ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย”26 เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย”27 แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ”28 โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์”29 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”
วันอาทิตย์หน้า จะเป็นวันอีสเตอร์ วันฉลอง วันแห่งการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์ พวกเราต้องกักตัวเองอยู่ในบ้าน เพราะโควิด เหมือนสาวกเมื่อสองพันปีที่แล้ว การข่มเหงแบบใหม่ กำลังเกิดขึ้นกับพวกเรา เราจะนมัสการพระเจ้าอย่างไร เมื่อตัวอาคารโบสถ์ถูกปิด เมื่อเราถูกห้ามพบปะกัน นี่เป็นข่าวร้ายหรือ? แล้วเราจะประกาศ เป็นสักขีพยานของพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร ข้าพเจ้าอยากจะบอกกับพวกเราว่า คนรอบข้างเรานั่นแหล่ะ เรากำลังทำให้คนใกล้เราเห็นความเป็นสักขีพยานของพระเยซูคริสต์ในตัวเราได้อย่างไร
อะไรทำให้สาวก ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นสักขีพยานของพระองค์ คำตอบน่าจะอยู่ที่นี่….
ยอห์น 14:27 27 เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย
ในท่ามกลางปัญหา สถานการณ์เลวร้าย ยังมีข่าวดีอยู่อีกหรือ ประวัติศาสตร์ของคริสเตียนตอบได้อย่างมั่นใจว่า มี และคริสเตียนรุ่นพี่ของเราตลอดสองพันปีได้พิสูจน์ว่า พวกเขาได้มีเครื่องหมายของการเป็นสักขีพยานของพระเยซูคริสต์บนตัวพวกเขา ด้วยสันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้ และนี่คือเหตุผลว่า ทำไมคริสเตียนจึงเกิดขึ้นมากมาย ยิ่งถูกข่มเหง ยิ่งเกิด ไม่ถูกทำให้ตาย สูญพันธ์ไป เพราะพวกเขาได้สำแดงสันติสุขที่พระเยซูคริสต์มอบให้ มีคำพูดหนี่งกล่าวว่า เมื่อคนที่มาเชื่อพระเยซูคริสต์ เปลี่ยนเป็นคริสเตียน พวกเขาได้รับชีวิตใหม่ภายใน ปัญหาภายนอกยังเหมือนเดิม แต่ชีวิตภายในที่เปลี่ยนแปลงใหม่ ทำให้พวกเขา สามารถที่รับมือกับปัญหาภายนอกได้ดีกว่าเดิม
และนี่เป็นที่มาของคำในพระคัมภีร์ฟิลิปปี ซึ่งเป็นจดหมายอ.เปาโล คนที่เคยข่มเหงคริสเตียน จับคริสเตียนไปติดคุก และฆ่า เพื่อจะหยุดความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่อ.เปาโลเข้าใจว่า คือศาสนาใหม่ ที่มาต่อต้านศาสนายูดาห์ที่อ.เปาโลเชื่อและศรัทธา แต่สุดท้าย เมื่ออ.เปาโลได้พบกับพระเยซูคริสต์ในระหว่างทางที่กำลังจะไปดามัสกัส อ.เปาโล ที่เดิมชื่อเซาโล ได้กลับใจใหม่ เปลี่ยนมารับใช้พระเยซูคริสต์แทน อ.เปาโลได้เขียนหนังสือฟิลิปี ที่เป็นจดหมายที่เขียนขณะที่ติดคุกถึงผู้เชื่อนอกคุก
ฟิลิปปี 4:4-7 4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด5 จงให้ความอ่อนสุภาพของท่านทั้งหลายประจักษ์แก่ทุกคน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว6 อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ โดยการอธิษฐานและการวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ7 แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์
ไม่ใช่แค่เปาโลคนเดียวที่มีสันติสุขที่เกินความเข้าใจ ที่ทำให้เขาสามารถอยู่ในที่กักกันที่เรียกว่าคุกได้ แต่คริสเตียนในเวลานั้น ต้องลงดิน ต้องอยู่ในสภาพถูกกักกัน พวกเขาสามารถนมัสการพระเจ้าได้ และทุกวันของพวกเขาคือข่าวดี จึงทำให้พวกเขาเป็นสักขีพยานของพระเยซูคริสต์เรื่องสันติสุขที่ไม่เหมือนโลกนี้ให้
ในเวลานี้ ดูเหมือนว่า สันติสุขของโลก ถูกทำลายไป ทุกคนอยู่ด้วยความระแวงว่า ตัวจะติดเชื้อโควิดไม๊ ล่าสุดมีคนไทย ที่มาจากต่างประเทศ เดินทางมายังสนามบินของไทย และหนีออกไป เพราะไม่อยากถูกกักตัว สุดท้ายข่าวออกมาว่า เขามีไข้สูง คงจะรู้ตัวเองว่า ต้องถูกกักแน่ แต่การหนีของเขา ยิ่งทำให้คนอื่นเดือดร้อน เพราะเขาจะกลายเป็นตัวแพร่เชื้อ นี่คือเสรีภาพ ที่แม้จะรู้ว่า การติดเชื้อนี้ ทำให้ไม่มีเสรีภาพ คนเราก็ยังคิดว่า สามารถเลือกได้ คือ หนี (เพื่อเสรีภาพ) คนที่หนี คือคนที่กำลังนำข่าวร้าย ไปสู่คนที่เขาพบเจอ
ขอให้เราทั้งหลาย จงเตรียมตัวให้พร้อม และไม่มีอะไรที่จะทำให้เราพร้อมมากกว่า ข่าวดี ด้วยการเป็นสักขีพยานของพระเยซูคริสต์ เริ่มต้นจากตัวเองว่า ชีวิตนี้ ต้องการข่าวร้าย หรือข่าวดี คำตอบคือ สันติสุขที่พระเยซูทรงมอบให้ จะทำให้เราเป็น Super spreader แต่ข่าวดี แพร่แต่สันติสุข ขอให้เราทุกคน จงพบกับพระเยซูคริสต์ในช่วงเวลาของการเก็บตัวอยู่ในบ้าน แต่ยังสามารถสามัคคีธรรมกับพี่น้อง ผ่านสื่อโซเชียล เฟสบุ้ค และยูทูป และไลน์รุ่งอรุณใจสมาน11 ท่านสามารถพูดคุยกันในกลุ่ม และกับศิษยาภิบาลของท่านได้ มีการเรียนพระคัมภีร์ทุกเช้าตีห้าถึงหกโมง รับอาหารฝ่ายวิญญาณ แล้วชีวิตนี้ จะมีแต่ข่าวดี และไล่ข่าวร้ายออกไปจากชีวิตได้ อาเมน
ฟิลิปปี 4:7 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์