“พระเยซูคริสต์…พันธกิจความเชื่อที่สมบูรณ์”
คนโรคเรื้อนหนึ่งใน สิบคนที่กลับมาหาพระเยซู ได้รับการชี้แจงและสอนเรื่องความเชื่อของเขาที่ทำให้เขาหายโรคแล้ว การกลับมาเพื่อนมัสการพระเยซูทำให้เขาได้รับคำตอบของการดำเนินชีวิตต่อไปในอนาคต ประสบการณ์ความเชื่อที่เขาหายโรคเรื้อน แตกต่างจากคนโรคเรื้อนเก้าคนที่ไม่ได้กลับมาหาพระเยซู…
พระเยซูคริสต์…พันธกิจความเชื่อที่สมบูรณ์ ถูกนำมาสรุปไว้ในหนังสือฮีบรู….
ฮีบรู 12:1-2 1 เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีพยานมากมายอยู่รอบข้างอย่างนี้แล้วก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เรายังคงวิ่งแข่งด้วยความทรหดอดทนในการแข่งขันที่อยู่ข้างหน้าเรา2 โดยจับตามองที่พระเยซูผู้เบิกทางความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์ พระองค์ทรงสู้ทนต่อกางเขน เพื่อความยินดีที่อยู่ต่อหน้าพระองค์ ทรงถือว่าความอับอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญ และพระองค์ประทับเบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า
พระเยซูผู้เบิกทางความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์
คำว่า ผู้บุกเบิกความเชื่อและผู้ทรงทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์ รากศัพท์กรีก แปลว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เขียนริเริ่มความเชื่อ และเป็น ผู้นำในเส้นทางแห่งความเชื่อ เป็นเจ้านายผู้บัญชาการความเชื่อ และเป็นผู้ทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์ รากศัพท์กรีกแปลว่า ผู้ทำให้ความเชื่อนั้นสำเร็จ
คนที่มาหาพระเยซูคริสต์เพื่อขอให้รักษาโรค ขับผีออก มาพร้อมกับคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ พระเยซูคริสต์มักจะตอบว่า ความเชื่อทำให้คนเหล่านี้หาย แม้สาวกที่ขับผีไม่ออก พระเยซูก็ยังสอนสาวกเกี่ยวกับการไม่มีความเชื่อ และชี้ให้เห็นว่า ผีบางชนิด โรคบางอย่าง นอกจากจะอธิษฐานด้วยความเชื่อแล้ว ยังต้องเป็นการกระทำด้วยการอดอาหารอธิษฐาน คือการทำให้ความเชื่อถูกแสดงออกเป็นการกระทำ
ในประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอล หลังจากผู้เผยพระวจนะได้ล้มหายตายจากไปนานนับสี่ร้อยปี พระเจ้าไม่ตรัสอะไรเลย ไม่มีผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นมา จนกระทั่งมาถึงยุคของพระเยซู และยอห์น ผู้ให้บัพติศมาในน้ำ และเรื่องแรกที่ยอห์นสอนก็คือ ความเชื่อ….
ยอห์น บัพติศโต ผู้เผยพระวจนะในยุคเดียวกันกับพระเยซู ที่ออกมาประกาศให้คนกลับใจใหม่ และแสดงการกลับใจใหม่ ด้วยการพิสูจน์ความเชื่อของตนเอง เป็นการกระทำ ยอห์นได้กล่าวถ้อยคำหนึ่งว่า
มัทธิว 3:7-10 7 ครั้นยอห์นเห็นพวกฟาริสี และพวกสะดูสีพากันมาเป็นอันมาก เพื่อจะรับบัพติศมา ท่านจึงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าชาติงูร้าย ใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น8 เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น9 อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้10 บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ
เมื่อยอห์นเห็นพวกฟาริสีและพวกสะดูสีพากันมาเพื่อจะรับบัพติศมาจากยอห์นเหมือนชาวบ้านบ้าง ยอห์นสัมผัสได้ว่า คนพวกนี้ มาเพื่อทำตามๆกัน เป็นแต่ภายนอก แต่ภายในไม่กลับใจ ยอห์นกล่าวถึงอับราฮัม ซึ่งเป็นบิดา ต้นกำเนิดของชนชาติอิสราเอล มีฉายาว่า บิดาแห่งความเชื่อ ในตอนนี้ ยอห์นกล่าวกับพวกฟาริสี และพวกสะดูสี (ซึ่งคนสองพวกนี้มีความเชื่อที่ตรงกันข้ามกัน)
ฟาริสี เป็นชื่อในภาษาฮีบรู แปลว่า แยกตัวออก เชื่อเรื่องการฟื้นขึ้นมาจากความตาย กลัวการลงโทษ จึงเป็นพวกเคร่งศาสนา
แต่พวกสะดูสี เป็นชื่อในภาษาฮีบรู แปลว่า รางวัล ไม่เชื่อว่าจะมีการฟื้นขึ้นมาจากความตาย พวกสะดูสีปฏิเสธเรื่องการลงโทษ และการรับรางวัล ในอนาคต ทั้งสองพวกนี้ ต่างเป็นลัทธิที่พัฒนาเกิดขึ้น จากศาสนายูดาห์ ที่เชื่อในพระเจ้าเดียวกัน แต่แตกออกไปตามความคิดของบรรดาผู้เริ่มต้นตั้งตัวเป็นสังคมของผู้เชื่อในแนวที่ตนเองชื่นชอบ ยอห์นกล่าวตำหนิคนสองพวกนี้ ที่พากันมาหายอห์น แต่ยังคงความเชื่อของตนเอง ยอห์นเรียกคนพวกนี้ว่า เจ้าชาติงูร้าย เป็นสำนวนเรียก คนทรยศ คือไม่สัตย์ซื่อต่อความเชื่อของตนเอง ที่พากันมา หายอห์น เพียงเพื่อการแสดง ไม่ใช่การกระทำที่พิสูจน์ความเชื่อ ยอห์นจึงกล่าวต่อว่า
มัทธิว 3:8 8 เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น9 อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้
ชื่ออับราฮัมได้ถูกกล่าวถึงในตอนนี้ เพราะยอห์นกำลังกล่าวถึง ความเชื่อที่ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ และอับราฮัมบิดาแห่งความเชื่อ ได้พิสูจน์ความเชื่อของท่าน อย่างที่ในหนังสือฮีบรูได้กล่าวถึงอับราฮัมว่า
ฮีบรู 11:8,17 8 เพราะอับราฮัมมีความเชื่อ ฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านออกเดินทางไปยังที่ซึ่งท่านจะรับเป็นมรดก ท่านได้เชื่อฟังและได้เดินทางออกไปโดยหารู้ไม่ว่าจะไปทางไหน…17 เพราะอับราฮัมมีความเชื่อ ฉะนั้นเมื่อท่านถูกลองใจ ท่านจึงได้ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา และท่านซึ่งเป็นผู้ได้รับพระสัญญา ก็ได้พร้อมแล้วที่จะถวายบุตรคนเดียวของท่าน
สำหรับคนอิสราเอล คนยิว คนฮีบรู เชื่อว่า พวกเขา คือลูกหลานของอับราฮัม ที่เกิดขึ้นในภายหลังมากมาย คนเหล่านี้ ต่างได้รับการส่งต่อความเชื่อ จากรุ่นสู่รุ่น ว่าพวกเขามีบิดาแห่งความเชื่อ คืออับราฮัม ผู้ที่ความเชื่อของท่านสำเร็จ จากชายแก่ เป็นหมัน ไม่มีทางที่จะมีลูกได้ เหมือนคนตายไปแล้ว แต่กลับเป็นต้นกำเนิดของชนชาติที่มีประชากรมากมาย ผ่านยุคสมัยหลายแผ่นดิน ระหกระเหิน ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ค่ำไหน ก็ปักเต็นท์ที่นั่น จากไม่มีอะไร จนมีอะไรมากมาย มั่งคั่ง เรื่องราวของอับราฮัมกับความสำเร็จ ถูกเล่าต่อๆกันปากต่อปาก ในท่ามกลางชนชาติอิสราเอล ความเชื่อของคนอิสราเอลในยุคของยอห์น ห่างจากต้นแบบของความเชื่อหลายพันปี ความเชื่อที่ส่งต่อด้วยคำพูด จะยังเหลือความมีชีวิตอยู่อีกหรือ… แน่นอนว่า อาจเป็นความเชื่อที่ตายไปแล้ว
พระเยซูคริสต์…พันธกิจ ความเชื่อที่สมบูรณ์ เกิดขึ้นเพื่อเขียนความเชื่อใหม่ ที่มีชีวิต ไม่ตาย ไม่เป็นเพียงความเชื่อที่เล่าต่อๆกัน แต่เป็นความเชื่อที่มีประสบการณ์จริง จากผู้เป็นเจ้าของความเชื่อตัวจริง หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ตัวเป็นๆ อย่างพระเยซูคริสต์ ผู้เขียนหนังสือฮีบรูจึงกล่าวว่า
ฮีบรู 12:1-2 1 เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา2 หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์…
พยานที่พรั่งพร้อมที่หนังสือฮีบรูกล่าวถึง ก็คือ บรรดาบุคคลในพระคัมภีร์มากมายหลายคนที่ถูกกล่าวถึงในบทที่ 11 ก่อนหน้านี้ คือ บุคคลที่ประสบความสำเร็จในความเชื่อที่พวกเขาได้เชื่อในพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่
ฮีบรู 11:6 6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์
หนังสือฮีบรูกล่าวถึง ความเชื่อของบุคคลในพระคัมภีร์ยังไปไม่ถึงความเชื่อที่สมบูรณ์ ไม่ใช่ความสำเร็จอย่างที่มนุษย์นิยาม
ฮีบรู 11:39-40 39 คนเหล่านั้นทุกคนมีชื่อเสียงดีเพราะความเชื่อของเขา แต่เขาก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้40 เพราะพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งซึ่งประเสริฐยิ่งกว่านั้นไว้สำหรับเขา เพื่อเขาทั้งหลายจะได้รับความสมบูรณ์ด้วยกันกับเราเท่านั้น
พระเยซูคริสต์….พันธกิจความเชื่อที่สมบูรณ์ พระเยซูคริสต์ ทรงเสด็จมาเพื่อทำให้ความเชื่อที่สมบูรณ์เกิดขึ้น ทรงนำไปสู่ความสำเร็จ ชัยชนะที่แท้จริง มีคนมากมาย ยอมตายเพื่อความเชื่อของตนเอง แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง บางคนก็ท้าทายว่า ให้ไปดูตอนจบว่า ความเชื่อของใครจะดีกว่าใคร ทุกคนต่างมีความเชื่อ ที่ปัจจุบันเรียกว่า ความศรัทธา ทั้งในตัวบุคคล ก้อนอิฐก้อนหิน ไม้ เงินทอง หรือในศาสดาใดๆก็ตาม ต่างก็ยึดความเชื่อนั้นไว้
มีหนังสือชื่อ กระเป๋าความเชื่อ (ได้รวบรวมความเชื่อของบุคคล 24 คน) ต่างมีความเชื่อในสิ่งที่ตนเองยึดถือ และเข้าใจว่านั่นคือความสำเร้จ แต่…ตอนจบเป็นอย่างไร ก็ยังมีคำถามกันอยู่ว่า ความเชื่อนั้น จะนำชีวิตไปสุดปลายหรือไม่?
พระคัมภีร์ก็ได้กล่าวถึง ด้วยคำว่า
1โครินธ์ 13:13 13 ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
รากศัพท์กรีกคำว่า ความเชื่อในข้อนี้ แปลว่า ความไว้วางใจ ความมั่นใจ แรงจูงใจ สิ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจ สำหรับคริสตชน หนังสือฮีบรูตอบโจทย์เรื่องความเชื่อว่า ให้หมายเอาพระเยซูคริสต์ เป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และเป็นผู้นำไปสู่ความเชื่อที่สมบูรณ์
พระเยซูคริสต์….พันธกิจความเชื่อที่สมบูรณ์ คือ ความเชื่ออย่างเดียวกันกับพระเยซู ไม่ใช่ความเชื่อที่สร้างขึ้นเอง คิดเอง เออเอง มีกติกาของความเชื่อที่ถูกกำหนดไว้แล้ว และจุดแห่งความสำเร็จของความเชื่อก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ทั้งหมด อยู่ที่พระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์วิวรณ์จึงมีคำตรัสของพระเยซูว่า…
วิวรณ์ 21:6,12-14 6 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เราเป็นอัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้นดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย….12 “ดูเถิด เราจะมาในเร็วๆ นี้ และจะนำบำเหน็จของเรามาด้วย เพื่อตอบแทนการกระทำของทุกคน13 เราคืออัลฟาและโอเมกา เป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย เป็นปฐมและเป็นอวสาน” 14 คนทั้งหลายที่ชำระเสื้อผ้าของตนก็เป็นสุข เพื่อว่าเขาจะได้มีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิต และเพื่อเขาจะได้เข้าไปในนครนั้นโดยทางประตู
พันธกิจความเชื่อที่สมบูรณ์ ของพระเยซูคริสต์ ไม่เหมือนความเชื่อใดๆในโลกนี้ และผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จำเป็นต้องมีความเชื่อในกติกาของพระองค์ จึงจะไปถึงความเชื่อที่สมบูรณ์ พระเยซูคริสต์เอง ยังตรัสถึงผู้เชื่อในพระองค์อาจถูกล่อให้หลงและออกไปจากเส้นทางความเชื่อนี้ได้
เราคงเคยดูกีฬาฟุตบอล หรือกีฬาประเภทต่างๆ ถ้าผู้เล่นผิดกติกา ไม่เล่นตามกติกา ภาษาชาวบ้านเรียกว่า กติกู คือ ข้าจะทำตามใจข้า ไม่สนว่ากติกาเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ก็คือ ถูกให้ออกจากสนามแข่ง หรือเส้นทางของการเป็นนักกีฬานั้นๆ ทำนองเดียวกัน พระเยซูคริสต์ได้ใช้คำว่า หลงไป (เพราะไปเชื่อคำสอนเทียมเท็จ พระคริสต์เทียมเท็จ หรืออะไรก็ตาม ที่ทำให้ออกจากเส้นทางของความเชื่อที่พระเยซูทรงเป็นผู้กำหนด ผู้เชื่อที่ไม่อยู่ในกติกาความเชื่อของพระเยซูคริสต์ คือผู้ที่พาตัวเองออกไปจากสนามแห่งความเชื่อเอง)
พระเยซูคริสต์…พันธกิจความเชื่อที่สมบูรณ์ เป็นพันธกิจที่เริ่มต้น ด้วยความเชื่อ ดำเนินไปด้วยความเชื่อ และจบลงด้วยความเชื่อ
โรม 1:17 17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ
พันธกิจความเชื่อที่สมบูรณ์ ของพระเยซูคริสต์ เปลี่ยนคนบาป เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ ไมใช่ด้วยการกระทำ และนี่คือจุดสตาร์ทของการเข้าสู่ลู่วิ่งแข่งกับตัวเอง อ.เปาโลคริสเตียนยุคแรก ได้ใช้คำว่า
1 โครินธ์ 9:24-25 24 ท่านไม่รู้หรือว่าคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกันก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รับรางวัลมีคนเดียว เหตุฉะนั้นจงวิ่งเพื่อชิงรางวัลให้ได้25 ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบ เขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย
แปลว่า มีกติกาของความเชื่อที่ถูกกำหนดไว้แล้ว อย่ามั่ว อย่าละเมิดกติกา ขอให้เคารพกฏกติกาความเชื่อของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ความเชื่อขงตนเองที่สร้างขึ้นมาเอง หรือจากลอกเลียนแบบความเชื่อของใครมา
พระเยซูคริสต์…พันธกิจความเชื่อที่สมบูรณ์ จะนำเราไปสู่ความสำเร็จในความเชื่อที่ถูกต้อง เมื่อขอ ก็จะได้ เคาะแล้วจะเปิด แสวงหาแล้วจะพบ เมื่อบุตรของปลา มีหรือพ่อจะให้งู เมื่อขอขนมปัง มีหรือจะให้ก้อนหิน เรากำลังใช้ความเชื่อในกติกาอย่างเดียวกันกับพระเยซูคริสต์อยู่หรือไม่ ในกติกาความเชื่อของพระเยซู ในหนังสือฮีบรู ได้กล่าวถึง
1.ละทิ้งสิ่งที่ถ่วงอยู่ อะไรคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตของคุณหยุดนิ่ง ก้าวต่อไปไม่ได้ กรอบความคิดบางอย่างที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ไม่อยากเปลี่ยน เปลี่ยนไม่ได้ ไม่อยากรับรู้การเปลี่ยนแปลง?
2.บาปที่เกาะแน่น คืออะไร ที่ยังรัก โลภ โกรธ และหลง….
3.อดทนต่อกางเขน คืออะไร กางเขนคือเส้นทางที่ต้องเดินไปให้ถึง คือการประหารตัวเก่า (กิเลศตัณหาต่างๆ)
4.อดทนต่อคำคัดค้านของคนบาป คนที่ต่อต้าน อย่างไร นั่นคือ ชีวิตที่สวนกระแสกับค่านิยมของโลก อดทนต่อการยั่วเย้าให้คล้อยตามหันกลับไปมีชีวิตเดิม ต้านกับวิถีชีวิตใหม่ เหมือน เดินขึ้นที่สูง ต้องต่อสู้กับแรงดึงดูด แรงต้านของโลก
5.ต่อสู้กับบาป คืออะไร บาปแปลว่า พลาดไปจากน้ำพระทัยพระเจ้า การต่อสู้กับบาป คือการพยายามทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า คนเราถ้าเชื่ออะไรแล้วจะดำเนินตามความเชื่อนั้น ทั้งชีวิตจะทุ่มเท อุทิศ เสียสละให้กับความเชื่อของตนเอง
คำถามคือ เรากำลังดำเนินชีวิตตามความเชื่อที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ชัยชนะ หรือพ่ายแพ้ ล้มเหลวในความเชื่อ
พระเยซูคริสต์…พันธกิจความเชื่อที่สมบูรณ์ ต้องใช้ความพยายามและความทรหดอดทน คนที่จะผ่านไปถึงสุดเส้นทาง มีน้อย คุณจะเป็นคนในหมู่คนจำนวนน้อยนีหรือไม่….
มัทธิว 7:13-14 13 “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก14 เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย
คริสตชนจึงต้องมีการชาร์ทพลัง ด้วยการอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ สามัคคีธรรมกับผู้เชื่อด้วยกัน อยู่ในสังคมความเชื่อ ร่วมรับใช้ เพื่อจะรักษาความเชื่อเอาไว้ และทำให้ความเชื่อที่มีอยู่เข็มแข็งมากยิ่งขึ้น จนถึงความทรหดอดทน ….เพื่อจะไปให้สุดถึงจุดหมายปลายทาง เพราะจะมีคนเป็นอันมากออกนอกเส้นทาง ออกนอกกติกาความเชื่อที่สมบูรณ์ของพระเยซูคริสต์ และหลงไปกับโลกนี้
โคโลสี 1:9-11 9 เพราะเหตุนี้นับตั้งแต่วันที่เราได้ยิน เราก็ไม่ได้หยุดในการที่จะอธิษฐานขอเพื่อท่าน ให้ท่านเพียบพร้อมด้วยความรู้ถึงพระทัยของพระองค์ ในสรรพปัญญาและในความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ10 เพื่อท่านจะได้ประพฤติอย่างที่สมควรต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และทำตนให้เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์ ให้เกิดผลในการดีทุกอย่าง และจำเริญขึ้นในความรู้ถึงพระเจ้า11 ขอให้ท่านมีกำลังมากขึ้นทุกอย่างโดยฤทธิ์เดชแห่งพระสิริของพระองค์ ขอให้ท่านมีความทรหดที่สุด และความอดทนไว้นานด้วยความยินดี
พระเยซูคริสต์…พันธกิจความเชื่อที่สมบูรณ์ มุ่งทำกิจในผู้เชื่อทุกคน ที่ตอบสนองและรักษาเส้นทางนี้อย่างต่อเนื่อง สำรวจความเชื่อของเราว่า ยังอยู่ในกติกาของพระเยซูคริสต์อยู่หรือไม่