“ตามพระเยซูคริสต์…พบรักที่ยั่งยืน”
ยอห์น 4:4-42
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ในปีปฏิทินทสากล เรียกวันนี้ว่า วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก เป็นวันที่มีคนไม่น้อยที่กำลังมีความรัก ได้ให้ความสำคัญในการแสดงความรักต่อกันเป็นพิเศษ และก็มีวิธีต่างๆมากมายในการแสดงความรักเชิงโรแมนติค หวานซึ้งสุดแสนประทับใจ จนบางครั้งทำให้ละเลยหรือมองข้ามความรักรูปแบบอื่นที่มีอยู่ มั่นคงกว่า และยั่งยืนกว่า ซึ่งสามารถเยียวยาและนำไปสู่ความสมหวังได้มากกว่า คำกรีกโบราณได้แบ่งแยกรูปแบบของความรักไว้อย่างชัดเจน
ความรัก 7 แบบ :
1.อีรอส Eros เป็นความรักแบบมีแรงดึงดูของเรื่องเพศ ซึ่งใกล้ชิดกับความรักแบบโรแมนติค ตำนานกรีก มีคำว่าคิวปิด เทพบุตรแผลงศรรักปักอกคน ทำให้คนตกหลุมรัก เช่น ปารีสกับนางเฮเรน รักกันจนทำให้เกิดการล่มสลายของเมืองทรอยด์ และการเกิดกองทัพกรีก
2.ฟีเลีย Philia เป็นความรักอย่างเพื่อน เพื่อแบ่งปันความปรารถนาดีต่อกัน (เพลโตกล่าวว่า มีสามสิ่งในการแบ่งปันความปรารถนาดีต่อกัน ได้แก่ เพื่อนมีประโยชน์ เพื่อนสร้างความพอใจ และเพื่อนเป็นคนดี) เพราะเพื่อน พึ่งพาได้ ร่วมทางด้วยกันได้ และไว้วางใจได้
3.สตอเก้ Storge เป็นความรักแบบครอบครัว พ่อแม่ลูก แตกต่างจากความรักแบบ ฟีเลีย เพราะความรักสโตเก้ เกิดจากการเกิดในครอบครัวเดียวกัน ได้พึ่งพาอาศัยกันและกัน ตั้งแต่เยาว์วัย
4.อากาเป้ Agape เป็นความรักแบบสากล รักที่แสดงต่อคนแปลกหน้า ธรรมชาติ และต่อพระเจ้า ไม่ได้มาจากความเป็นครอบครัว เรียกว่า รักอย่างกุศล ไม่เห็นแก่ตัว มักแสดงรักใส่ใจในสวัสดิภาพของคนอื่น เป็นความรักแบบบริสุทธิ์ใจ ระยะสั้น อาจเรียกว่า ผู้ช่วย ที่นำผลประโยชน์มาให้ แต่ ในระยะยาว เรียกว่า การเห็นแก่ผู้อื่นเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตและร่างกายที่ดีขึ้นและอายุยืนยาวมากขึ้นด้วย
5.ลูดัส Ludus เป็นความรักแบบรักสนุก โฟกัสอยู่ที่ความสนุกสนานและบางครั้งก็อยู่ที่การพิชิตโดยไม่มีข้อผูกมัด ความสัมพันธ์เป็นแบบสบาย ๆ ไม่ต้องการมากและไม่ซับซ้อน แต่สำหรับทั้งหมดนั้นอาจยั่งยืนได้มาก
6.แพลกม่า Pragma เป็นความรักแบบหาเหตุผลและหน้าที่ของความสนใจระยะยาวของคนๆหนึ่ง และนำมาแบ่งปันต่อกันว่า จะนำไปสู่เป้าหมายที่แต่ละฝ่ายมี ให้เป็นเป้าหมายเดียวกันได้อย่างไร เรื่องเพศเป็นรอง แต่ก็ยังมี และแพลกม่ามักถูกนำมาใช้ในงานแต่งงาน
7.ฟิเลาเทีย Philautia เป็นความรักแบบรักตัวเอง ซึ่งอาจจะดี หรือไม่ดี รักตัวเองอย่างไม่ดี คือ รักแบบโอหัง คือการวางตัวเองเหนือพระเจ้า ทำตัวเป็นพระเจ้า และคนมากมายเชื่อว่า รักตัวเองแบบไม่ดีนี้ นำพาไปสู่ความหายนะ และความซวย รักแบบโอหัง ทำให้เกิดความเย่อหยิ่ง ความหยิ่งยโส สร้างอยุติธรรม ความขัดแย้ง และสร้างความเป็นศัตรู
รักตัวเองที่ดี healthy ได้แก่การนับถือตนเอง ซึ่งเป็นความรู้ความเข้าใจของเราและเหนือสิ่งอื่นใดคือการประเมินคุณค่าทางอารมณ์ของเราเองเป็นการที่เราคิดรู้สึกและกระทำและสะท้อนถึงความสัมพันธ์ของเรากับตัวเองต่อผู้อื่นและต่อโลก
คนที่มีความภาคภูมิใจในตนเองที่ดีไม่จำเป็นต้องประคับประคองตัวเองกับสิ่งภายนอกเช่นรายได้ฐานะหรือความอื้อฉาวหรือพึ่งพา เช่นแอลกอฮอล์ยาเสพติดหรือเซ็กส์ พวกสามารถลงทุนกับโครงการใดได้ โดยไม่กลัวความล้มเหลวหรือการถูกปฏิเสธ และแน่นอนว่า เมื่อพวกเขาเจ็บปวดและผิดหวัง แต่ความพ่ายแพ้ของพวกเขาไม่ได้สร้างความเสียหายหรือลดน้อยลง เนื่องจากความยืดหยุ่นของพวกเขา พวกเขาจึงเปิดกว้างสำหรับประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่เติบโตอดทนต่อความเสี่ยงได้อย่างรวดเร็วเพื่อความสุขและความสุขและยอมรับและให้อภัยตนเองและผู้อื่น
เราได้รู้จักกับรักเจ็ดอย่างของโลกนี้ ที่อยู่ล้อมรอบตัวเรา เราแทบทุกคนคุ้นเคยกับรักทั้งเจ็ดแบบนี้ และวันนี้ วันแห่งความรัก น่าจะทำให้เราหาคำตอบ หาความเข้าใจถึงความรักที่จำเป็นต่อชีวิตของมนุษย์นั้น จะมีเพียงแค่รักแบบเดียวเป็นไปไม่ได้ แต่จำเป็นที่จะต้องมีหลากหลาย แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะอยู่ในสถานะใด สถานการณ์อะไร
ตามพระเยซูคริสต์….พบรักที่ยั่งยืน เพื่อเราจะมีเสรีภาพ และสติปัญญาในการเลือกใช้ความรัก อย่างhealthy ในการรักตนเอง รักอย่างกุศลคือ รักอย่างอากาเป้ คือเห็นแก่สวัสดิภาพของคนอื่น ระยะสั้น เรียกว่า ผู้ช่วย ที่นำผลประโยชน์มาให้ ระยะยาว เรียกว่า การเห็นแก่ผู้อื่น
เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตและร่างกายที่ดีขึ้นและอายุยืนยาวมากขึ้นด้วย เพื่อให้ ความรัก แบบ อีรอส ฟีเลีย สตอเก้ เป็นความรักที่ยั่งยืน
เรื่องราวของพระเยซูคริสต์กับหญิงสะมาเรียที่บ่อน้ำ ได้แสดงให้เราได้เห็นความรักแบบ อีรอส ฟีเลีย และอากาเป้ ที่ผสมผสานกัน
ยอห์น 4:9 9 หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า “ไฉนท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากดิฉัน ผู้เป็นหญิงชาวสะมาเรีย” (เพราะพวกยิวไม่คบหาชาวสะมาเรียเลย)
ตามพระเยซูคริสต์….พบรักที่ยั่งยืน พระเยซูคริสต์ได้ทำลายกำแพงระหว่างเชื้อชาติ ด้วยความรักแบบอากาเป้ พระองค์เริ่มบทสนทนาก่อน และสนทนาด้วยการขอน้ำดื่ม ขอการแสดงจิตกุศล อากาเป้ จากหญิงสะมาเรียให้ช่วยแบ่งปันน้ำที่ตักของนางให้กับพระเยซูคริสต์ หญิงสะมาเรียไม่ได้ใส่ใจใคร นางกำลังสนใจแต่ตัวเอง การทักของพระเยซู ทำให้นางเปลี่ยนความสนใจตัวเอง มาที่พระองค์ แม้จะเป็นเพียงแค่ต้องตอบคำถาม เชิงขอความช่วยเหลือ (จะช่วยหรือไม่ช่วยก็อีกเรื่อง) แต่พระเยซูได้แสดงจิตกุศล รักอย่างอากาเป้ ต่อนหญิงสะมาเรีย
ยอหน์ 4:10 10 พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง’ เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า”
คำว่า รู้จัก ที่พระเยซูคริสต์ทรงใช้ในประโยคนี้ รากศัพท์กรีกแปลว่า ได้เห็นด้วยตา (ได้พบ) ของประทาน และผู้ที่พูดกับนาง ว่า ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง ซึ่งหมายถึง คำขอจิตกุศล ขอความรักอย่างอากาเป้ พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง เหมือนกับนางก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับพระองค์ ต่างฝ่ายต่างมีรักอากาเป้ ที่จะให้แก่กันได้ แต่สิ่งที่ให้แตกต่างกัน หญิงสะมาเรียมีน้ำที่ดื่มแล้วกระหาย แต่พระเยซูทรงมีน้ำที่ดื่มแล้วไม่กระหายอีกเลย พระเยซูกำลังหมายถึง น้ำที่หล่อเลี้ยงจิตใจของคน ซึ่ง คนทั่วไปเรียกว่า ความรัก ในรูปแบบต่างๆ ที่คนมากมาย และหญิงสะมาเรียก็หิวกระหาย โหยหา แต่หญิงสะมาเรียกลับโฟกัสไปที่น้ำดื่มสำหรับร่างกายเท่านั้น
ยอห์น 4:11-12 11 นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะเอาน้ำดำรงชีวิตนั้นมาจากไหน?12 ท่านใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ? ยาโคบเองก็ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรทั้งหลายและสัตว์เลี้ยงของท่านด้วย”
พระเยซูคริสต์ทรงแสดงความรักแบบอากาเป้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่า หญิงสะมาเรียจะ ไม่เข้าใจ ประเด็นที่พระองค์หมายถึง น้ำหล่อเลี้ยงจิตใจ และจิตวิญญาณ…. เพราะนางมีเพียงความหิวกระหายน้ำฝ่ายร่างกาย เป็นเรื่องปากท้อง และนางยังพูดเชิงเยาะเย้ยพระเยซูอีกว่า พระองค์เป็นใคร ความรักแบบอากาเป้ของพระเยซูไม่ได้ถูกหยุด หรือหายไป เพียงแค่คำพูดเยาะเย้ยของหญิงสะมาเรีย ความรักอย่างอากาเป้ เป็นรักแบบกุศล เพื่อจะช่วยให้หญิงสะมาเรียได้ประโยชน์แก่ตัวนางเอง พระองค์ยังคงทำพันธกิจของพระองค์ต่อไป
ยอห์น 4:13-15 13 พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก14 แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์”15 นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีก และจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่”
ตามพระเยซูคริสต์….พบรักที่ยั่งยืน พระเยซูคริสต์กำลังชี้ทางสว่างให้กับหญิงสะมาเรีย เพื่อนางจะเกิดความหิวกระหายหนทางที่ชอบธรรม เป็นการเริ่มต้นนำทาง คนบาป ให้เกิดความหิวกระหายความชอบธรรม จากการสร้างความปรารถนา อยากได้สิ่งที่ดีกว่าที่นางมีอยู่ คือความหิวกระหายเพียงแค่ความอยาก ความปรารถนาฝ่ายร่างกาย แม้หญิงสะมาเรียจะตอบสนองจังหวะนี้ด้วยเรื่องของความอยากของเนื้อหนังก็ตาม
เส้นทางตามพระเยซูคริสต์…พบรักที่ยั่งยืน เต็มไปด้วยความเข้าใจ และการให้โอกาสของพระเจ้า ที่มีต่อมนุษย์ทุกคน พระองค์เข้าใจความจำกัด และการอ่อนแอของแต่ละคน อย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงใช้เวลากับหญิงสะมาเรีย
ยอห์น 4:16-19 16 พระเยซูตรัสกับนางว่า “ไปเรียกผัวของเจ้ามานี่เถิด” 17 นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันไม่มีผัวค่ะ” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เจ้าพูดถูกแล้วว่าผัวไม่มี18 เพราะเจ้าได้มีผัวห้าคนแล้ว และคนที่เจ้ามีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ผัวของเจ้า เรื่องนี้เจ้าพูดจริง” 19 นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ
ตามพระเยซูคริสต์…พบรักที่ยั่งยืน จำเป็นที่จะต้องผ่านช่วงของการพบกับความจริงของตนเอง นั่นคือ สถานภาพที่ตนเองเป็นอยู่ พระเยซูตรัสกับหญิงสะมาเรียตอนนี้ เรียกว่า การเผยพระวจนะ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า แม่นยิ่งกว่าหมอดูตาทิพย์ พระเยซูคริสต์ทรงเปิดเผยแก่หญิงสะมาเรียว่า พระองค์ทรงรู้อดีตของนางจนถึงปัจจุบัน และอนาคตที่นางน่าจะกำลังคิดถึงคนที่นางอยู่ด้วยล่าสุด ไม่ใช่คนที่นางจะอยู่ด้วยตลอดชีวิต และพร้อมจะเลิก หรือกำลังคิดจะเลิก หรือเลิกไปแล้ว เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ตอบความปรารถนาของนาง (ความหิวหาความรักอย่างอีรอส)
ตามพระเยซูคริสต์…พบรักที่ยั่งยืน ได้นนำหญิงสะมาเรีย เปลี่ยนจากการรักตัวเองแบบไม่ดี หันมาคิดถึง การรักตัวเองแบบที่ดี คือ คือชีวิตของตนเอง ยังมีพระเจ้า ที่จะนมัสการ
ยอห์น 4:20 20 บรรพบุรุษของพวกเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านว่าตำบลที่ควรนมัสการนั้น คือเยรูซาเล็ม”
เส้นทางตามพระเยซูคริสต์…เพื่อจะไปให้ถึงรักที่ยั่งยืน ยังต้องผ่านกระบวนการเอาความคิดแบบเดิม แบบส่งต่อมาจากความเชื่อเก่าๆออกไป ซึ่งหญิงสะมาเรียผ่านก้าวแรกแล้ว คือพ้นจากความรักแบบอีกรอส แต่มาถึงรักพระเจ้า นั้นยังติดอยู่กับ สถานที่ เชื้อชาติ สะมาเรียถูกกีดกันไม่ให้นมัสการพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม ก็เลยกำหนดเอง สร้างการนมัสการพระเจ้าเอง ยิว ก็ไม่ยอมรับสะมาเรีย ไม่ยอมรับใคร ก็ยึดติดอยู่กับเยรูซาเล็ม ที่ตั้งของพระวิหาร และพระเยซูทรงสำแดงคำเผยพระวจนะต่อว่า….
ยอห์น 4:21-24 21 พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีวันหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดา เฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม22 ซึ่งเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จัก ซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้จัก เพราะความรอดนั้นมาจากพวกยิว23 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”
คำเผยพระวจนะของพระเยซูคริสต์เป็นจริงในเวลาต่อมา นั่นคือ คนทั่วโลกสามารถนมัสการพระเจ้าได้จากทั่วทุกมุมโลก พระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดด้วยสถานที่ พระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณ และพระองค์ทรงแสวงหาผู้ที่นมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง คำเผยพระวจนะของพระเยซูคริสต์ได้ทำลายกำแพงที่คนยิว หรือแม้แต่คนสะมาเรียสร้างขึ้นมาเพื่อตอบความหิวกระหายความรักของพระเจ้าอย่างที่คนเหล่านี้ต้องการจะตอบโจทย์ของตัวเอง และนี่คือ ความรักแบบ ฟิเลาเทีย รักตัวเองแบบโอหัง
ยอห์น 4:25-26 25 นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา”26 พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราที่พูดกับเจ้าคือท่านผู้นั้น”
หญิงสะมาเรีย ได้รับคำตอบที่นางสงสัยความรักของพระเจ้าที่บรรพบุรุษของนางได้ทำให้คนรุ่นหลังสงสัยความรักของพระเจ้าว่า มีการแบ่งแยก กีดกัน สำหรับเชื้อชาติ จนกลายเป็นการแบ่งแยกคนบาป คนชอบธรรม คนสะอาด คนสกปรก คนที่สังคมตราบาปให้ แต่มาถึงตอนนี้ พระเยซูคริสต์ทรงตอบโจทย์ของนาง คือ แม้แต่นางหากกลับใจใหม่ และแสวงหาพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง คือการรักตัวเองแบบที่ดี นางจะสามารถนมัสการพระเจ้าได้ทุกที่
เราทุกคนในวันนี้ ด้วยความรักที่เรารักตัวเองแบบที่ดี เราจึงถ่อมใจ รับความรักอย่างอากาเป้ รักกุศลของพระเยซูคริสต์ที่มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา และนำเราให้ได้รับประโยชน์ รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณให้ดีแข็งแรง และยั่งยืน พระองค์ทรงเรียกเราให้ติดตามพระองค์ ด้วยประโยคที่ว่า เอาชนะตัวเอง คือการรักตัวเองแบบไม่ดี เพื่อเราจะรักตัวเองแบบที่ดี และรู้จักรักอากาเป้ของพระเจ้า และส่งต่อความรักนี้ให้กับคนอื่นๆ
ตามพระเยซูคริสต์…พบรักที่ยั่งยืน เป็นเส้นทางชีวิตใหม่ของหญิงสะมาเรีย ที่เปลี่ยนจากความสนใจแต่ตัวเอง ได้ทิ้งหม้อน้ำ ที่ดับกระหายฝ่ายร่างกาย
ยอห์น 4:28-30 28 หญิงนั้นจึงทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกคนทั้งปวงว่า29 “มาเถิด มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม”30 คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์
หญิงสะมาเรียกลายเป็นผู้เดินตามพระเยซูคริสต์…ผู้ที่พบกับรักที่ยั่งยืน นั่นคือ อากาเป้ รักที่จะแบ่งปัน จิตกุศล อยากให้คนอื่นได้สิ่งที่ดีต่อจิตวิญญาณ น้ำที่หล่อเลี้ยงจิตใจและจิตวิญญาณที่แท้จริง ซึ่งยั่งยืนยาวนาน
ยอห์น 4:39-42 39 ชาวสะมาเรียเป็นอันมากที่มาจากเมืองนั้น ได้มีศรัทธาในพระองค์เพราะคำพยานของหญิงผู้นั้นที่ว่า “ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้ทำ”40 ฉะนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาถึงพระองค์ เขาจึงทูลเชิญพระองค์ให้ประทับอยู่กับเขา และพระองค์ก็ประทับที่นั่นสองวัน41 และคนอื่นเป็นจำนวนมากได้วางใจ เพราะพระดำรัสของพระองค์42 เขาเหล่านั้นพูดกับหญิงนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ไปที่เราเชื่อนั้นมิใช่เพราะคำของเจ้า แต่เพราะเราได้ยินเอง และเรารู้ว่าท่านองค์นี้แหละเป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอดที่แท้จริง”
ตามพระเยซูคริสต์…พบรักที่ยั่งยืน สำเร็จในหญิงสะมาเรียที่บ่อน้ำ เมืองสิคาร์ในแคว้นสะมาเรีย ที่นางได้แบ่งปันความรักแบบกุศล อากาเป้ ให้กับชาวเมืองเดียวกันกับนาง จนคนเหล่านั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอดที่แท้จริง
คำถามสำหรับเราในวันนี้ เรากำลังแบ่งปันความรักกุศลให้กับคนในครอบครัวของเรา เพื่อนบ้านของเรา คนแปลกหน้าที่เราไม่เคยรู้จัก อย่างไร? ขอพระเจ้าทรงนำให้พี่น้องทุกคน ได้ใช้ชีวิต กับความรักทั้งเจ็ดแบบเหล่านี้ อย่างมีความสุข สมดุล และประสบความสำเร็จ ตามที่ปรารถนา สุขสันต์วันวาเลนไทน์ค่ะ
ตามพระเยซูคริสต์…พบรักที่ยั่งยืน