“ปราศจากที่ติกับ 7 ลักษณะ 4 สัญญาณ…เพื่อใช้คำว่า“หมดเวลา”
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้ไปเดินเที่ยวในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในประเทศอิสราเอล เป็นวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับประเทศไทย ได้ใช้เวลาที่เหลือโดยการเดินชมพิพิธภัณฑ์ ยิ่งเดินก็ยิ่งอยากใช้เวลามากขึ้น เพราะหลายอย่างที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ หาดูที่ไหนในโลกไม่ได้ ขณะที่เดินไปพิจารณาอย่างละเอียด คุณยามก็มาสะกิดว่าหมดเวลาแล้ว ข้าพเจ้ายังดูไม่หมดก็เพราะวางแผนว่ายังเหลืออีกหนึ่งชั่วโมงจะต้องไปดูส่วนที่เหลือ ข้าพเจ้าก็เลยเถียงกับยามว่า นาฬิกาข้าพเจ้ายังเหลืออีกชั่วโมง ยามก็บอกว่าหมดเวลาแล้ว เถียงกันไปเถียงกันมา จึงรู้ว่าประเทศเขามีกฎการเปลี่ยนเวลาที่ทุกคนต้องรู้ และวันนั้นเป็นวันที่ประเทศนี้ปรับเวลาของประเทศเร็วขึ้นมาอีกหนึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้าจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในที่ที่มีกฎที่ต้องรู้ โดยเฉพาะเรื่องเวลาสำคัญมาก ทำให้การวางแผนผิดพลาดไปอย่างน่าเสียดาย กับคำว่ “หมดเวลา”
มีคนมากมายที่ไม่อยากให้คำว่าหมดเวลาเกิดขึ้น และมีอีกมากมายที่ดำเนินชีวิตเพื่อให้เวลาหมดไปเร็วๆโดยตั้งใจแบบไม่อยากรับรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โดยการฆ่าเวลา ทำไอ้โน่นไอ้นี่เพื่อฆ่าเวลา สำหรับคริสเตียนคือคนที่จะต้องรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น เพราะพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงคำว่า “หมดเวลา”ไว้ด้วย มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘Left Behind’ แปลไทยว่า“ผู้ที่ถูกละไว้” เป็นหนังที่สร้างจากพื้นฐานคำทำนายของพระเยซูคริสต์ว่าในช่วงใกล้วาระสุดท้ายของโลกนี้จะมีสถานการณ์อย่างไร เนื้อเรื่องกล่าวถึง ขณะคนกำลังทำบาป สามีนอกใจภรรยา ลูกที่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ คนเห็นแก่ตัว คนทำบาป ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่เคยเป็น แล้วอยู่ๆคนหายไปพร้อมๆกันทั่วโลก คนที่เหลืออยู่ก็พยายามหาคำตอบว่า คนที่หายไปนั้น หายไปไหน แต่ไม่มีใครตระหนักถึงคนที่ยังเหลืออยู่ว่าต้องเผชิญกับอะไร คำว่า ‘Left Behind’หรือแปลไทยว่า “ถูกละทิ้งไว้” เป็นคำที่พระเยซูทรงใช้ในการพยากรณ์ถึงการเสด็จมาของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จากพระคัมภีร์มัทธิว 24:3-13 3 เมื่อพระเยซูประทับบนภูเขามะกอกเทศ พวกสาวกมาเฝ้าส่วนตัวกราบทูลว่า “ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไร สิ่งไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมา และยุคเก่าจะสิ้นสุดลง”4 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง5 ด้วยว่าจะมีหลายคนมา ต่างอ้างนามของเราว่าตัวเขาเป็นพระคริสต์ เขาจะให้คนเป็นอันมากหลงไป6 ท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังไม่มาถึง7 เพราะ ประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ 8 เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก ซึ่งต้องมีมาก่อนกำเนิดยุคใหม่ 9“ในเวลานั้นเขาจะอายัดท่านทั้งหลายไว้ ให้ทนทุกข์ลำบากและฆ่าท่านเสีย และประชาชาติต่างๆ จะเกลียดชังพวกท่าน เพราะความจงรักภักดีของท่านที่มีต่อเรา10 คราวนั้นคนเป็นอันมากจะถดถอยไป และอายัดกันและกัน ทั้งจะเกลียดชังซึ่งกันและกันด้วย11 ผู้เผยพระวจนะปลอมหลายคนจะเกิดมีขึ้น และล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป12 ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง เพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป13แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด สิ่งที่พระเยซูได้พยากรณ์ไว้สามารถจำแนกออกเป็น 7 ลักษณะของเหตุการณ์และคนรอบข้าง และสัญญาณ 4 สัญญาณ
7 ลักษณะของเหตุการณ์และคนรอบข้าง :
1.ผู้ล่อลวงที่เหมือนจริง 24:4-5
“ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง ด้วยว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเรา กล่าวว่า `เราเป็นพระคริสต์’ เขาจะล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป ภาษากรีกมีคำสองคำที่ใช้เกี่ยวกับเวลา ได้คำว่า โครนอส กับไครอส ในเส้นเวลา (โครนอส) เป็นเวลาที่ทุกคนมีเท่ากัน แต่จะใช้เวลาเหล่านั้นและตอบสนองต่อช่วงเวลาอย่างไร ขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่สำหรับคริสเตียน เรายังมีเวลาที่เรียกว่า ไครอส คือเวลาของพระเจ้า เวลาที่เรารอคอย พระเยซูทรงทรงเตือนให้สาวกของพระองค์ที่เรียกตนเองว่าคริสเตียน นอกจากจะแปลว่าคนที่ดำเนินชีวิตอย่างพระคริสต์แล้ว ยังมีนัยยะหมายถึงคนที่รอคอยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์อีกครั้ง ในขณะที่โครนอส (เส้นเวลา) ของคริสเตียนไม่แตกต่างจากคนทั่วไป คริสเตียนต้องเผชิญกับเหตุการณต่างๆเหมือนคนอื่นๆสิ่งที่ทำให้คริสเตียนตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆที่แตกต่างจากคนทั่วไปก็คือ ไครอส เวลาของพระเจ้าที่จะมาถึง ในขณะที่คนในโลกนี้กำลังเผชิญกับของที่เลียนแบบ ผู้ที่ล่อลวงที่เหมือนจริงมากมาย คริสเตียนก็ต้องเผชิญด้วยเหมือนกัน แต่คริสเตียนจะต้องระวังอย่างที่พระเยซูทรงเตือน และตระหนักว่า แม้แต่พระคริสต์ก็ยังถูกเลียนแบบเหมือนจริงด้วย ต้องระวัง เพราะของปลอมที่เลียนแบบของจริงจะมีลักษณะที่คล้ายของจริงมากจนแยกไม่ออก เคยมีคำถามพนักงานธนาคารว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าธนบัตรนี้ปลอมหรือไม่ปลอม เขาตอบว่า ไม่ยาก เพียงแต่คุณรู้จักว่าธนบัตรจริงนั้นว่าเป็นอย่างไร ธนบัตรอื่นๆที่ไม่เหมือนก็ปลอมหมด เช่นเดียวกันพระเยซูทรงตรัสว่า ในวาระสุดท้ายนั้น จะมีคนมาอ้างชื่อพระเยซูคริสต์เพื่อล่อลวงคนให้หลงไปเป็นอันมาก แสดงว่ามีคนจะถูกหลอกมากมาย คนที่ถูกหลอกก็คือคริสเตียนที่เชื่อ แต่ไม่รู้ว่า พระเยซูคริสต์ที่เป็นของจริงเป็นอย่างไร พระเยซูของจริง คือประสบการณ์ส่วนตัวกับพระองค์ จงรู้จักพระองค์ ด้วยตัวคุณเอง พระองค์เป็นใครในชีวิต เหมือนอย่างเปโตรถูกพระเยซูถามว่า (มัทธิว 16:16-17) “แล้วท่านว่าเราเป็นใคร เปโตรตอบว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเยซูตรัสตอบเขาว่า ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุขเพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ” พระเยซูกำลังกล่าวถึงสิ่งที่เปโตรได้รับการสำแดงจากพระเจ้าโดยตัวของเขาเอง เปโตรอาจจะมีปัญหาปฏิเสธพระเยซูคริสต์เพราะความกลัวตาย แต่สุดท้าย เมื่อพระองค์ทรงปรากฏกับเปโตรอีกครั้ง เปโตรก็ยังจำพระเยซูคริสต์ได้ในชีวิตของเขา เพราะเปโตรคุ้นเคยกับพระเยซู มีคนมากมายที่เป็นคนใช้เงินอย่างเดียว จะไม่สามารถแยกแยะระหว่างธนบัตรปลอมกับธนบัตรจริง ถ้าเราใช้พระเยซูคริสต์อย่างกับใช้เงิน เราจะถูกหลอก แต่พนักงานธนาคารเป็นคนที่แยกออกเพราะเขาไม่ถูกกำหนดให้มาใช้เงินของธนาคาร แต่เขาเป็นตัวแทนของธนาคารเพื่อเป็นผู้รักษาความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงิน เขาจึงถูกสถาบันการเงินฝึกเพื่อเชี่ยวชาญในการแยกแยะระหว่างธนบัตรจริงหรือปลอม เช่นเดียวกัน การให้พระเยซูใช้คือการรับการฝึกที่จะคุ้นเคยกับพระองค์ เราจะเป็นเหมือนพนักงานธนาคารที่สามารถสัมผัสความแตกต่างระหว่างของจริงกับของปลอม เพราะเราให้พระเยซูใช้เรา ไม่ใช่เราใช้พระเยซู ให้เราระวังว่า ชีวิตของเราในวันนี้ เรากำลังใช้พระเยซู หรือเราให้พระเยซูใช้ คำอธิษฐานของเราจะบอกได้ การดำเนินชีวิตของเราจะบอกได้ แล้วคุณจะรับมือกับผู้หลอกลวงที่เหมือนจริงได้ คุณจะรู้โดยตัวของคุณเอง
2.ภัยพิบัติต่างๆ มัทธิว 24:6-7
6 ท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังไม่มาถึง7 เพราะ ประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ ลักษณะเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงเตือนอันที่สอง คือ ภัยพิบัติและสงครามต่างๆ อย่าลืมว่า เราอยู่ในโครนอสเดียวกันกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า แต่คริสเตียนจะได้เปรียบคือ เรามีไครอส เวลาของพระเจ้า และไครอสที่แหล่ะคือสิ่งที่จะทำให้เรา รู้ล่วงหน้าโดยองค์พระเยซู การคอยระวังไม่ตื่นตระหนก เพราะเรารู้ว่ามันคือสิ่งที่จะต้องเกิดอยู่แล้ว การคอยระวัง ทำให้เราเตรียมรับมือ รู้ตัวตลอดเวลา ไม่ดำเนินชีวิตเผลอไผล และลืมตัว ติดดิน ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ฟุ่มเฟือย เพราะภัยต่างๆใกล้ตัวเข้ามาเรื่อยๆ อันได้แก่
สงคราม ข่าวผู้ก่อการร้ายในหลายประเทศเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ข่าวลืออย่างเดียว ผู้ก่อการร้าย อ้างศาสนาและบังคับคนให้เปลี่ยนศาสนาด้วยวิธีรุนแรง มีการเรียกร้องให้ประเทศต่างๆรวมกันเป็นกลุ่มเพื่อต่อสู้สงครามนี้ด้วยกัน เราจะเรียกว่าเป็นสงครามระดับประชาชาติได้หรือยัง เราเฝ้าระวังไม่ตื่นตระหนก ด้วยการอธิษฐานเผื่อสถานการณ์ เผื่อประเทศชาติ เผื่อผู้นำประเทศ เผื่อประชาชน และสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน ในที่อาศัยรอบข้าง คุณทำอย่างนี้อยู่หรือไม่….
กันดารอาหาร ข่าวการพยายามตัดต่อสายพันธ์ุใหม่ๆให้กับพืชพันธ์อาหารเพื่อสามารถผลิตอาหารได้มากขึ้น เราอยู่ในเมืองไทยคงจะไม่รู้สึกถึงความขาดแคลน แต่วันนี้เรื่องการกันดารเริ่มใกล้ตัวเรา ด้วยผลกระทบจากภาวะโลกร้อนปีหน้าจะแล้งกว่าปีนี้ มีการขอให้ใช้น้ำอย่างประหยัดแล้ว เราเฝ้าระวังไม่ตื่นตระหนกด้วยการปรับการดำเนินชีวิต เรื่องการกิน การประหยัด การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การรู้คุณค่าของการใช้สิ่งของต่างๆ คุณกำลังทำเรื่องนี้อยู่หรือไม่…..
โรคระบาดต่างๆ ที่แปลกๆจะมีมากขึ้นเพื่อคร่าชีวิตคน คนอ่อนแอ และติดเชื้อโรคได้ง่ายขึ้น เชื้อโรคสายพันธ์ใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวันเพราะภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง เราระวังไม่ตื่นตระหนก ด้วยการดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรง ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ เลิกลดละสิ่งที่ทำลายสุขภาพ ใส่ใจเรื่องการพักผ่อน ความสะอาดของอาหาร คุณภาพของอากาศ การจัดการกับวิธีคิดที่ไม่เครียด หาความรู้ที่บำรุงสมอง คุณเป็นอย่างนี้หรือไม่…..
แผ่นดินไหว เป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากขึ้น เมื่อไม่นานนี้ก็เกิดแผ่นดินไหวที่แถบประเทศอัฟกานิสถาน ปากีสถาน เราอธิษฐานและเฝ้าระวัง เราไว้วางใจพระเจ้า เราอธิษฐานที่เราจะไม่อยู่ในสถานการณ์นั้น เราอวยพรแผ่นดินให้ปลอดภัย อธิษฐานเป็นตัวแทนของแผ่นดินสารภาพบาป ใส่ใจกับคนทำบาป ให้เลิกทำบาป อธิษฐานให้แผ่นดินมีคนดีมากกว่าคนชั่ว ให้แผ่นดินพ้นจากอิทธิพลอำนาจมืดที่มองไม่เห็น เราเชื่อว่าพระเจ้าจะไม่ทำลายแผ่นดิน เมื่อมีคนดีมากกว่าคนชั่ว คุณใส่ใจเรื่องนี้หรือไม่…
3.การต่อต้านคริสตจักร มัทธิว 24:9
9“ในเวลานั้นเขาจะอายัดท่านทั้งหลายไว้ ให้ทนทุกข์ลำบากและฆ่าท่านเสีย และประชาชาติต่างๆ จะเกลียดชังพวกท่าน เพราะความจงรักภักดีของท่านที่มีต่อเรา คริสตจักรไหนที่พูดเรื่องพระเยซูจะถูกต่อต้าน ที่เรายังไม่ถูกต่อต้าน เพราะเรายังไม่ยอมให้พระเยซูพูด เพราะเรากลัวว่าถ้าเรายอม เราจะถูกต่อต้าน เราไม่อยากถูกต่อต้าน เราก็ปิดปากพระเยซู และเราพูดเอง พูดเรื่องตัวเองมากกว่าเรื่องพระเยซู เป็นความจริงที่เราจะรักษาไว้ หรือเราจะปล่อยให้ความจงรักภักดีต่อพระเยซูเจือจางไป เพราะควมกลัวการถูกต่อต้าน
4.คนเป็นอันมากจะถดถอย มัทธิว 24:10
10 คราวนั้นคนเป็นอันมากจะถดถอยไป และอายัดกันและกัน ทั้งจะเกลียดชังซึ่งกันและกันด้วย ทุกวันนี้คุณเห็นคนท้อใจมากขึ้นไม๊ คุณเห็นคนทรยศกันมากขึ้นไม๊ คุณเห็นคนรักกันหรือเกลียดกันเราจะเป็นคนส่วนมาก หรือนส่วนน้อย นี่ก็คือความจริงของเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงพยากรณ์ไว้ คำเตือนนี้เพื่อบอกกับเราว่า เราจะสวนกระแส หรือเราจะลอยไปตามกระแสความเกลียดชัง กระแสการทรยศกัน กระแสการถดถอยของคนจำนวนมาก หรือเราจะเป็นเกลือและแสงสว่าง นำคนอื่นๆสวนกระแสร่วมกับเรา คุณกำลังเป็นสาวกของพระเยซูอยู่หรือไม่
5.ผู้ล่อลวงคนให้หลงไป มัทธิว 24:11
11 ผู้เผยพระวจนะปลอมหลายคนจะเกิดมีขึ้น และล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป ทุกวันนี้ ผู้สอนผิด สอนเพี้ยน และสอนให้หลงไปใกล้ตัวเรามาก ถึงขนาดส่งโปสเตอร์มาขอให้คริสตจักรช่วยประชาสัมพันธ์ พวกเขาเอาที่อยู่ของเราจากที่ไหน ไม่ยากเลย เพราะฉะนั้น เราจึงต้องรู้จักของจริง เพื่อจะไม่ได้ถูกหลอก เราทุกคนสามารแยกแยะออกระหว่างดอกไม้ปลอมกับดอกไม้จริง แต่บางทีถ้ามองจากระยะไกล ก็ไม่สามารถแยกออกได้ แค่มองเพียงสีสัน รูปร่าง ไม่สามารถแยกได้ บางทีสัมผัสก็เหมือนมาก ข้าพเจ้าใช้วิธี เด็ดใบ ฉีก ขยี้ ดมกลิ่น นี่คือวิธีตรวจสอบที่ดีที่สุด เราจะรู้ทันที เพราะเรารู้จักดอกไม้ที่มีชีวิตของจริง เพราะเราโตมากับของจริง เราไม่จำเป็นต้องใช้เวลากับของปลอมมาก ไม่จำเป็นเลย เราจะเป็นคนที่หลงไป หรือเราจะหยุดการล่อลวงนั้นไม่ให้เข้ามาในคริสตจักร และเข้ามาในตัวเราเอง เราคือผู้เลือก พระเยซูตรัสไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีสิ่งนี้ สาวกของพระเยซูที่แท้จริงจะต้องตระหนักและป้องกัน
6.ความรักจะเยือกเย็นลง มัทธิว 24:12
12 ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง เพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป เพราะความชั่วช้าจะแผ่ขยายออกไป จิตใจคนจะตายด้าน ไม่รู้สึกต่อความยากลำบากของคน ไม่มีความเห็นใจ โหดเหี้ยมทารุณ ข้าพเจ้าเคยเล่าเรื่องเพื่อนที่ประสบอุบัติเหตุรถถูกชนจากรถอีกข้างข้ามเกาะถนนมาชนประสานงา น่าตกใจ แต่คนฟังกลับบอกว่าเป็นเรื่องที่เห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวัน ไม่แปลกอะไรชินแล้วที่เห็นคนตาย มีบางคนพูดว่าต้องใจแข็งไว้เพราะคนอื่นจะเอาความใจอ่อนของเราไปเป็นเครื่องมือหากิน เราจะไม่ยอมให้ใครมาฉวยโอกาสในชีวิตเราอีก นี่คือวิธีคิด วิธีแสดงความรู้สึกของคนในยุคของเรา ความอธรรมแผ่กว้างออกไป เราได้พบแม้ในเด็กก็แสดงบทโหดแบบผู้ใหญ่ เดี๋ยวนี้ความอธรรมไม่ได้จำกัดอยู่ในวงผู้ใหญ่ แต่เด็กทำบาปมากมาย ทั้งฆ่าคน ข่มขืน ติดยาเสพติด ทำบาปแปลกๆ ขอให้เราเป็นแสงสว่างที่ส่องความชอบธรรมในท่ามกลางโลกที่มืดมิด เราต้องแสดงตัวเป็นแสงสว่าง ด้วยการสำแดงความรักที่ร้อนรน พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงความรักดั้งเดิมที่คริสตจักรอาจจะลืมความรักดั้งนั้น วิวรณ์ 2:4 แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้าง คือว่าเจ้าละทิ้งความรักดั้งเดิมของเจ้าให้ระวังที่จะมีโอกาสที่ความรักจะเยือกเย็นลง การฟื้นฟูความรักดั้งเดิม เราต้องเข้าใจความหมายของคำว่า รักดั้งเดิม (รักแรก) แปลว่า The best love รักที่ดีที่สุดที่เราพบในพระเยซูคริสต์ คือรักแบบอากาเป้ รักที่ไม่มีเงื่อนไข มีคำกล่าวที่ว่า เมื่อไรก็ตามที่เราพยายามที่จะหาเหตุที่ผลที่จะรัก แสดงว่า เราไม่ได้มีความรักแล้ว ขอให้เรากลับมาสู่ความรักที่ไม่ต้องหาเหตุผลที่จะรัก ขอพระเจ้าประทานหัวใจใหม่ให้กับเราทุกคน เพื่อเราจะอยู่ในโลกนี้ที่ความรักของคนจะเยือกเย็นลง แต่รักของเราทุกคนยังร้อนและมีไฟที่จะรัก แม้ว่าคนจะไม่น่ารัก เพราะเหตุผลมากมายที่ทำให้ไม่สามารถรักได้
7.คนที่ทนได้ถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด มัทธิว 24:13
13แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอดคนที่จะรอด ต้องใช้ความอดทน ต้องทนให้ได้ แต่ดูเหมือนคริสเตียนในยุคนี้จะเป็นคนที่ทนอะไรไม่ได้มาก เปราะบางมากขึ้น พูดไม่ดีเข้าหู ก็ระเบิดอารมณ์แล้ว พระคัมภีร์บอกว่า คนที่ทนได้ถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด แล้วจะเหลือกี่คนที่รอด เราต้องตั้งเป้าว่า เราจะต้องทนให้ได้กับทุกอย่าง อย่าคิดแต่ว่า ทนไอ้โน่นไอ้นี่ไม่ได้ อะไรๆก็ทนไม่ได้ แม้แต่คำแนะนำนิดๆก็ทนไม่ได้ แล้วจะรอดไม๊เนี่ย…. นี่คือเจ็ดลักษณะเหตุการณ์และคนรอบข้างที่คริสเตียนต้องตระหนักว่า กำลังดำเนินชีวิตไปกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แล้วจะต้องทำอย่างไร พระเยซูยังตรัสต่อไปอีกว่า มีสี่สิ่งที่สาวกของพระองค์จะต้องรู้เกี่ยวกับ “เวลา” โครนอส กับไครอส สี่สัญญาณเพื่อใช้คำว่า “หมดเวลา”
มัทธิว 24:36-44 36 “แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว 37 ด้วยสมัยของโนอาห์ ได้เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา ก็จะเป็นอย่างนั้น 38 เพราะว่าเมื่อก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายได้กินและดื่มกัน ทำการสมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าในนาวา 39 และน้ำท่วมมากวาดเอาเขาไปสิ้น โดยไม่ทันรู้ตัวฉันใด เมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาก็จะเป็นฉันนั้น 40 เมื่อนั้นชายสองคนอยู่ที่ทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง 41 หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ที่โรงโม่ จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง 42 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะเสด็จมาเวลาไหน 43 จงจำไว้ว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่าขโมยจะมายามไหน เขาจะตื่นอยู่และระวัง ไม่ให้ทะลวงเรือนของเขาได้ 44 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา
1.ไม่มีใครรู้ มัทธิว 24:36
36 “แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่า ไม่มีอะไรเตือนล่วงหน้า และนี่คือนัยยะของคำแนะนำว่า ถ้าเรารู้เวลา เราจะเผื่อเวลาไว้อย่างชะล่าใจ เมื่อเวลาหมดโดยไม่รู้ตัว เสียดายอีกหลายอย่างที่วางแผนไว้ว่าจะทำ แต่ก็ไม่ได้ทำ อย่ารอให้พร้อมแล้วถึงจะรับใช้ อย่ารอให้พร้อมแล้วถึงจะให้อภัย อย่ารอให้มีแล้วถึงจะให้ คุณจะพลาดเพราะคำว่า รอให้พร้อมก่อน พระคัมภีร์พูดถึงการเตรียมพร้อมเรื่องเดียว คือสำหรับการเสด็จมาของพระเยซู แต่คริสเตียนมากมายพยายามไปเตรียมพร้อมสำหรับอย่างอื่นที่ไม่ใช่การรอรับเสด็จของพระเยซูคริสต์ สัญญาณอันแรกคือ ไม่มีใครรู้เวลา ว่าจะหมดเมื่อไร ดังนั้นคำว่า ไม่มีใครรู้ จึงเป็นคำที่ดีที่สุดที่จะใช้กับคำว่า “หมดเวลา” ถ้าเช่นนั้น เมื่อไม่รู้ว่าว่า “หมดเวลา” มาเมื่อไร จอห์น แม็กซ์เวลล์ได้ให้คำแนะนำหนึ่งว่า จงใช้วันนี้ที่มีอยู่ราวกับว่า พรุ่งนี้จะไม่มาถึง ทำวันนี้ให้ดีที่สุด สุดกำลัง สุดความคิด สุดชีวิต
2.เหมือนอย่างสมัยของโนอาห์ มัทธิว 24:37-39
37 ด้วยสมัยของโนอาห์ ได้เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา ก็จะเป็นอย่างนั้น 38 เพราะว่าเมื่อก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายได้กินและดื่มกัน ทำการสมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าในนาวา 39 และน้ำท่วมมากวาดเอาเขาไปสิ้น โดยไม่ทันรู้ตัวฉันใด เมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาก็จะเป็นฉันนั้น ปฐมกาล 6, 7 ความชั่วของมนุษย์ถูกทำลายด้วยน้ำโดยพระเจ้า แต่มนุษย์ในยุคปัจจุบันถูกทำลายล้างด้วยความชั่วในตัวของมันเอง ไม่ต้องให้น้ำมาท่วมหรือไฟมาล้างอย่างในสมัยโลท (ลูกา 17:28-29)ยังไม่ทันเจอน้ำกับไฟก็ตายกันเป็นเบือทุกวันนี้ คนตายทีละมากโดยความประมาท โดยสงคราม โดยผลจากการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ อากาศปั่นป่วน อาหารจะหมด น้ำมันจะหมดจากโลก มีการรณรงค์ใช้พลังงานทดแทน บางคนคิดว่านี่คือปัญหาของคนรุ่นหลัง เราคงอยู่ไม่ถึง แต่อย่าลืมนะว่าทุกอย่างตอนนี้ มีตัวเร่งเวลาหลายตัวที่ไม่คาดฝันที่ซ่อนอยู่มุมใดมุมหนึ่งของโลก สิ่งที่เกิดจากมุมโลกหนึ่งส่งผลกระทบอีกมุมโลกหนึ่ง โลกใบนี้เล็กและแคบลงอย่างไม่น่าเชื่อ การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ถูกเปรียบเทียบเหมือนน้ำท่วมที่มาช่วยพยุงเรือของโนอาห์ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในเรือนั้นกลับถูกน้ำทำลาย การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ทำให้คนที่เชื่อในพระองค์ได้รับการช่วยกู้จากความเสื่อมทรามและความเลวร้ายของโลกที่กำลังทำลายมนุษยชาติทุกด้าน โนอาห์รอคอยเวลาที่น้ำจะมาตามที่พระเจ้าทรงสัญญา เขาจึงสร้างเรือตามที่พระเจ้าสั่ง เรือนั้นสามารถลอยได้เมื่อน้ำมา เรากำลังใช้เวลาสร้างอะไรเพื่อชีวิตของเราจะลอยไปบนฟ้า เมื่อพระเยซูเสด็จมา เราจะใช้คำว่า “หมดเวลา” กับความหลงระเริงกับความบาปของโลกนี้ได้หรือยัง เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้เราลอยไม่ได้ แต่มันจะถ่วงและเกาะเราไว้แน่นจนเราจะยึดติดอยู่กับบาปนั้นไม่ยอมปล่อยตัวเราเองลอยไปบนฟ้ากับพระเยซู 1เธสะโลนิกา4:16-17ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยสำเนียงเรียกของเทพบดีและด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาก่อน17 หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์และน่าจะเป็นคำตอบสำหรับการใช้คำว่า “หมดเวลา” สำหรับการยึดติดอยู่กับความบาปของคนที่ถูกละไว้
3.จะมีคนที่ถูกละไว้ “Left Behind” มัทธิว 24:40-41
40 เมื่อนั้นชายสองคนอยู่ที่ทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง 41 หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ที่โรงโม่ จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง
“ชายสองคนอยู่ที่ทุ่งนา” (สถานที่เดียวกัน) จะทรงรับคนหนึ่งและละคนหนึ่ง
“หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ที่โรงโม่” (กิจกรรมเดียวกัน ในสถานที่เดียวกัน)จะทรงรับคนหนึ่งและทรงละคนหนึ่ง
ความหมายของพระเยซูคริสต์กำลังหมายถึงคริสเตียนที่ถูกละไว้กับคริสเตียนที่ถูกรับไปอยู่ในที่เดียวกัน ทำกิจกรรมอย่างเดียวกัน สถานที่และกิจกรรมไม่ใช่ตัวตัดสินการเลือกสรรของพระเจ้า แต่ความแตกต่างที่อยู่ภายในชีวิตเรา อันได้แก่ คุณภาพชีวิตต่างหาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตร่วมกิจกรรม มาโบสถ์ แต่ชีวิตภายในไม่เปลี่ยน และไม่ใส่ใจการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงแก้ไข ไม่ได้เป็นนักเรียนของพระเยซูคริสต์เพื่อจะเรียนรู้จากพระองค์ จูนกับพระเยซูไม่ติด เราคิดว่า พระเยซูจะใช้อะไรเป็นมาตรฐานในการตัดสินว่า ใครจะถูกละไว้ ใครจะถูกรับไป คนสองคนที่ทำกิจกรรมอย่างเดียวกัน คนที่อยู่ในสถานที่เดียวกัน ต่างก็มีความเชื่อเหมือนกัน แต่ตอบสนองกับคำว่า “หมดเวลา” ต่างกัน คือหมดเวลาสำหรับทำบาปและการไม่เชื่อฟัง ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเยซูไม่ลำเอียง พระองค์อยากให้ทุกคนรอด แต่คนที่จะไม่ถูกละไว้ คือคนที่ทำตัวอย่างไรที่จะลอยขึ้นไปได้ ฮีบรู 12:1 เมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมแล้ว ก็ให้เราละสิ่งที่ที่ถ่วงอยู่และบาปที่เกาะแน่น บางทีบาปไม่ได้เกาะเรา แต่เราเกาะบาปไว้แน่นจนไม่ยอมลอยไปกับพระเยซูต่างหาก
4.“เฝ้าระวัง”และ “เตรียมพร้อม” มัทธิว 24:42-44
42 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะเสด็จมาเวลาไหน 43 จงจำไว้ว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่าขโมยจะมายามไหน เขาจะตื่นอยู่และระวัง ไม่ให้ทะลวงเรือนของเขาได้ 44 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา
“จงเตรียมพร้อม” เพื่อการอดทน ลูกา 21:34-36 34 “แต่จงระวังตัวให้ดี เกลือกว่าใจของท่านจะล้นไปด้วยอาการดื่มเหล้าองุ่นมาก และด้วยการเมา และด้วยคิดกังวลถึงชีวิตนี้ แล้วเวลานั้นจะมาถึงท่านดุจบ่วงแร้วอย่างกะทันหัน35 เพราะว่าวันนั้นจะมาถึงคนทั้งปวงที่อยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลก36 เหตุฉะนั้นจงเฝ้าอยู่ทุกเวลา จงอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลายจะมีกำลังที่จะพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งจะบังเกิดมานั้น และจะยืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์ได้” คำว่า “ยืนอยู่ต่อหน้าพระบุตรได้” น่าจะมีความหมายเดียวกันกับใน มัทธิว 24:13“แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด” ทุกวันนี้ความกดดันและปัญหาต่างกำลังฝึกความอดทนให้กับเรา เพื่อจะ “ทนได้จนถึงที่สุด” คือรักษาความเชื่อไว้ถึงที่สุด เพราะว่าจะมีคนละทิ้งความเชื่อ และหันไปสู่วิถีชีวิตเก่าอย่างโลก เพราะว่าทนไม่ไหว ความเชื่อที่ยืนหยัดจนถึงที่สุดทำให้ตอบสนองเป็นการกลับใจใหม่ และพร้อมรับคำสอนของพระเจ้าได้ ความเชื่อทำให้อดทนต่อคนที่ไม่น่ารัก อดทนต่อสิ่งที่รังควาญชีวิตโดยไม่แตกหักไปเสียก่อน อดทนต่อการล่อลวง การยั่วยวนของโลกนี้ ทำให้มองข้ามการทรยศ เพื่อศักดิ์ศรี สุภาษิต 19:11 สามัญสำนึกที่ดีกระทำให้คนโกรธช้า และที่มองข้ามการละเมิดไปเสียก็เป็นสง่าราศีแก่เขา ระวังให้ดี คือ ระวังตัวเอง อย่าเป็นคนที่ทนต่อคำสอนอันมีหลักไม่ได้ ซึ่งมักจะเป็นคำเตือนที่สวนทางกับความปรารถนาของเนื้อหนัง
“จงเตรียมพร้อม” เพื่อการเปลี่ยนแปลง 1 โครินธ์ 15:51-52 “ส่วนบรรดาคนที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้ว…ในพริบตาเดียว เราจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่” “ ชั่วพริบตาเดียว”เพียง1 ส่วน 10 วินาทีก่อนจะถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นกายทิพย์ ให้เราคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมก่อน และกายทิพย์จะฟิตหรือพอดีกับพฤติกรรมและจิตใจที่ดี
เวทีที่คริสตจักรจัดให้แก่ท่านคือที่ๆท่านจะฝึกความเตรียมพร้อม มาโบสถ์อย่าได้ขาดเพื่อเราจะรับการหนุนใจ มาอธิษฐานเพื่อเราจะรับพลัง เข้ากลุ่มเซลล์เพื่อเราจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และร่วมรับใช้ฝ่ายจิตวิญญาณร่วมกับศิษยาภิบาล และออกไปในโลกข้างนอกคือสนามแห่งการต่อสู้เพื่อชนะ
ถ้าท่านไม่ชนะจะไม่มีใครเห็นชัยชนะของพระคริสต์ในชีวิตของท่าน
ถ้าท่านไม่แพ้ก็จะไม่มีใครเห็นพระคริสต์ในชัยชนะของท่าน
คนที่ถูกละไว้ คือคนที่คิดว่ายังมีเวลา แต่คนที่ถูกรับไปคือคนที่รู้ว่า “หมดเวลา” สำหรับการทำอะไรตามความปรารถนาขอเนื้อหนัง และกลับใช้เวลาในการรอคอยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้า 1โครินธ์11:26 26 เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายกินขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา พระคัมภีร์ใช้คำว่า อย่าตื่นตระหนก แต่จงระวัง คือ ท่าทีของการรอคอย คนที่รอคอยจะจดจ่อ จะรีบเลิกในสิ่งที่ควรเลิก รีบทำในสิ่งที่ควรทำ ก่อนที่จะไม่มีโอกาส ไม่ทันได้กลับตัว หมดเวลามานานแล้วสำหรับการหลงระเริงกับความบาป หมดเวลามานานแล้วกับชีวิตเก่า จงดำเนินชีวิต….“ปราศจากที่ติกับ 7 ลักษณะ 4 สัญญาณ…เพื่อใช้คำว่า “หมดเวลา”
เจ็ดลักษณะของเหตุการณ์และคนรอบข้าง
1.ผู้ล่อลวงที่เหมือนจริง
2. ภัยพิบัติต่างๆ
3. การต่อต้านคริสตจักร
4. คนเป็นอันมากจะถดถอย
5. ผู้ล่อลวงคนให้หลงไป
6. ความรักจะเยือกเย็นลง
7. คนที่ทนได้ถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด
สี่สัญญาณเพื่อใช้คำว่า “หมดเวลา”
1. ไม่มีใครรู้
2. เหมือนอย่างสมัยของโนอาห์
3. จะมีคนที่ถูกละไว้ “Left Behind”
4.“เฝ้าระวัง”และ “เตรียมพร้อม”