“มีใจเดียว” Oneness
คนส่วนใหญ่มักจะคาดหวังให้เราคิดเหมือนกับเขา หรือเขาคิดเหมือนกับเรา เมื่อคิดไม่เหมือนกัน ก็จะรู้สึกว่า เขาไม่ใช่พวกเรา เราไม่ใช่พวกเขา บางคนก็ให้สวมเสื้อผ้าเหมือนกันจะได้ดูราวกับว่าเป็นทีมเดียวกัน ยูนิฟอร์มต่างๆได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อความรู้สึกของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ในความเป็นจริง มีความแตกแยกอยู่ภายใต้ยูนิฟอร์มหรือที่เรียกว่าทีม แต่ไม่เป็นทีม ใกล้ตัวหน่อยก็คือ ภายใต้นามสกุลเดียวกัน อาจมีความแตกแยก ครอบครัวไม่เป็นครอบครัว ได้ ถ้าอย่างนั้น…. สิ่งที่พระคัมภีร์กำลังบอกเราถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ยากที่จะเป็นไปได้ และข้าพเจ้าก็เห็นด้วยว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ เป้าหมายของพระคัมภีร์สูงเกินความเป็นจริง โดยเฉพาะความเป็นใจเดียว เอเฟซัส 4:3-5 3 จงเพียรพยายามให้คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้นด้วยสันติภาพเป็นพันธนะ4 มีกายเดียวและมีพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนมีความหวังใจอันเดียวที่เนื่องในการที่ทรงเรียกท่าน5 มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว แต่ภาพที่พระคัมภีร์กำลังบอกเราในเรื่องความเป็น “ใจเดียว” ไม่ใช่ภาพอย่างมนุษย์คิด เพราะว่า ความเป็นใจเดียวนี้ มาจากพระวิญญาณเป็นผู้ประทาน ความพยายามที่ว่าไม่ใช่เราสามารถสร้างความเป็นใจเดียวด้วยตัวเราเองได้ แต่ความพยายามที่ว่า คือความพยายามในการเชื่อฟังและไปในทิศทางเดียวกันตามที่พระวิญญาณทรงนำ ดังนั้นความเป็น “ใจเดียว” สามารถเกิดขึ้นได้ โดยการนำของพระวิญญาณ เนื้อหนังทำไม่ได้ ก็คือ การมีกายเดียว พระวิญญาณเดียว หวังใจเดียวกันจากการทรงเรียก พระเจ้าองค์เดียวกัน ความเชื่อเดียว และบัพติศมาเดียว ทั้งหมดคือ Oneness ใจเดียว
แท้จริงคริสเตียนเป็นพวกที่สับสนมากที่สุด เพราะว่าเรามีสองธรรมชาติในกายเดียวของเรา แต่ก่อน เรามีธรรมชาติเดียว คือธรรมชาติบาป แต่เมื่อเรามาเชื่อพระเยซู มีธรรมชาติใหม่เกิดขึ้น คือธรรมชาติของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคัมภีร์กาลาเทียจึงกล่าวถึงการต่อสู้ระหว่างสองธรรมชาติในกายเดียว ระหว่างเนื้อหนังกับพระวิญญาณ คริสเตียนจึงเป็นพวกที่สับสนมาก เพราะมีสองธรรมชาติ เดี๋ยวเอาพระวิญญาณ เดี๋ยวเอาเนื้อหนัง อ.เปาโลพยายามต่อสู้กับเนื้อหนังของท่าน 1โครินธ์ 9:27 27แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ ในความสับสนนี้ คือความสับสนที่ดี เมื่อเรามองเห็นตัวเองมีสองธรรมชาติ และในการสับสนคือการต่อสู้ ถ้าเราไม่สับสน เราจะมีแนวโน้มกลับไปสู่ชีวิตเก่าที่เป็นการงานของเนื้อหนังล้วนๆ ทำบาปแบบไม่รู้สึกรู้สา เดินตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้าอย่างคนใจแข็งกระด้าง และไม่สนใจเรื่องความเป็นใจเดียว
ในทางตรงกันข้าม คุณจะไม่รู้สึกอยากจะเป็นใจเดียวกับคนอื่น คุณอยากจะมีใจเดียวของตนเอง ไม่อยากเข้ากับใคร แม้กระทั่งการรับใช้ คุณก็อยากจะทำพันธกิจที่เรียกว่า ฟรีแลนซ์ อิสระไม่ขึ้นกับใคร หากเป็นครอบครัว คุณจะอยากจะโบยบินออกจากความรู้สึกไม่อยากอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของพ่อแม่ อยากจะไปใช้ชีวิตอิสระ ไม่อยากจะเป็นใจเดียวกับคนในครอบครัวเดียวกัน ขอพระเจ้าทรงโปรดช่วยเราให้เข้าใจถึงความเป็นใจเดียว การยอมจำนน ยอมเชื่อฟัง เป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการเชื่อมต่อความสัมพันธ์ที่ดี เป็นสังคม ทุกวันนี้ เรากำลังถูกใส่ความคิดของการแยกตัวเองออกเป็นอิสระ จนกลายเป็นกับดัก เป็นอุปสรรคต่อการเป็นสังคม เป็นครอบครัว เพราะบาดแผล หรือความผิดพลาดของครอบครัวที่ล้มเหลว จึงทำให้ครอบครัวกลายเป็นสิ่งที่คนพยายามหนีการเป็นครอบครัว
มีคำที่ว่า ถ้าพ่อแม่ตายเมื่อไหร่ ก็หมดความเป็นครอบครัว ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไป นี่คือภาพของการไม่มีใจเดียวแล้ว พ่อแม่เป็นศูนย์รวมของการมีใจเดียว นี่กระมังที่พระเจ้าทรงมองเห็นอนาคตอันยาวไกลของมนุษยโลกที่กำลังสูญเสียความเป็นใจเดียวจนสุดท้ายไม่เหลือหัวใจไว้รวมกับใครอีกเลย เพราะใจของมนุษย์แตกสลายไปความบาป การทำตามใจตนเอง และการโอ้อวดของตนเอง
ฟิลิปปี 2:5-7 5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ 6ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ 7แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ พระคัมภีร์ตอนนี้กล่าวถึง การมีความคิดอย่างเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคิดอย่างไร พระองค์มีความคิดที่จะเป็นใจเดียวกันกับมนุษย์ พระองค์จึงสละสถานะความเป็นพระเจ้า ถ่อมลงมา จนถึงความตาย คือตายบนไม้กางเขนอย่างมนุษย์ที่มีบาปที่สุด เพื่อจะนำมนุษย์กับมาคืนดีกับพระเจ้า เป็นการตายแทนมนุษย์ทั้งหลาย
ยอห์น1:14 14 พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา พระเยซูพระบุตรพระเจ้าได้มาอยู่ท่ามกลางเรา เพื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรา พระเยซูทรงอธิษฐานเผื่อสาวก เป้าหมายก็คือความเป็นใจเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา ใจเดียวกับพระเยซู และใจเดียวกันและกัน
ยอห์น17:20-21 20“ข้าพระองค์มิได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อคนทั้งปวงที่วางใจในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของเขา21เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่พระองค์ คือพระบิดาทรงสถิตในข้าพระองค์ และข้าพระองค์ในพระองค์ เพื่อให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ และกับข้าพระองค์ด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา พระเยซูทรงทำส่วนของพระองค์สำเร็จแล้ว และส่วนที่พระองค์ยังอธิษฐาน และอธิษฐานก็คือส่วนที่พวกเราทั้งหลายต้องทำหน้าที่ของเรา คือ ไปให้ถึงการมี “ใจเดียว” ซึ่งไม่ง่ายเลย เพราะคนเรามักจะมีสองใจ และเมื่อเราเข้ามาเดินในเส้นทางเดียวกันกับพระเยซู เราต้องไปให้ถึงการมีใจเดียว อย่างที่หนังสือยากอบ4:8 8ท่านทั้งหลายจงเข้าใกล้พระเจ้า และพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลายเอ๋ย จงชำระมือให้สะอาด และคนสองใจ จงชำระใจของตนให้บริสุทธิ์ ยากอบกำลังบอกว่า เราสามารถไปให้ถึงการมีใจเดียวได้ และใจเดียวนี้แหล่ะ คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราเติบโตไปถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์
เอเฟซัส 4:11-16 11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง15 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆ ข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว
เราต้องการคนที่มีของประทานห้าอย่าง Five Fold Ministries เราต้องการคนที่จะเตรียมเราให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายให้จำเริญขึ้น เราต้องการกันและกัน อย่าคิดว่าเราจะสามารถเติบโตขึ้นโดยปราศจากของประทานห้าอย่างนี้ บทบาทของศิษยาภิบาลและอาจารย์สำคัญพอๆกับบทบาทของผู้เผยพระวจนะ อัครทูต และผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และในยุคนี้ ศิษยาภิบาลและอาจารย์ต้องการของประทานของผู้เผยพระวจนะอย่างมาก จะเป็นแต่ศิษยาภิบาลและอาจารย์โดยขาดการเปิดเผย การสำแดง การตรัสของพระเจ้าก็ไม่ได้ เราต้องการข่าวสารจากพระเจ้า ของประทานเหล่านี้อาจมีในคนหนึ่งมากกว่าหนึ่งอย่างก็เป็นได้ นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์เอเฟซัสตอนนี้ได้กล่าวเกี่ยวกับการรับการเสริมสร้างไปจนถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความเป็นใจเดียวไม่ได้เกิดขึ้นเอง และสร้างขึ้นแต่ตัวเองคนเดียวไม่ได้ ต้องไปด้วยกัน โตคนเดียวไม่ได้ ต้องโตไปพร้อมๆกัน และคนที่โตก็จะพาคนอื่นโตด้วย ไม่ใช่ไม่สนใจคนอื่นตัวเองเอาตัวรอดก็พอ และถ้าเราไม่สามารถเป็นใจเดียวกับที่ที่เราอยู่ เราจะออกไปสร้างคริสตจักรที่มีใจเดียวก็ไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถให้ในสิ่งที่เราไม่มี ไม่ได้ บทเรียนสำหรับเราวันนี้ก็คือ เรากำลังก้าวไปสู่การมีใจเดียว ซึ่งต้องฝ่าฟันอุปสรรคของการมีใจเดียว ก็คือ การจัดการกับการมีสองใจ
1.จัดการกับใจที่ไม่มั่นคง ยากอบ 1:8
8เขาเป็นคนสองใจไม่มั่นคงในบรรดาทางที่ตนประพฤตินั้น
ใจที่ไม่มั่นคง คือใจที่ไม่เสมอต้นเสมอปลาย มีความคิดไอเดียดีๆ แต่ทำไม่จบ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หันไปเหมาตามลมปากของมนุษย์ ใจไม่แน่วแน่ มีความสงสัย คำว่า สองใจ รากศัพท์ภาษากรีก แปลว่า มีความคิดมากกว่าหนึ่งความคิด ทั้งความคิดของตนเอง ความคิดของคนอื่นๆ อาจมีความคิดของพระเจ้า และอาจไม่มีความคิดของพระเจ้าเลยก็ได้ แยกแยะไม่ออกระหว่างภาระใจของตนเอง หรือภาระใจของคนอื่น ไม่มีนิมิต สุภาษิต 29:18 18 ที่ที่ไม่มีนิมิต ประชาชนก็ปล่อยตัว….(1971 ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจ) คำว่า นิมิต รากศัพท์แปลว่า การสำแดง ถ้อยคำ และการมองเห็นอนาคต คำว่า ปล่อยตัว หรือละทิ้งความยับยั้งชั่งใจ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า พินาศ (Perish) คนสองใจกำลังเดินไปสู่เส้นทางแห่งการปล่อยตัว ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจ และสู่เส้นทางแห่งความพินาศ ยากอบ 1:5-8 5ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณาและมิได้ทรงตำหนิ แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ 6แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา7ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย8เขาเป็นคนสองใจไม่มั่นคงในบรรดาทางที่ตนประพฤตินั้น เราทุกคนล้วนอยู่ในภาวะที่เรียกว่า ใจที่ไม่มั่นคง คือเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ เพราะความรู้ของเราไม่สมบูรณ์ เราเห็นภาพสลัวๆ เราเห็นไม่ชัด เราจึงต้องมีความเชื่อมั่นใจพระเจ้า ไว้วางใจในการทรงนำของพระเจ้า พระคัมภีร์เปรียบเทียบคนในโลกนี้เหมือนกับแกะ ซึ่งมีธรรมชาติของสายตาที่สั้น มองได้ระยะใกล้ จึงต้องมีผู้เลี้ยง น่าสนใจที่เราไม่เคยได้ยินเรื่องแกะป่า หรือแกะที่อาศัยในป่า หรืออาจจะมีแต่ไม่เหลือเป็นแกะอิสระอีกต่อไป เพราะมันมีธรรมชาติที่สายตาสั้น มันจึงดำรงอยู่ในป่าโดดเดี่ยวตัวเดียวไม่ได้ เราจึงเห็นแต่แกะเลี้ยง คือมีผู้เลี้ยง พระเจ้าจึงยกตัวอย่างมนุษย์เป็นเหมือนแกะ ที่ต้องการการนำจากผู้เลี้ยง พระคัมภีร์ยากอบเปรียบเทียบคนที่ใจไม่มั่นคง คือการมีความคิดมากกว่าหนึ่ง คำว่า ไม่สมควรได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าแปลความว่า หากเราเป็นแกะที่สายตาสั้น และไม่ยอมอยู่ภายใต้การนำของพระเจ้า เรากำลังเป็นแกะที่ไปไม่ถึงการเลี้ยงดู การจัดเตรียมของพระเจ้า เพราะตัวเราเอง ความคิดของเราเอง จะนำเราไปในที่ที่เราคิดว่า เราหากินได้เอง เราจัดเตรียมเพื่อตัวเราเอง เราสร้างพันธกิจขึ้นมาเอง สร้างการรับใช้เอง เราไม่ต้องการสิ่งใดจากพระเจ้า นี่คือความหมายของยากอบ คือเราเป็นคนปฏิเสธสิ่งที่มาจากพระเจ้าเอง ไม่ใช่พระเจ้าไม่ต้องการจะให้สิ่งใดแก่คนของพระองค์ แต่เราไปในทางที่ไม่มีการจัดเตรียมของพระเจ้า
เราจึงเห็นคริสเตียนที่ขาดแคลน คริสเตียนที่เสียเวลา คริสเตียนที่ขาดความแม่นยำในการตัดสินใจ เพราะ 8เขาเป็นคนสองใจไม่มั่นคงในบรรดาทางที่ตนประพฤตินั้นความไม่มั่นคงในบรรดาทางที่ตนประพฤตินั้น หมายถึง ประกาศว่าตนเองเชื่อและไว้วางใจพระเจ้า แต่ทำตรงกันข้าม คือไว้ใจความรู้สึกของตนเองมากกว่าไว้วางใจในพระเจ้า นั่นคือความสงสัยในการนำของพระเจ้า สงสัยในการเจิมตั้งผู้นำของพระเจ้า สงสัยในการทรงเรียก สงสัยในครอบครัวที่เราเกิดมา บางคนคิดอย่างนี้ ว่า ครอบครัวของเราใช่น้ำพระทัยพระเจ้าให้เราเกิดมาหรือ บางคนสงสัยในบทบาท หน้าที่ที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ บางคนสงสัยในที่อยู่อาศัยที่กำลังอยู่ บางคนสงสัยในสถานะความเป็นโสด หรือสถานะชีวิตคู่ ใช่คู่พระพรหรือ บางคนสงสัยในสถาบันที่ตนเองเรียนอยู่ อีกมากมายของความสงสัย เราจึงมองเห็นแต่สิ่งแย่ๆแทนที่จะมองเห็นการจัดเตรียม การลงทุนของพระเจ้าในชีวิตของเรา เราจึงเอาสิ่งที่มีค่าที่พระเจ้าทรงให้กับเราไปถลุงทำลาย เสียของ ไม่คุ้มกับการลงทุนของพระเจ้า เพราะเราคิดว่า เรามีเสรีภาพที่จะทำ กาลาเทีย 5:13 13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านก็เพื่อให้มีเสรีภาพ อย่าเอาเสรีภาพของท่านเป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด คำว่า “ปล่อยตัว” ในที่นี้ แปลว่า เปิดโอกาสให้การงานของเนื้อหนังทำงาน กาลาเทีย 6:8-9 8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น 9อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร ปลายทางของการปล่อยตัวตามเนื้อหนังคือความเปื่อยเน่า แม้จะเป็นการรับใช้ หากมาจากแรงจูงใจของเนื้อหนัง ไม่ใช่จากพระวิญญาณ จากนิมิตภาระใจที่พระเจ้าทรงใส่ให้ เราก็จะเก็บเกี่ยวความเปื่อยเน่า ก็คือผลของการงานเนื้อหนัง พระเจ้าไม่ต้องการให้คนของพระองค์หลงทิศทางอย่างนั้น พระองค์จึงมีผู้เผยพระวจนะ ของประทานการเผยพระวจนะ เพื่อจะสำแดงทิศทางเป็นนิมิตที่ชัดเจนแก่คนของพระองค์ ดังนั้นเราต้องการกันและกัน เราต้องการการเสริมสร้างจากผู้มีของประทานห้าอย่างนี้ในคริสตจักรของเรา ข้าพเจ้าอยากจะย้ำกับเรา คริสตจักรของเรามีของประทานครบทั้งห้าอย่างอยู่ในใครบางคนท่ามกลางเรา ขอให้เราไปด้วยกันด้วยใจเดียว แล้วเราจะไปถึงความครบถ้วนของพระเยซู จงหยุดพฤติกรรมคนสองใจ สำรวจและจัดการกับสองใจในตนเอง การจะไปสู่ใจเดียว เราต้องจัดการกับอีกใจ
2.จัดการกับใจที่ไม่บริสุทธิ์ ยากอบ4:8
8ท่านทั้งหลายจงเข้าใกล้พระเจ้า และพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลายเอ๋ย จงชำระมือให้สะอาด และคนสองใจ จงชำระใจของตนให้บริสุทธิ์
นั่นคือใจที่ยังมีที่ติ น่าสนใจมากที่หนังสือเอเฟซัสบทที่สี่ ที่เป็นบทของหัวข้อประจำปีนี้ คือสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ ได้กล่าวถึงเป้าหมายของความมีใจเดียว ในบทเดียวกัน ว่าต้องจัดการกับใจที่ไม่บริสุทธิ์ ใจเหล่านี้เป็นอุปสรรคของการมีใจเดียว เอเฟซัส 4:17-19,22-23,31 17 เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอยืนยันและเป็นพยานในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปท่านอย่าประพฤติอย่างคนต่างชาติที่เขาประพฤติกันนั้น คือมีใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไร้สาระ18 โดยที่ความคิดของเขามืดมนไป และเขาอยู่ห่างจากชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า เพราะเหตุความไม่รู้เท่าถึงการซึ่งอยู่ในตัวเขา อันเนื่องจากใจที่แข็งกระด้างของเขา19 เขามีใจปราศจากโอตตัปปะปล่อยตัวทำการลามกและละโมบในกาม ทำการโสโครกทุกอย่าง…. 22 ท่านจงทิ้งตัวเก่าของท่าน ซึ่งคู่กับวิถีชีวิตเดิมนั้นเสีย อันจะเสื่อมเสียไปสู่ความตายตามตัณหาอันเป็นที่หลอกลวง 23 และจงให้วิญญาณจิตของท่านเปลี่ยนใหม่…31 จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้าย กับการคิดปองร้ายทุกอย่างอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด
เอเฟซัส 4:23 และให้วิญญาณและจิตใจของพวกท่านได้รับการเปลี่ยนใหม่ (2011)
ใจที่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไร้สาระ ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกนับเข้ากับใจที่ไม่บริสุทธิ์
ใจที่แข็งกระด้าง ก็เป็นอีกใจที่ไม่ยอมรับคำเตือน คำสอนจากพระเจ้า ใจที่ยากจะรัก ใจที่แข็งกระด้าง เป็นใจที่หมดความสามารถในความรักระดับต่ำสุดก็ไม่สามารถรักได้ คือการตอบสนองต่อความรักของคนอื่น รักคนที่น่ารัก คนที่ทำดีด้วย เป็นใจที่มีความคิดมืดมน มองไม่เห็นความสว่างในความสว่าง แม้ความสว่างยังมองเป็นมืดได้
ใจมืดมน ทำให้ขาดการควบคุมความอยากของตนเอง เลยเถิดไปถึงการทำสิ่งที่ เรียกว่า คือการปล่อยตัวไปกับกิเลศตัณหาเต็มๆ
ใจขมขื่น ใจขัดเคือง ใจโกรธ 31 จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ พฤติกรรมที่วิเคราะห์ว่ามาจากใจเหล่านี้คือ คือ การทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้าย กับการคิดปองร้ายทุกอย่าง พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่า ต้องจัดการ ด้วยคำว่า “จง…ให้ทุกอย่างนี้อยู่ห่างไกลจากท่านเถิด”
ถ้าเรามองย้อนกลับขึ้นไปจากท้ายขึ้นบน เราจะเห็นว่า เส้นทางของใจแข็งกระด้าง มาจากใจโกรธ ใจขัดเคือง และใจโกรธก่อน อยู่ๆใจจะแข็งกระด้างเลยไม่ได้ มันมีที่มาของความแตกแยกเล็กๆที่สามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงได้ จนกลายเป็นรอยแยกใหญ่ ที่ยากจะเอากลับมาคืนดีกัน นี่คือเหตุผลที่หนังสือฮีบรูได้กล่าวถึงความเสียหายที่เกิดจากรากขมขื่น
ฮีบรู 12:15 15 จงระวังให้ดีอย่าให้ใครเพิกเฉยต่อพระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมา ทำความยุ่งยากให้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้คนเป็นอันมากเสียไป เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ได้เตือนเราให้ใส่ใจรอยแยกเล็กๆ จัดการกับใจที่ไม่บริสุทธิ์ ด้วยการเรียนรู้จากพระคริสต์ เอเฟซัส 4:20-30 20 แต่ว่าท่านไม่ได้เรียนรู้จักพระคริสต์อย่างนั้น :21 ถ้าแม้ท่านได้ฟังเรื่องพระองค์ และได้เรียนรู้เรื่องพระองค์ตามสัจธรรม ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูแล้ว 22 ท่านจงทิ้งตัวเก่าของท่าน ซึ่งคู่กับวิถีชีวิตเดิมนั้นเสีย อันจะเสื่อมเสียไปสู่ความตายตามตัณหาอันเป็นที่หลอกลวง :23 และจงให้วิญญาณจิตของท่านเปลี่ยนใหม่:24 และให้ท่านสวมสภาพใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง:25 เหตุฉะนั้นท่านจงเลิกพูดมุสาเสีย และจงพูดความจริงต่อกัน เพราะว่าเราต่างก็เป็นอวัยวะของกันและกัน26 จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่:27 และอย่าให้โอกาสแก่มาร:28 คนที่เคยขโมยก็อย่าขโมยอีก แต่จงใช้มือทำงานที่ดีดีกว่า เพื่อจะได้มีอะไรๆ แจกให้แก่คนที่ขัดสน:29 อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง30 และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เพราะโดยพระวิญญาณนั้นท่านได้ถูกประทับตราหมายท่านไว้ เพื่อวันที่จะทรงไถ่ให้รอด
“มีใจเดียว” Oneness
- จัดการกับใจที่ไม่มั่นคง
- จัดการกับใจที่ไม่บริสุทธิ์