“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…อย่างแกะที่มีผู้เลี้ยง”
นิทานอีสป เรื่องหมาป่ากับลูกแกะ หมาป่าตัวหนึ่ง กำลังกินน้ำอยู่ที่ตอนเหนือของแม่น้ำในระยะที่ไม่ไกลนัก มีลูกแกะตัวหนึ่งกำลังกินน้ำอยู่ถัดออกไป เมื่อหมาป่าเห็น ดังนั้น จึงเดินมาพูดกับลูกแกะว่า ” อะไรกันนี่ เจ้าลูกแกะเกเร เจ้ากล้าดีอย่างไร จึงทำให้น้ำขุ่นเป็นโคลนจนข้ากินไม่ได้ ” ลูกแกะตอบว่า ” ฉันเสียใจ แต่ฉันคิดว่า ฉันไม่สามารถทำให้น้ำนั้นขุ่นจนท่านกินไม่ได้ เพราะฉันอยู่ปลายน้ำ จะไปทำให้น้ำขุ่นจนถึงที่ที่ท่านยืนอยู่ได้อย่างไร ” หมาป่าตั้งใจจะหาเรื่องกับลูกแกะให้ได้จึงพูดว่า ” บางทีมันก็อาจจะเป็นได้ แต่เมื่อหกเดือนก่อน เจ้าคนพาล เจ้าได้ด่าข้าลับหลัง ” ” มันจะเป็นไปได้อย่างไร ” ลูกแกะตอบ “ในเมื่อตอนนั้นฉันยังไม่เกิด” หมาป่าตอบว่า ” อะไรกัน เจ้าช่างไม่มีความละอาย ครอบครัวของ เจ้าเกลียดครอบครัวของข้า ถ้าไม่ใช่เจ้าเป็นคนด่า ก็คงเป็นพ่อของเจ้า ” เมื่อพูดจบก็ตรงเข้าขย้ำลูกแกะกินเป็นอาหาร
นิทานเรื่องสอนเราให้เรารู้ว่า อย่าเป็นแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง เพราะผู้เลี้ยงจะไม่ปล่อยให้แกะเจรจากับหมาป่าแน่นอน ผู้เลี้ยงจะไล่หมาป่าไม่ให้มาหาเรื่อง และไม่ให้หมาป่าเข้าใกล้ลูกแกะอย่างเด็ดขาด
ผู้เลี้ยงที่ดี จะไม่ยอมหนี และปล่อยให้แกะอยู่ในเงื้อมมือของหมาป่า ยกเว้น ผู้เลี้ยงนั้น เป็นแค่ลูกจ้าง และไม่ได้เป็นเจ้าของฝูงแกะตัวจริง
ยอห์น 10:12 12 ผู้ที่รับจ้างมิได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ และฝูงแกะไม่เป็นของเขา เมื่อเห็นสุนัขป่ามาเขาจึงละทิ้งฝูงแกะหนีไป สุนัขป่าก็ชิงเอาแกะไปเสีย และทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป
ผู้เลี้ยงแกะที่ได้รับมอบหน้าที่ให้เลี้ยงดูแกะนั้น จะต้องไว้วางใจได้ ว่า เขาจะสวมหัวใจที่เป็นความรักต่อแกะ หรือต่อเจ้าของแกะ นี่คือเหตุผลที่พระเยซูถามเปโตรถึงสามครั้งว่า เจ้ารักเราหรือ เมื่อเปโตรตอบพระเยซูว่า เขารักพระองค์ พระเยซูทรงตรัสสั่งเปโตรว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด” ครั้งที่ 1 และครั้งที่สอง พระองค์ทรงตรัสสั่งให้เปโตร “จงดูแลแกะของเราเถิด” และครั้งที่สาม พระเยซูทรงตรัสสั่งว่า “จงเลี้ยงแกะของเราเถิด”
ยอห์น 21:15-17 15 เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเรามากกว่าเหล่านี้หรือ” เขาทูลพระองค์ว่า “เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด”16 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลแกะของเราเถิด”17 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ” เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า “เจ้ารักเราหรือ” เขาจึงทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงแกะของเราเถิด
คำที่พระเยซูสั่งเปโตรสามครั้งนี้ พระเยซูใช้คำกรีกสองคำ คำว่า เลี้ยง คือการให้อาหารด้วยการให้เล็มหญ้า ให้อาหารด้วยอาหารสำหรับแกะ ส่วนคำว่า ดูแล พระเยซูทรงใช้คำกรีกที่แปลว่า ให้ทำหน้าที่ผู้เลี้ยงแกะ Shepherd แปลว่า ผู้ปกป้องผู้อื่น หรือผู้ชี้นำ
พระเยซูได้ทรงมอบหมาย แต่งตั้ง คนที่จะทำหน้าที่ผู้เลี้ยงที่ดี อย่างที่พระองค์ทรงเป็น เปโตรเป็นตัวอย่างของการทรงเรียกที่พระเยซูจะเลือกให้เป็นผู้เลี้ยงลูกแกะของพระองค์ ผู้เลี้ยงนั้นจะต้องมีความรักอย่างที่พระเยซูทรงรักลูกแกะ
พระเยซูทรงถามเปโตรว่า เจ้ารักเราหรือ พระเยซูถามเปโตรว่า เจ้ารักเราหรือ ด้วยคำว่า รัก อย่างอากาเป้ (อากาเปโอ) แต่เปโตรตอบพระเยซูด้วยคำว่า รักอย่างเพื่อน (ฟิเลโอ) ถึงสามครั้ง และครั้งที่สาม เปโตรไม่สบายใจกับคำถามว่ารักอย่างอากาเป้ เพราะมันคือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เปโตรยังไม่เข้าใจว่า รักอย่างไม่มีเงื่อนไขนั้นเป็นอย่างไร แต่พระเยซูทรงพยากรณ์ว่า วันหนึ่งเปโตรจะเข้าใจ รักอย่างไม่มีเงื่อนไข อากาเป้ ได้ รักที่ยอมให้ตนเองถูกเอาไปตรึงกางเขน (กลับหัว)
ยอห์น 21:18-19 18 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า เมื่อเจ้ายังหนุ่มเจ้าคาดเอวของเจ้าเอง และเดินไปไหนๆ ตามที่เจ้าปรารถนา แต่เมื่อเจ้าแก่แล้ว เจ้าจะเหยียดมือของเจ้าออก และคนอื่นจะคาดเอวเจ้า และพาเจ้าไปที่ที่เจ้าไม่ปรารถนาจะไป”19 (ที่พระองค์ตรัสอย่างนั้น เพื่อแสดงว่าเปโตรจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการตายอย่างไร) ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงสั่งเปโตรว่า “จงตามเรามาเถิด”
คำว่า จงตามเรามาเถิด นั่นคือ การเรียนรู้ความรักอย่างอากาเป้ จากพระเยซู ความรักนั้นจะซึมซับในชีวิตของผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิดนั่นเอง เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ลักษณะชีวิตของผู้เลี้ยงที่มีความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขได้ปรากฏในหนังสือยอห์น
ยอห์น 10:7,11,14,16 7 พระเยซูจึงตรัสกับเขาอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราเป็นประตูของแกะทั้งหลาย…11 เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ…14 เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา…16 แกะอื่นซึ่งมิได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะเหล่านั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะเหล่านั้นจะฟังเสียงของเรา แล้วจะรวมเป็นฝูงเดียว และมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว.
ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขทำให้เกิดการเสียสละทำให้เกิดความผูกพัน (รุ้จักกันและกัน) ทำให้ไม่เจาะจงแต่แกะของตนเอง ความรักเช่นนี้ส่งเสียงให้แกะจำเสียง และเป็นฝูงเดียว มีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว นี่คือคริสตจักรท้องถิ่น และคริสตจักรสากล นี่คือภาพของความไพบูลย์ (Perfect) ของพระคริสต์ที่คริสเตียน คริสตจักร ทุกคน จะก้าวเดินไป อย่างเป็นฝูง มิใช่โดดเดี่ยว อย่างมีผู้เลี้ยง
คริสตจักรจะต้องสร้าง ผู้เลี้ยงที่มีแกะ และแกะที่มีผู้เลี้ยง จากกลุ่มคนที่เป็นเหมือนฝูงแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง เพื่อนำคนมากมายสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์อย่างแกะที่มีผู้เลี้ยง
มัทธิว 9:35-38 35 พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ประกาศข่าวประเสริฐ แห่งแผ่นดินของพระเจ้า ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย36 และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง37 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่38 เหตุนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์”
พระคัมภีร์ตอนนี้ ได้ให้มุมมองความจริงแก่เราสามประการ ได้แก่
1.คนมากมายถูกรังควานและไร้ที่พึ่ง มัทธิว 9:35-36
35 พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ประกาศข่าวประเสริฐ แห่งแผ่นดินของพระเจ้า ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย36 และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง
นอกจากพระเยซูจะสั่งสอน และประกาศข่าวประเสริฐแล้ว พระเยซูยังทำงานสงเคราะห์ ด้านการรักษาโรค เยียวยาคนป่วยไข้ทุกอย่างให้หายดี มีคนมากมายมาหาพระเยซู หากมองที่เหตุผลและแรงจูงใจ ของประชาชนจำนวนมากที่มาหาพระเยซู อาจจำแนกได้สองประการ นั่นคือ คนยากจนที่ไม่มีเงินไปหาหมอที่ต้องเสียสตังค์ อีกจำพวกหนึ่ง คือหมอรักษาไม่หาย แต่พระเยซูรักษาหาย
มีโรคมากมายหลายชนิดที่ไม่ใช่โรคที่รักษาไม่หาย แต่หมอรักษาไม่หาย มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า หมอเป็นเพียงผู้ที่จะต้องฟังอาการป่วยของคนไข้ แต่หากคนไข้ไม่สามารถสื่อสารอาการป่วยที่ถูกต้องกับหมอได้ หมอก็ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง การรักษาก็ไม่มีประสิทธิภาพ และก็ไม่หาย ข้าพเจ้ามักจะอธิษฐานเผื่อคนป่วย เพื่อให้หมอสามารถวินิจฉัยโรคของเขาได้อย่างถูกต้อง และนั่นจะนำไปสู่การรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ การอธิษฐานเผื่อคนป่วย ก็ต้องการการอธิษฐานอย่างเฉพาะเจาะจง แต่ถ้าไม่ได้รับการสำแดงที่ชัดเจน ก็อธิษฐานไม่ถูกเช่นกัน ทำให้ไม่หาย
คำว่า รังควาน และไร้ที่พึ่ง ไม่เพียงรวมถึงการเจ็บป่วยทางฝ่ายร่างกาย เท่านั้น พระเยซูไม่ได้ทำการเยียวยารักษาแค่ความเจ็บป่วย แต่บางครั้งความเจ็บป่วยเกิดจากผีร้าย เราจึงพบว่า พระคัมภีร์บันทึกว่า พระเยซูทรงขับผีด้วย
คำว่า รังควาน แปลว่า รบกวน ทำให้เดือดร้อน สำหรับคนไทย ยังหมายถึงผีร้ายที่อยู่ในคนด้วย คนไทยมากมาย ถูกผีร้ายรังควาน รบกวน ทำให้เดือดร้อน ความไร้ที่พึ่ง ทำให้ต้องวิ่งหาที่พึ่งพา
พระเยซูทรงยกตัวอย่างเรื่องบ้านที่ทำความสะอาดจะต้องมีเจ้าของ คือมีที่พึ่ง (ผู้เลี้ยงที่ดี)
มัทธิว 12:43-45 43 “เมื่อผีโสโครกออกมาจากผู้ใดแล้ว มันก็ท่องเที่ยวไปในที่กันดารน้ำเพื่อแสวงหาที่หยุดพัก แต่เมื่อไม่พบ44 มันจึงกล่าวว่า ‘ข้าจะกลับไปยังเรือนของข้า ที่ข้าได้ออกมานั้น’ และเมื่อมาถึงก็เห็นเรือนนั้นว่าง กวาดและตกแต่งไว้แล้ว45 มันจึงไปรับเอาผีอื่นอีกเจ็ดผีร้ายกว่ามันเอง แล้วก็เข้าไปอาศัยที่นั่น และในที่สุดคนนั้นก็ตกที่นั่งร้ายกว่าตอนแรก คนชาติชั่วนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น”
จงเป็นบ้านที่มีเจ้าของ หรือมีผู้เลี้ยง Shepherd มีผู้ปกป้อง ที่ทำหน้าที่ผู้เลี้ยง ผู้ชี้นำ ในการดำเนินชีวิต มีคริสเตียนไม่น้อยที่เมื่อมาเชื่อพระเยซูแล้ว ดำเนินชีวิตอย่างแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง หากินเอง เหมือนกับนิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับลูกแกะ ที่คิดว่าสามารถจะต่อกร ให้เหตุผลกับหมาป่าได้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่า หมาป่ามันจ้องจะกิน เหตุผลของหมาป่าคือกินลูกแกะอย่างเดียว ลูกแกะในนิทานอีสปโง่ พระเยซูสอนสาวกว่าสาวกของพระองค์จะถูกส่งออกไปในท่ามกลางหมาป่า แต่สาวกของพระเยซูต้องไม่โง่อย่างลูกแกะในนิทานอีสป
ลูกา 10:1-3 1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านั้น พระเยซูทรงตั้งสาวกอื่นอีกเจ็ดสิบคนไว้ และใช้เขาออกไปทีละสองคนๆ ให้ล่วงหน้าพระองค์ไปก่อน ให้เข้าไปทุกเมืองและทุกตำบลที่พระองค์จะเสด็จไปนั้น2 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากแต่คนงานยังน้อยอยู่ เหตุฉะนั้น พวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์ 3 ไปเถอะ ดูเถิด เราใช้ท่านทั้งหลายไปดุจลูกแกะอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า
จะเห็นว่า สาวกของพระเยซูจะไม่ไปคนเดียว แต่ไปมากกว่าหนึ่งคน ไปเป็นคู่ เรียกว่าเป็นทีม พระเยซูได้ตรัสประโยคเดียวกันกับที่พระองค์ทรงมองเห็นประชาชนแล้วสงสาร เป็นเหมือนฝูงแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง และถูกรังควาน 2 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากแต่คนงานยังน้อยอยู่ เหตุฉะนั้น พวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์ ก่อนที่จะต่อด้วยประโยคที่ว่า 3 ไปเถอะ ดูเถิด เราใช้ท่านทั้งหลายไปดุจลูกแกะอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า แสดงให้เห็นว่า ความน่าสงสารของคน นอกจากจะไร้ที่พึ่งแล้ว การถูกรังควาน นั้นมาจากสิ่งที่เรียกว่า หมาป่า คือเป้าหมายเพื่อกัดกิน และทำลาย คำว่า หมาป่า ในพระคัมภีร์ถูกใช้เพื่อเรียก มารซาตาน ครูสอนเท็จ ผู้เผยพระวจนะเท็จ ผู้ปกครองที่ข่มเหงประชาชน และในเวลาต่อมาใช้เรียก ผู้ที่ข่มเหงคริสเตียน (แต่คริสเตียนมีผู้เลี้ยงที่ดี มีผู้ชี้นำ เราเป็นแกะที่มีผู้เลี้ยงใช่ไม๊)
2. ไม่มีคำว่าตกงาน (Jobless) มัทธิว 9:37
37 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่
ความจริงอีกอันก็คือ มีคนถูกรังควานและไร้ที่พึ่งมากมาย ในที่นี้ พระเยซูทรงเปรียบเทียบจำนวนคนมากมายอย่างเมล็ดข้าวในทุ่งนา มีมากมายจนไม่ต้องนับ นับแล้วเหนื่อย มันเยอะมาก มากชนิดที่จะมีตกหล่น จากการนับสำรวจ เพราะเมล็ดข้าวเล็กมาก และในทุ่งนาที่อะไรเยอะแยะที่จะบังให้มองไม่เห็นเมล็ด พระเยซูทรงยกตัวอย่างการหาคนหลงหาย ด้วยเรื่องของเหรียญที่หายไปต้องจุดไฟส่องหา เพราะความมืดอาจทำให้หาไม่เจอ เรื่องแกะเก้าสิบเก้าตัว ต้องออกไปตามหา แกะหลงหายกลับเองไม่ได้ และมีอันตราย เป็นสถานการณ์ที่ต้องเร่งรีบหาให้เจอ การหลงหายไปในป่า คือที่ที่หาไม่งาย เพราะฉะนั้น การหา จะต้องใช้คำว่า พยายามและคำว่า ควานหา ความต้องการความช่วยเหลือมีมาก ดังนั้น ไม่มีคำว่า ตกงาน งานการช่วยเหลือมีเยอะมาก ไม่มีคำว่า ว่างงาน หรือคำว่า ไม่มีอะไรทำ เรามักจะใช้คำว่า ไม่มีอะไรทำ หรือไม่รู้จะทำอะไรดี ขอบอกว่า ถ้าเราเป็นคริสเตียนที่กำลังเดินในเส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์…อย่างแกะที่มีผู้เลี้ยง คุณจะได้ยินเสียงงของพระเยซูตรัสว่า เจ้ารักเราหรือ (อากาเปโอ) แล้วพระองค์จะสั่งเราว่า “จงเลี้ยงแกะของเราเถิด” ไม่มีคำว่า ตกงานสำหรับคริสเตียนที่มีความรักอย่างอากาเปโอ คริสเตียนที่รักอย่างอากาเปโอ เป็นคริสเตียนที่มีผู้เลี้ยง มีผู้ชี้นำ
ยอห์น 10:7-10 7 พระเยซูจึงตรัสกับเขาอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราเป็นประตูของแกะทั้งหลาย8 บรรดาผู้ที่มาก่อนเรานั้นเป็นขโมยและโจร แต่ฝูงแกะก็มิได้ฟังเขา9 เราเป็นประตู ถ้าผู้ใดเข้าไปทางเราผู้นั้นก็จะรอด เขาจะเข้าออกแล้วก็จะพบอาหาร10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์
ในพระคัมภีร์ตอนนี้ เราจะพบคำว่า อาหาร และชีวิตที่ครบบริบูรณ์ (Perfect) คนที่ตกงาน ขาดทั้งอาหาร และขาดสิ่งที่ทำให้ชีวิตครบบริบูรณ์ แต่คนงานของพระเยซู ที่ทำบทบาทเดียวกันกับพระเยซู เขาจะไม่ขาดอาหารและชีวิตที่ครบบริบูรณ์เลย ฟังดีๆ ทำบทบาทอย่างเดียวกันกับพระเยซู พระเยซูทรงเป็นประตู ที่แกะเดินเข้าไปและรับการปกป้อง การชี้นำที่ทำให้ปลอดภัย พระเยซูใช้คำว่า ลูกจ้าง กับคนที่ไม่ได้ทำบทบาทผู้เลี้ยง ลูกจ้างสนใจแต่ค่าจ้าง แต่ไม่ได้สนใจว่าแกะจะปลอดภัยหรือไม่ ลูกจ้างสนใจชีวิตของตนเอง และลูกจ้างมีวันตกงาน ด้วยการไม่ทำหน้าที่ แต่ผู้เลี้ยงไม่มีวันตกงาน เพราะผู้เลี้ยงคือคนที่ทำหน้าที่เหมือนเจ้าของ และจะได้ส่วนแบ่งเหมือนเจ้าของ พระคัมภีร์กล่าว่า คนที่ทำหน้าที่อย่างผู้เลี้ยง วันหนึ่ง เขาจะได้รับเชิญให้ไปนั่งที่เดียวกันกับพระเยซู
วิวรณ์ 3:20-22 20 นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา21 ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะให้ผู้นั้นนั่งกับเราบนพระที่นั่งของเรา เหมือนกับที่เรามีชัยชนะแล้ว และได้นั่งกับพระบิดาของเราบนพระที่นั่งของพระองค์22 ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความซึ่งพระวิญญาณได้ตรัสไว้แก่คริสตจักรทั้งหลายเถิด’ ”
พระเยซูทรงตรัสถึงอาหารของพระองค์ คือการทำตามน้ำพระทัยของพระบิดา คนที่ร่วมรับประทานอาหารกับพระเยซู และเปิดประตูให้พระเยซูเข้ามาร่วมในการับประทานกับเขา คือการทำบทบาทหน้าที่เดียวกันกับพระเยซู เป็นผู้เลี้ยงที่ดี สำหรับแกะของพระองค์ ให้เราถามตัวเราเองว่า เรากำลังตกงานอยู่จริงหรือ??? มีงานรอคอยให้เราทำอยู่มากมาย ไม่มีคำว่า ตกงาน สำหรับผู้เลี้ยงที่ดี
3.เสียงเรียกให้ถวายตัว มัทธิว 9:38
38 เหตุนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์”
พระเยซูสั่งสาวกให้อธิษฐานอ้อนวอนพระเจ้า เจ้าของนา ให้ส่งคนงาน ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงที่ข้าพเจ้าชื่นชอบเพลงหนึ่ง คือเพลง ทุกครั้งที่ฉันเฝ้าภาวนา ได้ยินเสียงเรียกมาจากเบื้องบน เป็นเหมือนเสียงกระซิบ เร้าใจ บอกฉันให้ฉันถวายตัว ใช่เลย ถ้าคุณอธิษฐานขอคนงาน พระเจ้าจะเรียกคนแรก คือตัวเราเอง เราจะทนไม่ได้ ที่เห็นคนกำลังถูกรังควาน คนไร้ที่พึ่ง นี่คือหัวใจของผู้เลี้ยงที่ดี อย่างพระเยซูคริสต์
มีคริสเตียนมากมายที่อธิษฐานแล้วไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า เราอยากได้ยินเสียงของพระเจ้า แต่เรามักจะจำกัดการได้ยินเสียงของพระเจ้าเพียงเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของเรา ภาษาอังกฤษมีคำหนึ่งคือคำว่า Extreme แปลว่า สุดโต่ง หรือไม่มีความสมดุล ข้าพเจ้าอยากจะเอามาใช้กับชีวิตแห่งการอธิษฐานของเราว่า การขอเพื่อตอบสนองแค่ตัวเราเอง มันไม่ตกขอบเกินไปหรือ เราต้องการความสัมพันธ์เพียงแค่พระเจ้าตอบสนองเราฝ่ายเดียวหรือ ข้าพเจ้าคิดว่า ความสัมพันธ์ที่ดี ต้องสองด้าน คือ การตอบสนองต่อความต้องการของพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องการอะไรจากเรา นอกจาก ให้เรารักคนเหมือนที่พระเจ้ารัก ดังนั้น การอธิษฐานที่ถูกพระทัยพระเจ้าที่สมดุล ก็คือการอธิษฐานเหมือนอย่างหัวใจของพระเยซู คือสงสารประชาชนที่ถูกรังควาน และเป็นเหมือนแกะที่ไร้ที่พึ่ง แล้วเราจะได้ยินเสียงของพระเจ้าอย่างสมดุล คือพระองค์จะเรียกเราให้ทำงาน และตอบสนองต่อความต้องการของเรา
มัทธิว 6:33 33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้
พระคัมภีร์ตอนนี้เป็นจริงแน่นอน สำหรับคนที่ความสัมพันธ์ที่สมดุลกับพระเจ้า
“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…อย่างแกะที่มีผู้เลี้ยง”
1.คนมากมายถูกรังควานและไร้ที่พึ่ง
2. ไม่มีคำว่าตกงาน (Jobless)
3.เสียงเรียกให้ถวายตัว