“ชีวิตคริสเตียนไม่อนิจจัง”

วันนี้มีเพลงหนึ่งที่ทีมนมัสการร้องว่า “วันเวลาที่เปลี่ยนไป พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง”  การไม่แปรเปลี่ยนนั้นเป็นพระลักษณะของพระเจ้า และเป็นพระคุณต่อชีวิตของเรา ท่ามกลางความไม่เที่ยงแท้ ความไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอของโลกนี้  สิ่งใดใดในโลกล้วน  อนิจจัง  นี่เป็นสำนวนในเรื่องลิลิตพระลอ เราหลายคนเคยได้ยินสำนวนนี้  เมื่อเราพูดคำว่า “อนิจจัง” มันเป็นอารมณ์แบบ ปลงแล้วกับชีวิต หมดหวัง  แลดูหดหู่มีความเศร้าปะปน และผู้ที่มักจะพูดคำว่า อนิจจัง น่าจะเป็นผู้สูงวัย ผู้สูงอายุมากกว่าวัยรุ่น เพราะว่าผ่านชีวิต ผ่านเรื่องราว รู้เห็น ประสบอะไรมามากมาย ปลงแล้ว แต่ชีวิตคริสเตียน ที่มีพระเจ้าองค์เที่ยงแท้แน่นอน พระเจ้าผู้ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ควรต้องมีชีวิตอยู่ในสภาพที่ปลงอนิจจังแต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีบุคคลในพระคัมภีร์ ที่รู้สึกอนิจจังกับชีวิต จากชีวิตในช่วงแรกที่รุ่งโรจน์สุดขีด จนถึงชีวิตในบั้นปลายที่รู้สึกตกต่ำดำดิ่ง วันนี้เราจะมาเรียนรู้บทเรียนจากคนแก่ จากผู้สูงวัยอย่างกษัตริย์ซาโลมอน ว่าเหตุใดจึงมีสภาพในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่ถึงกับปลงอนิจจัง เพื่อที่เราจะไม่ต้องมีชีวิตที่อยู่ในสภาพนั้นเพราะชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตที่ไม่อนิจจัง     เราจะดูด้วยกันในพระธรรมปัญญาจารย์ 1:1-18 1ถ้อยคำของปัญญาจารย์   ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด  กษัตริย์ในเยรูซาเล็ม  2ปัญญาจารย์กล่าวว่า    อนิจจัง  อนิจจัง    อนิจจัง  อนิจจัง  สารพัดอนิจจัง 3ที่มนุษย์ทำงานตรากตรำกลางแดด    เขาได้ประโยชน์อะไรจากงานที่เขาทำนั้น 4ชาติพันธุ์หนึ่งล่วงไป  และอีก  ชาติพันธุ์หนึ่งก็มา    แต่แผ่นดินโลกคงเดิมอยู่เป็นนิตย์ 5ดวงอาทิตย์ขึ้น  และดวงอาทิตย์ตก    แล้วรีบไปถึงที่ซึ่งขึ้นมานั้น 6ลมพัดไปทางใต้   แล้วเวียนกลับไปทางเหนือ    ลมพัดเวียนไปเวียนมา    แล้วลมพัดกลับตามทางเวียนของมัน    7แม่น้ำทั้งหลายไหลไปสู่ทะเล    แต่ทะเลก็ไม่เต็ม    แม่น้ำไหลไปสู่ที่ใด    ก็ไหลไปสู่ที่นั่นอีก    8สารพัดเหนื่อยกันหมด    คนใดๆก็พูดไม่ออก     นัยน์ตาก็ดูไม่อิ่ม    หรือหูก็ฟังไม่เต็ม    9สิ่งที่เป็นขึ้นแล้ว   คือสิ่งที่จะเป็นขึ้นอีก    สิ่งที่ทำกันแล้ว   คือสิ่งที่จะต้องทำกันอีก  และไม่มีสิ่งใดใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์    10มีสักสิ่งหนึ่งหรือที่เขาจะพูดได้ว่า  “ดูซี  สิ่งนี้ใหม่”    สิ่งนั้นมีอยู่แล้ว    ในสมัยก่อนเราทั้งหลาย    11ไม่มีการจดจำถึงสมัยก่อน     และไม่มีการจดจำ    สิ่งหลังๆที่จะเกิดมา    ในท่ามกลางบรรดาผู้ที่มาภายหลัง 12ข้าพเจ้า   ปัญญาจารย์   เคยเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลในกรุงเยรูซาเล็ม 13และข้าพเจ้าตั้งใจเสาะและแสวงหาโดยสติปัญญา   สิ่งที่กระทำกันภายใต้ฟ้าสวรรค์   เป็นเรื่องยากลำบากซึ่งพระเจ้าประทานให้มนุษย์ทำกันอยู่นั้น 14ข้าพเจ้าเคยเห็นการทั้งปวงซึ่งเขากระทำกัน ภาย ใต้ดวงอาทิตย์   และดูเถิด  สารพัดก็อนิจจัง   คือกินลมกินแล้ง 15อะไรที่คดจะทำให้ตรงไม่ได้    และอะไรที่ขาดอยู่จะนับให้ครบไม่ได้  16ข้าพเจ้ารำพึงว่า   “ข้าพเจ้ามีสติปัญญามากยิ่ง   มากกว่าใครๆที่ครองอยู่เหนือกรุงเยรูซาเล็มมาก่อนข้าพเจ้า   ใจข้าพเจ้าก็เจนจัดในสติปัญญาและความรู้ อย่างยิ่ง” 17ข้าพเจ้าก็ตั้งใจรู้สติปัญญา  รู้ความบ้าบอ และความเขลา ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าเรื่องนี้ก็เป็นแต่กินลมกินแล้งด้วย    18เพราะในสติปัญญามากๆก็มีความทุกข์ระทมมาก  และบุคคลที่เพิ่มความรู้ก็เพิ่มความเศร้าโศก  นี่คือถ้อยคำของกษัตริย์ซาโลมอนในวัยชรา กษัตริย์ที่เคยยิ่งใหญ่ เกรียงไกร มีอำนาจ มีบารมี มีความมั่งคั่ง มีทุกสิ่งพร้อมสรรพ มีสติปัญญาที่ไม่มีผู้ใดเทียบ แต่ถ้อยคำแรกที่บันทึกในพระธรรมปัญญาจารย์ขึ้นต้นว่า อนิจจัง ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า meaningless หมายถึงว่า ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีความหมาย และบทเรียนแรกที่เราจะเรียนรู้ด้วยกันเพื่อชีวิตคริสเตียนของเราจะเป็นชีวิตที่ไม่อนิจจัง

1.ชีวิตที่ปราศจากจุดประสงค์

มีเด็กชายคนหนึ่งถามแม่ว่า “แม่ครับผมมาจากไหน” แม่ฟังแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ตั้งสติตอบคำถามลูกชาย อธิบายอย่างเป็นขั้นตอนตามหลักทางวิทยาศาสตร์ ทางการแพทย์ ตั้งแต่เริ่มปฎิสนธิ พัฒนาการที่อยู่ในท้องแม่  ขณะที่แม่กำลังพูดอธิบายนู่น นี่ นั่น  ลูกชายก็พูดขัดจังหวะขึ้นมาว่า “แม่ครับผมมาจากไหนครับ เพราะว่าเพื่อนผมบอกว่า เค้ามาจากศรีสะเกษ “ผมมาจากไหน”  มันเป็นคำถามที่สามารถตอบได้หลายอย่างมาก แม่ต้องเข้าใจว่าคำถามของลูกคืออะไร  และเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องเข้าใจต่อคำถามในชีวิตของเราด้วยว่า “จุดประสงค์ในชีวิตเราคืออะไร” เราเคยถามตัวเองมั้ย “เช้านี้เราตื่นขึ้นมาเพื่ออะไร ทำไมเราถึงยังมีชีวิตอยู่ หัวใจยังเต้น ปอดยังทำงาน แล้วเราอยู่ทำไม เพื่ออะไร จุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร  หรือถ้าเรายังไม่เคยถามตัวเอง ไม่เคยมีคำถามแบบนี้ เราจำเป็นต้องถาม ถามตัวเอง เพราะมันมีเหตุผลมีคำตอบว่าทำไมพระเจ้าจึงอนุญาตให้เราอยู่ มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร   มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราที่จะรู้คำตอบว่าเราอยู่เพื่ออะไร เพราะถ้าเราไม่รู้ ชีวิตมันจะส่งผลออกมาเป็นลบทั้งหมด และผลที่เป็นลบมันไม่ใช่การเกิดผลที่พระเจ้าปรารถนาให้เกิดในชีวิตเรา    ในปัญญาจารย์ กษัตริย์ซาโลมอนได้พูดถึงผลชีวิตตัวเองที่เป็นลบ ที่เป็นผลลบเพราะการดำเนินชีวิตที่ไม่มีจุดประสงค์ และจุดประสงค์สูงสุดที่ซาโลมอนจำเป็นต้องมีคือพระเจ้า  กษัตริย์ซาโลมอนมีทุกอย่าง เป็นผู้มั่งคั่งอย่างที่สุด เป็นคนที่มั่งมีอย่างล้นฟ้าล้นแผ่นดิน มีทุกสิ่งมากมาย มีทรัพย์สมบัติมากมาย มีภรรยามากมาย มีสติปัญญาล้นเหลืออย่างที่ไม่มีใครเทียบ พระเจ้าได้ประทานสติปัญญาตามคำทูลขอ 1 พงศ์กษัติรย์  3:12-13 12ดูเถิด  เราจะกระทำตามคำของเจ้า  ดูเถิด   เราให้จิตใจอันประกอบด้วยปัญญาและความเข้าใจ   เพื่อว่าจะไม่มีใคร  ที่เป็นอยู่ก่อนเจ้าเหมือนเจ้า   และจะไม่มีใครที่ขึ้นมาภายหลังเจ้าเหมือนเจ้า 13เราจะให้สิ่งที่เจ้าไม่ได้ขอแก่เจ้าด้วย   ทั้งความมั่งคั่งและเกียรติยศ  เพื่อว่าตลอดวันเวลาทั้งสิ้นของเจ้า   จะไม่มีกษัตริย์องค์อื่นเปรียบเทียบกับเจ้าได้  ซาโลมอนมีทุกอย่าง  แต่ในบั้นปลายเขาได้พบว่าทุกสิ่งนั้นอนิจจัง แม้ความรู้สติปัญญาก็ไม่อาจสร้างสันติสุขให้ได้   เมื่อปราศจากพระเจ้า ชีวิตก็ไม่มีความหมายอะไร 1 โครินธ์ 1:20-24  20คนมีปัญญาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน   บัณฑิตแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน   นักโต้ปัญหาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน   พระเจ้าได้ทรงกระทำปัญญาของโลกให้โฉดเขลาไปแล้ว 21เพราะตามที่ทรงกำหนดไว้ตามพระสติปัญญาของพระเจ้า   โลกไม่รู้จักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน   พระเจ้าจึงทรงโปรดช่วยคนที่เชื่อให้รอดโดยคำเทศนาเรื่องโง่ๆ 22พวกยิวขอเห็นหมายสำคัญ   และพวกกรีกเสาะหาปัญญา 23แต่พวกเราประกาศเรื่องพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น   อันเป็นสิ่งที่ให้พวกยิวสะดุด   และให้พวกต่างชาติถือว่าเป็นเรื่องโง่ 24แต่สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น   ทั้งพวกยิวและพวกกรีก   ต่างถือว่า   พระคริสต์ทรงเป็นฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า  ในเวลาที่รุ่งโรจน์อย่างที่สุด ซาโลมอนคงคิดว่าตนเองมั่นคงแล้ว แท้จริงไม่มีอะไรที่ถาวรยั่งยืน รวมทั้งชีวิต มีใครบ้างที่จะอยู่อย่างค้ำฟ้าได้ ไม่มี สดุดี 90:10 10กำหนดปีของข้าพระองค์คือเจ็ดสิบ    หรือสุดแต่เรื่องกำลัง  ก็ถึงแปดสิบ  แต่ช่วงชีวิตนั้นมีแต่งานและความลำบาก    ไม่ช้าก็สูญไปและข้าพระองค์ก็จากไป  ถ้าเฉลี่ยคนเรามีอายุถึง 80 ตอนนี้ท่านอายุเท่าไหร่แล้ว และยังมีเวลา มีชีวิตเหลือเท่าไหร่  ลองคำนวณดู   แต่แท้จริงไม่มีใครรู้ว่าตัวเราจะมีอายุจนถึงเมื่อไหร่ ยากอบ 4:14   14แต่ว่าท่านไม่รู้เรื่องของพรุ่งนี้   ชีวิตของท่านเป็นเช่นใดเล่า   ท่านก็เป็นเช่นหมอกที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป ความตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดและรู้วันเวลา สึนามิจะมาเมื่อไหร่ จะมีแผ่นดินไหวเมื่อไหร่ โรคระบาดร้ายแรงจะเกิดขึ้นตอนไหน ผู้ก่อการร้ายจะปฎิบัติการอะไร ชีวิตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรไม่มีใครคาดรู้ได้   ถ้าเปรียบคนยากจนคนหนึ่ง ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลย อยู่ในบ้านซอมซ่อ แต่มีพระเจ้า กับกษัตริย์ซาโลมอนผู้มั่งคั่งผู้มีทุกสิ่ง แท้จริงแล้วใครคือผู้ที่มีอย่างแท้จริง สิ่งสำคัญคือ ถ้าเราพบพระเยซุคริสต์ นั่นแหละคือชีวิตที่มีจุดประสงค์  ที่มั่งคั่ง ที่มีพร้อมทุกสิ่ง  ตรงข้ามเรามีทุกสิ่งแต่ไม่พบพระคริสต์ ชีวิตเราก็ไม่มีความหมายอะไร และจะไม่มีวันพบความพึงพอใจในชีวิต  เหตุใดคนที่มั่งมี มั่งคั่ง ร่ำรวยแต่ไม่เคยพอ ไม่เคยหยุดที่จะมีอีก เพิ่มอีก เอาอีก นั่นเพราะเขาไม่มีพระเยซู  จึงต้องแสวงหาแล้วแสวงหาอีก เพื่อเติมเต็มความรู้สึกที่ว่างเปล่า แต่ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไม่สามารถถมหัวใจมนุษย์ให้เต็มได้ นอกจากพระเยซูคริสต์  จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่รู้จุดประสงค์ในชีวิต

– สิ่งแรก คือ ชีวิตก็จะอยู่ในสภาพว่างเปล่า  คำว่า อนิจจัง อนิจจัง สารพัดอนิจจัง คือ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย สารพัดไม่มีอะไรเลย สารพัดที่มีอยู่ไม่มีความหมายอะไรเลย สารพัดที่มีอยู่ไร้ค่าจริง ๆ  เราเคยรู้สึกเช่นนี้ในชีวิตหรือไม่ เราเคยรู้สึกชีวิตมันช่างว่างเปล่า  ไม่มีความชัดเจน ล่องลอย เลื่อนลอย ชีวิตอยู่แบบไปวัน ๆ นั่นเพราะการไม่มีจุดประสงค์ในชีวิต   เมื่อเราไม่รู้จุดประสงค์ในชีวิต ชีวิตก็จะเข้าสู่วงจรที่ไร้ความหมาย และเป็นวงจรที่ไม่สามารถไปได้ถึงไหน ชีวิตเราก็จะวนอยู่ ย่ำอยู่อย่างนั้น มันไม่ก้าวไปข้างหน้า สุดท้ายคือความเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า

– สิ่งต่อมาที่จะเกิดขึ้น เมื่อเราไม่รู้จุดประสงค์ของชีวิต คือ  เราจะไม่พบความพึงพอใจของชีวิต แม้จะมีสิ่งต่าง ๆ แต่กลับรู้สึกชีวิตไม่ได้รับการเติมเต็ม กลับรู้สึกว่างเปล่า และมากไปกว่านั้น เราจะต้องการมากขึ้น ๆ ไม่รู้จักพอเพราะความพึงพอใจ ความมั่งคั่ง การงาน นำสู่การไม่มีอะไรเลย  ซาโลมอนมีภรรยา 700 คน นางสนม 300 คน มีพระราชวังหรูหราสวยงาม มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในโลก แต่ซาโลมอนก็ยังบอก อนิจจัง สิ่งที่มีนั้นไม่ถาวรยั่งยืน  ไม่น่าพึงพอใจ  เมื่อมาถึงจุดสุดท้ายของชีวิต สิ่งที่เราคิดว่าสำคัญในเวลาหนึ่งก็จะกลายเป็นสิ่งว่างเปล่า เพราะมันไม่สามารถทำให้ชีวิตเรารู้สึกพอ หรือพอใจได้เลย    1 ยอห์น 2:16 -17 16เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก   คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา   และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา   แต่เกิดมาจากโลก 17และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป   แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์  ชีวิตเราวิ่งไล่ตามตัณหาของเนื้อหนัง ตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศมามากแค่ไหนแล้ว ถ้าเรากำลังวิ่งไล่ตามอยู่ เราต้องรู้ด้วยว่าวันหนึ่งมันจะดับสูญไป กลายเป็นความว่างเปล่า ไม่ถาวรจีรัง   การมีทรัพย์สมบัติไม่ใช่ความบาป การทำการงาน การแสวงหาสติปัญญาเรียนรู้ไม่ใช่ความบาปในตัวของมันเอง แต่หัวใจสำคัญคือเรามีพระเจ้านำหน้าสิ่งเหล่านี้หรือไม่ เรามีพระเจ้าเป็นอันดับหนึ่ง เราให้พระเจ้ามาก่อนสื่งอื่นใดหรือไม่  เรารู้จุดประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตเราหรือไม่ นั่นคือประเด็น  เราต้องหยุดพึ่งพาสิ่งอนิจจังทั้งหลายแหล่เหล่านั้นและเรียนรู้ที่จะวางใจพระเจ้า พึ่งพาพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

2.เราจะพบจุดประสงค์ของชีวิตได้อย่างไร

ถ้าเรารู้สึกว่าชีวิตมันอนิจจัง ว่างเปล่า ไม่มีความหมาย ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ให้เรารู้และมีความหวังใจว่า พระเจ้าได้ประทานจุดประสงค์ให้กับชีวิตเราแล้ว  เอเฟซัส 1:4-6  4ในพระเยซูคริสต์นั้น   พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก   เพื่อเราจะบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์ 5พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ด้วยความรักก่อนตามที่ชอบพระทัยพระองค์   ให้เป็นบุตรโดยพระเยซูคริสต์ 6เพื่อจะให้เป็นที่สรรเสริญพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์   ซึ่งทรงโปรดประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์   ผู้ทรงเป็นที่รักของพระองค์  พระธรรมตอนนี้บอกเราว่า เมื่อนานมาแล้ว ก่อนที่พระเจ้าจะสร้างโลกนี้ มนุษย์นั้นอยู่ในพระทัยของพระเจ้าแล้ว เราอยู่ในหัวใจของพระองค์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร พระเจ้าผู้ซึ่งเป็นความรัก สร้างเรา รับเราเป็นบุตรผ่านองค์พระเยซูคริสต์ และประทานจุดประสงค์ ประทานความหมายของการมีชีวิตอยู่เพื่อเรา  พ่อแม่เมื่อรู้ว่าจะมีลูก พ่อแม่ก็มีแผนการ อยากให้ลูกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และส่วนใหญ่ก็เป็นแผนการที่ดี  ส่วนใหญ่โดยรวม ๆ ก็คือ เรียนหนังสือให้เก่ง มีงานทำที่ดี เพื่อลูกจะมีอนาคตวันข้างหน้าที่ดี และถ้าลูกสามารถเป็นได้ดังที่พ่อแม่คาดหวัง พ่อแม่ก็จะหมดห่วงสบายใจ พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ก็ยังมีจุดประสงค์ที่ดีต่อชีวิตลูก แน่นอนว่าพระบิดาก็ทรงมีจุดประสงค์ที่ดี ยิ่งใหญ่ มีอนาคตให้กับลูกของพระองค์ พระเจ้ามีพระประสงค์อันดีในสิ่งที่พระเจ้าได้เลือกเรา และกำหนดแผนการที่ดีในชีวิตของเรา  เราทั้งหลายถูกเลือกและถูกกำหนดไว้แบบล่วงหน้าแล้ว การทรงเลือก และการทรงกำหนดล่วงหน้าเปรียบเสมือนเรือลำใหญ่ที่กำลังเดินทางไปสวรรค์ พระเจ้าทรงเลือกเรือที่เรียกว่า คริสตจักร ไว้เป็นพาหนะของพระองค์  โดยมีพระเยซูคริสต์ เป็นกัปตันเป็นคนนำร่องเรือคริสตจักรลำนี้ เมื่อเราเชื่อในพระคริสต์ เราก็เข้ามาอยู่ในเรือ  ตราบที่เรายังใช้ชีวิตอยู่ในเรือ อยู่กับกัปตันพระเยซูคริสต์ เราก็ยังคงมีสถานะว่าเป็นผู้ที่ได้รับการทรงเลือก   แต่ถ้าเราตัดสินใจทิ้งเรือ ทิ้งกัปตัน เราก็จะขาดจากการเป็นส่วนหนึ่งของการทรงเลือก แม้เราเป็นคริสเตียน แต่เราก็อาจใช้ชีวิตอยู่นอกเรือ  ใช้ชีวิตโดยไม่ได้ให้กัปตันพระเยซูเป็นผู้กำหนดทิศทางแต่เรากำหนดตัวเราเอง  การทรงเลือกจะสัมพันธ์กับการที่เราใช้ชีวิตผูกพันกับเรือคริสตจักร และกับกัปตันพระเยซูคริสต์เสมอ  ส่วนการทรงกำหนดล่วงหน้า จะบอกให้เรารู้ว่า จุดหมายปลายทางของเรือและสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับผู้ที่อยู่ในเรือนั้นคืออะไร พระเจ้าทรงเชิญชวนเราทุกคน ให้เข้าร่วมเดินทางไปกับเรือที่พระเจ้าทรงเลือกสรรโดยการเชื่อ และติดตามพระองค์  และถ้าวันนี้เรารู้สึกว่าชีวิตเราไม่มีความหมาย ชีวิตไม่รู้จะอยู่เพื่ออะไร อยู่ทำไม เราต้องถามตัวเองว่านั่นเพราะ เราทิ้งเรือคริสตจักร ทิ้งกัปตันพระเยซูไปแล้วหรือไม่ชีวิตเราจึงโคลงเคลง ง่อนแง่นอยู่   เอเฟซัส 1:9-12  9พระเจ้าได้ทรงโปรดให้เรารู้ความล้ำลึกในพระทัยของพระองค์   ตามพระเจตนารมณ์ของพระองค์   ซึ่งพระองค์ทรงดำริไว้ในพระคริสต์10ประสงค์ว่า   เมื่อเวลากำหนดครบบริบูรณ์แล้ว   พระองค์จะทรงรวบรวมทุกสิ่ง   ทั้งที่อยู่ในสวรรค์   และในแผ่นดินโลกไว้ในพระคริสต์    11ในพระองค์นั้น   ตามพระดำริของพระองค์ผู้ทรงกระทำทุกสิ่ง   ตามที่ได้ทรงตริตรองไว้สมกับพระทัยของพระองค์ 12เราทั้งหลายผู้ได้หวังใจในพระคริสต์ก่อน   ได้รับกำหนดและรับการแต่งตั้งให้เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่พระสิริของพระองค์  และจุดประสงค์สูงสุดที่พระเจ้าเลือกและกำหนดไว้คือการมีชีวิตร่วมกับพระเยซุคริสต์ชั่วนิจนิรันดร์ จะมีวันที่หมดเวลาของโลกนี้ และมีนวันเวลาที่พระเจ้าจะกลับมารับเรา ชีวิตที่เราอยู่ในโลกนี้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แล้วเราจะจดจ่ออะไรกับสิ่งที่คงอยู่ขั่วครู่ชั่วคราว  ฉะนั้นจุดประสงค์ของชีวิตเราคือ การเตรียมเราสำหรับชีวิตนิรันดร์ ชีวิตในโลกนี้เป็นเหมือนโรงเรียนที่เตรียมเรา  ถ้าเปรียบกับละครเวที ชีวิตในโลกนี้ก็เปรียบเหมือนวันซ้อมใหญ่ ภาษาละครเรียก Dress Rehearsal คือเป็นวันซ้อมเหมือนเล่นจริง ต้องแต่งตัวแต่งหน้า แต่ง effect  เป็นการซ้อมเตรียมพร้อม เพื่อเตรียมสู่วันจริง  ชีวิตเราในวันนี้ โลกนี้ คือการเตรียมให้พร้อม เพราะว่าเราจะต้องไปใช้ชีวิตนิรันดร์  เราจะมีชีวิตถึงเมื่อไหร่ 60 70 หรือ 80  ชีวิตเราที่อยู่ในโลกนี้ เป็นเหมือนจุดที่เล็กมาก ๆ เมื่อเทียบกับเวลานิรันดร์  ดังนั้น เหตุผลที่เรามีชีวิตอยู่ เหตุผลที่พระเจ้าให้เราอยู่คือเพื่อเตรียมเราให้พร้อมในวันนั้น

3.พระเจ้าต้องการให้เราทำอะไร 

ในวันเวลาที่เรามีอยู่ ซึ่งเราไม่รู้ว่าเรามีเวลาเหลืออยู่เท่าไหร่นั้น พระเจ้าต้องการให้เราทำอย่างน้อย 3 สิ่ง

– พระเจ้าต้องการให้เรารู้จักพระองค์ เพราะถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า เราเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา เราก็ต้องทำความรู้จักพระเจ้า  เวลาที่เราจะรู้จักใครซักคนเราทำอย่างไร เราก็จะใช้เวลากับคน ๆ นั้น พูดคุยกัน ใช้เวลาด้วยกัน มีกิจกรรมด้วยกัน และเรารู้จักพระเจ้าพระบิดาได้โดยทางที่เรารู้จักและติดตามพระเยซูพระบุตร

– สิ่งที่ 2  การเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์  เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่   เมื่อเราเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระบิดา พระเยซูเป็นบุตรหัวปี เป็นพี่ชายคนโตของเรา เราก็ต้องมีชีวิตที่เหมือนกับคนในครอบครัวของเรา ตอนที่อยู่ใจสมานซอย 6 เวลาที่มีค่ายผู้รับใช้จากหลายโบสถ์ในเครือมา จะมีลูกของผู้รับใช้มาด้วย เราจะรู้เลยว่าใครเป็นลูกใคร เพราะจะมีบุคลิกหน้าตาท่าทางที่เหมือนกับพ่อแม่เลย   ฉะนั้น เมื่อเราอยู่ในครอบครัวพระเจ้า เราจะต้องมีบุคลิกลักษณะที่เหมือนพระคริสต์ นี่คืองานหลักอย่างหนึ่งของพระเจ้าที่จะสร้างลักษณะของพระองค์ในเรา  โรม 8:28  28เรารู้ว่า   พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง   คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์  เป็นข้อพระคัมภีร์ที่เราคุ้นเคยมากในปีนี้ แต่เราต้องไม่ลืมอ่านข้อ 29 ด้วย 29เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว   ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉาย   แห่งพระบุตรของพระองค์   เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก.  เราจะต้องมั่นใจ เชื่อใจ ไว้วางใจว่าในทุก ๆ รายละเอียดทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น พระเจ้ากำลังทำให้เกิดสิ่งที่ดี  พระเจ้าทรงรู้ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงจบรู้ว่าจะทำให้เราเป็นรูปเป็นร่างอย่างพระคริสต์ได้อย่างไร ฉะนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา เรื่องดี เรื่องไม่ดี เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องดีใจ เรื่องเสียใจ การมี การสูญเสีย ก็เพื่อสร้างเรา   ชีวิตของพระคริสต์ก็ไม่ใช่เจอแต่เรื่องดี ๆ พระองค์โดนตบหน้า โดนถ่มน้ำลาย โดนเยาะเย้ย โดนตรึงบนไม้กางเขน ดังนั้นเมื่อพระเยซูเจอเรื่องไม่ดี  เราก็ต้องเจอเรื่องไม่ดีได้เหมือนกัน เพื่อเราจะเป็นเหมือนพระองค์

– อย่างที่ 3 ที่พระเจ้าต้องการให้เราทำในเวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่ พระเจ้าต้องการให้เรารับใช้พระองค์   โดยการแบ่งปันชีวิตที่มีจุดประสงค์ มีความแน่นอนมั่นคง เที่ยงแท้กับผู้อื่น  ทำไมพระเจ้าจึงให้เรามีชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คน ก็เพราะเหตุผลนี้ มีผู้คนมากมายที่มีชีวิตอยู่บนความอนิจจัง ความไม่แน่นอน ความไม่เที่ยงแท้ แต่เรามีพระเจ้าผู้เป็นความแน่นอนความเที่ยงแท้ เราต้องบอกผู้อื่น เพื่อเขาจะหลุดพ้นจากวังวนของอนิจจัง  2 โครินธ์ 5:18-19 18ทั้งสิ้นนี้เกิดมาจากพระเจ้า   ผู้ทรงให้เราคืนดีกันกับพระองค์ทางพระเยซูคริสต์   และทรงโปรดประทานให้เรามีพันธกิจเรื่องการคืนดีกัน 19คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์   มิได้ทรงถือโทษในการผิดของเขา   และทรงมอบเรื่องการคืนดีกันนั้นให้เราประกาศ   เรามีเวลาเหลืออยู่เท่าไหร่ไม่รู้ แต่เราต้องรู้คุณค่าของเวลา

ถ้าท่านอยากรู้ว่า เวลา 10 ปี มีค่ามากแค่ไหน ให้ถามคู่แต่งงานที่เพิ่งหย่าร้างกัน

ถ้าท่านอยากรู้ว่า เวลา   4 ปี           “                ให้ถามบัณฑิตที่เพิ่งรับปริญญา

“                           1 ปี               “                ให้ถามนักเรียนที่สอบไล่ตก

“                          9 เดือน         “                 ให้ถามแม่ที่เพิ่งคลอดลูก

“                          1 เดือน          “             ให้ถามแม่ที่คลอดบุตรที่ไม่ครบกำหนด

“                         1 อาทิตย์         “             ให้ถามบรรณาธิการหนังสือรายสัปดาห์

“                        1 ชั่วโมง           “              ให้ถามคนรักที่รอพบกัน

“                         1 นาที            “              ให้ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทางหรือเครื่องบิน

“                   เสี้ยวหนึ่งของวินาที        ให้ถามนักกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ที่ชนะเหรียญเงิน

เวลาไม่เคยรอใคร เมื่อมันผ่านไปแล้ว มันจะไม่กลับมาอีก จงใช้เวลาที่มีอยู่ของเราทุกขณะอย่างดีที่สุด   ซาโลมอนเขียน พระธรรมบทเพลงซาโลมอน บทเพลงรักเมื่อวัยหนุ่ม เขียนพระธรรมสุภาษิตวัยกลางคน และเขียนพระธรรมปัญญาจารย์ในบั้นปลายของชีวิต  ซาโลมอนบอกเราแล้วถึงความว่างเปล่าความอนิจจังในการเสาะหาความสุขในชีวิตที่ปราศจากพระเจ้า และพระวจนะของพระองค์  ปัญญาจารย์เป็นพระธรรมที่เป็นพยานของชีวิตของคนแก่คนหนึ่ง และต้องการจะบอกเรื่องราวนี้กับคนหนุ่มคนสาว กับเยาวชน อนุชน วัยรุ่น เพื่อจะไม่ผิดพลาดเหมือนซาโลมอนที่ใช้ชีวิตอย่างสิ้นเปลือง ไม่มีพระเจ้า เวลาไม่เคยรอใคร อย่ารอจนเรามีอายุมากขึ้น ไว้แก่กว่านี้ค่อยเอาพระเจ้า ตอนนี้ขอสนุกก่อน เวลาไม่เคยรอใคร อย่าเป็นเหมือนซาโลมอนที่มองย้อนกลับไปในชีวิตแล้วก็พบแต่ความว่างเปล่า พบแต่สิ่งที่ไร้ค่า ไร้ประโยชน์ น่าอับอาย    ให้พระเจ้าเข้ามาในชีวิต เชื่อฟังพระองค์ ให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง เป็นทุกสิ่ง แล้วชีวิตจะไม่ใช่ชีวิตอนิจจัง  สุดท้ายเราจะอ่านด้วยกัน ปัญญาจารย์ 12:12-14 13จบเรื่องแล้ว  ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว   จงยำเกรงพระเจ้า  และรักษาพระบัญญัติของพระองค์   เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง 14ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงาน ทุกประการเข้าสู่การพิพากษาพร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง   ไม่ว่าดีหรือชั่ว การสูญเปล่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการที่เราใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่าไร้ประโยชน์  พระเจ้าต้องการให้เรามีชีวิตนิรันดร์กับพระองค์ และพระองค์ต้องการให้เราพบความหมายที่แท้จริง จุดประสงค์ที่แท้จริงของชีวิต ต้องการให้เราใช้วันเวลาที่มีอยู่เพื่อเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า

By admin