รู้จักพระเยซูคริสต์?
คำพูดที่อ.เปาโลพูดซึ่งมีความแตกต่างจากเราในยุคนี้ แม้ว่าพระเยซูของอ.เปาโลกับพระเยซูของเราเป็นองค์เดียวกัน ถึงเวลาจะผ่านไป 2000 ปีแล้ว แต่เราก็ยังอยู่ในยุคเดียวกับอ.เปาโล ใน 2 ทิโมธี 1:12 12เพราะเหตุนั้นเองข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงสามารถรักษาซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์ จนถึงวันพิพากษาได้ นี่คือชีวิตที่อ.เปาโลพูดถึงตัวเอง พระคัมภีร์ 2 ทิโมธี เป็นพระคัมภีร์เล่มสุดท้ายที่ท่านเขียน ดังนั้นประโยคนี้เป็นประโยคที่พูดในช่วงชีวิตตอนท้าย ๆ ของอ.เปาโล เราทุกคนที่มาเชื่อในพระเยซูไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ขอให้เรามีความมุ่งมั่นที่จะรู้จักพระเยซู ไม่ใช่มุ่งมั่นที่จะได้รับพระพร มีกี่คนที่นี่ที่รู้จักพระเยซูอย่างที่พระองค์ทรงเป็น หลังจากที่อ.เปาโลเป็นคริสเตียนท่านมีความหิวกระหายอยากรู้จักพระเยซู และในบั้นปลายชีวิตอ.เปาโล จึงพูดได้ว่า ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าเชื่อ การรู้จักพระเยซูต้องเป็นความอยากในชีวิตเรา อย่าแค่อยากได้รับพระพรจากพระเจ้า หรือแค่อยากให้พระเยซูทำนู่นนี่นั่นให้ แล้วเราจะไร้ที่ติ ก่อนที่อ.เปาโลจะพูดว่ารู้จักพระองค์นั้น อ.เปาโลทำอะไรก่อนหน้านั้น เราดูด้วยกันใน ฟิลิปปี 3:5-17 นี่เป็นเหตุที่ทำให้อ.เปาโลรู้จักพระเยซู และเราไม่ควรทำน้อยไปกว่านี้ 5คือเมื่อข้าพเจ้าเกิดมาได้แปดวันก็ได้เข้าสุหนัต ข้าพเจ้าเป็นชนชาติอิสราเอล เผ่าเบนยามิน เป็นชาติฮีบรู เกิดจากชาวฮีบรู ในด้านธรรมบัญญัติก็อยู่ในคณะฟาริสี 6ในด้านความกระตือรือร้น ก็ได้ข่มเหงคริสตจักร ในด้านความชอบธรรมซึ่งมีอยู่โดยธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็ไม่มีที่ติได้ 7แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ 8ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ 9และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ 10ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์ 11ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย 12มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว 13ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า 14ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ 15เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงคิดอย่างนั้น และถ้าท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะทรงโปรดให้เรื่องนั้นประจักษ์แก่ท่านด้วย 16แต่เราได้แค่ไหนแล้ว ก็ให้เราดำเนินตรงตามนั้นต่อไป 17ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านจงร่วมกันตามแบบอย่างของข้าพเจ้า ท่านมีพวกเราเป็นตัวอย่างแล้ว จงดูคนที่ประพฤติตามแบบนั้น นี่เป็นข้อความที่อ.เปาโลพูด ในข้อที่ 10 ถือเป็นหัวใจ คือการที่อยากจะรู้จักพระเจ้า แต่คนที่เป็นคริสเตียนแล้วมักไม่ค่อยอยากจะรู้จักพระเจ้า มีขั้นตอน 3 ประการ ที่จะรู้จักพระเจ้
1.กำหนดให้พระเยซูเป็นหลักชัยของชีวิต
ในชีวิตส่วนตัวของเราไม่มีอะไรมีคุณค่ามากไปกว่าการได้รู้จักพระเยซูคริสต์ เพราะว่าในชีวิตคริสเตียนเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า และถ้าเราไม่รู้จักพระเยซู ความสัมพันธ์จะไม่มีทางไปถึงจุดที่เรียกว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือที่ในสำนวนยอห์นเรียกว่า ติดสนิท เราไม่มีทางจะสนิทกับเพื่อนถ้าเราไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับเขา ปีหนึ่งโทรหากันแค่ 2 ครั้ง เป็นไปไม่ได้ ในข้อที่ 7 และข้อที่ 8 มีสิ่งที่คล้ายกัน แต่สำนวนต่างกันเท่านั้นเอง ในข้อ 7 บอกว่า“เห็นแก่พระคริสต์” ในข้อ 8 “เห็นแก่ความประเสริฐของพระคริสต์ “สละสิ่งสารพัด….เพื่อจะได้พระคริสต์” ในข้อ 10 บอกเพื่อจะรู้จักพระคริสต์ และต้องร่วมทุกข์กับพระองค์ ไม่ใช่ร่วมสุข สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่พระองค์ไม่มี นี่คือการกำหนดให้พระเยซูเป็นเป้าหมายในชีวิตของอ.เปาโล ทุกวันนี้เราอ่านพระคัมภีร์เพื่ออะไร เพื่อให้พระเจ้าอวยพรแค่นั้นหรือ ถามตัวเองว่าวันนี้เรามีอะไรเป็นหลักชัยของชีวิตในการเป็นคริสเตียนของเรา อย่าคิดแบบนี้ว่าเราจะรู้จักพระเยซูในวันที่พระองค์เสด็จกลับมาแค่นั้น หากเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราต้องต้อนรับพระองค์เพื่อที่จะรู้จักพระองค์มากขึ้น เราต้องรู้จักพระเยซูก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับมา
2.กำหนดให้การรู้จักพระเยซูเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดในชีวิต
เป้าหมายกับคุณค่าต้องไปด้วยกัน ในข้อที่ 7 บอก 7แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ถ้าหากเราอ่านจดหมายและเข้าใจแนวการเขียนของอ.เปาโล เราจะเข้าใจว่า ตรงนี้อ.เปาโลกกำลังพูดถึงข้อที่ 5-6 คือ ท่านมั่นใจว่าการเป็นยิวแท้ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าตัวเขา และเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากที่จะไปถึงพระเจ้า ในสมัยนั้นยิวปลอมก็เยอะ แต่อ.เปาโลเป็นยิวแท้ เพราะฉนั้นอ.เปาโลมั่นใจว่าความเป็นยิวแท้คือบุคคลที่พระเจ้าเลือก ในข้อ 5 บอกสิ่งที่อ.เปาโลเป็น และอ.เปาโลยังบอกต่อไปในข้อ 6 ถึงสิ่งที่อ.เปาโลทำ เป็นการกระทำด้วยการแสดงความกระตือรือร้นในการข่มเหงคริสตจักร ปกป้องวิถีของพระเจ้าเพราะคริสเตียนหมิ่นประมาทพระเจ้า และทำให้อ.เปาโลพูดในข้อ 12 ว่าไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้วหรือสำเร็จแล้ว สิ่งที่เคยคิดว่าใช่มันไม่ใช่แล้ว ไม่ว่าวันนี้เราอยู่ในฐานะสูงส่งแค่ไหนมันไม่ใช่ทั้งนั้น ความสำเร็จที่มีก็ไม่ใช่ทั้งนั้น เพราะเอามาใช้ในการที่จะรู้จักพระเยซูไม่ได้เลยสักนิดเดียว ค่านิยมของโลกนี้ไม่สามารถเอามารู้จักพระเยซูได้ ความบาปทำให้มนุษย์กำหนดคุณค่าของชีวิตกลับหัว ตอนนี้อ.เปาโลมารู้จักพระเยซูแล้วเป็นคริสเตียนแล้ว ได้กำหนดคุณค่าของชีวิตแบบหัวตรงคือการรู้จักพระเยซูคริสต์พระเจ้าองค์เที่ยงแท้ มีอะไรที่จะดีไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แต่ความบาปทำให้คนคิดว่าการรู้จักพระเยซูเป็นเรื่องไร้สาระ เราต้องเห็นความจริงเรื่องนี้ ภายใต้อานุภาพของความบาปสังคมทุกวันนี้กำหนดค่านิยมแบบหัวกลับ เมื่ออ.เปาโลกลับใจใหม่ก็บอกว่าสิ่งที่เคยมีเคยเป็นไร้ประโยชน์ในการรู้จักพระเยซูคริสต์ ค่านิยมของโลกนี้บอกว่าต้องดีกว่า มากกว่า และเราก็เป็นไปตามค่านิยมนั้นด้วย แต่มันหัวกลับไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริง สิ่งที่เปาโลทำสอดคล้องกับคำสอนพระเยซูเป็นอย่างยิ่งทั้งที่เปาโลไม่ได้ยินคำสอนจากพระเยซู ในมัทธิว 13 : 4444“แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้ได้พบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น พระเยซูคริสต์เป็นขุมทรัพย์นั้น แล้วเราทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจะได้ขุมทรัพย์นั้นมั้ย ในฟิลิปปี 3:8 กำลังพูดถึงปัจจุบัน ว่าจะสละทุกสิ่งในข้อ 6-7 ว่ามันไร้สาระ วันนี้เราไม่แตกต่างจากคนที่ถือไสยศาสตร์เลยในการเชื่อพระเยซู เราขอให้เราเฮง ๆ รวย ๆ แต่เราไม่ได้อยากจะรู้จักพระเยซูคริสต์จริง ๆ ปราศจากที่ติในพระคริสต์เป็นไปไม่ได้ถ้าเราไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ เราอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ให้ดี ๆ เราต้องกำหนดพระเยซูเป็นหลักชัยที่จะมุ่งไปถึง ฝึกซ้อมทำทุกอย่างที่จะไปให้ถึงหลักชัย และอะไรที่ถ่วงอยู่ทิ้งให้หมด
3.ยินดีที่จะแลกทุกสิ่งที่มีอยู่เพื่อรู้จักพระเยซูคริสต์
การเป็นคนเบนยามินไม่ใช่สิ่งที่จะใช้รู้จักพระเยซุครสิต์ รวมทั้งความสำเร็จ ทุกสิ่งที่เป็นที่ทำไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้น สละทุกอย่าง ถ้าไม่สละเราก็ไม่มีสิทธิ์ติดกับพระคริสต์ ลูกา 14:33 33ก็เช่นนั้นแหละ ทุกคนในพวกท่านที่มิได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่ จะเป็นสาวกของเราไม่ได้ พระคัมภีร์ข้อนี้หายไปจากเราแล้ว พระเยซูบอกให้เราสละสิ่งสารพัด สิ่งที่ไม่มีค่าเพื่อไปยึดครอบครองสิ่งที่มีค่า และสิ่งที่มีค่าที่สุดคือการรู้จักพระเยซูคริสต์ เป็นสิ่งที่ประเทืองสติปัญญาและทุกสิ่งในชีวิต และอะไร ๆ ที่ค่านิยมของโลกนี้ที่บอกเป็นความเลวร้ายจะไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา ใครก็ตามที่จะเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ เราต้องประทับตราหนี้สูญสำหรับทุกสิ่งที่เรามี ในเชิงปฎิบัติเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นคำถามให้เราถามตัวเอง
– เมื่อคุณอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างการรู้จักกับพระเยซูคริสต์ กับสิ่งสารพัดในโลก เราเลือกอะไร
– สิ่งสารพัดที่มีอยู่ในเวลานี้ และสิ่งที่จะมีในวันข้างหน้า เรานำไปใช้เพื่อจะรู้จักพระเยซูคริสต์ใช่หรือไม่
– คนรอบข้างไม่ว่าอยู่ใกล้หรือไกล สนิทกับเราหรือไม่ เค้าได้เห็นหรือไม่ว่าชีวิตของเรามุ่งไปสู่ว่าพระเยซูคริสต์เป็นขุมทรัพย์ที่แท้จริง หรือเราหาพระเยซูเพื่อเราจะมีขุมทรัพย์เพื่อสำเร็จเพื่อรวย
– ไม่ว่าวันนี้เราจะสูญเสียทรัพย์สมบัติอะไรก็ตาม มันมีผลต่อความรู้สึกของเราแค่ไหน ถ้ามีในทางลบแสดงว่าเราไม่เข้าใจคุณค่าในการรู้จักพระเยซูคริสต์ แต่ถ้าไม่มีและเราขอบคุณพระเจ้า ว่านี่จะเป็นช่องทางให้เรารู้จักพระเยซูคริสต์ นั่นคือเราเข้าใจความจริง อ.เปาโลบอกว่าทุกสิ่งเป็นหยากเยื่อ
บทสรุปของอ.เปาโลในพระธรรมตอนนี้ ให้เราอ่านข้อ 17 ด้วยกัน 17ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านจงร่วมกันตามแบบอย่างของข้าพเจ้า ท่านมีพวกเราเป็นตัวอย่างแล้ว จงดูคนที่ประพฤติตามแบบนั้น ถ้าเราอยากรู้จักพระเยซูคริสต์เหมือนอ.เปาโล เราต้องทำตามอ.เปาโลแบบนี้ ทำอย่างอื่นไม่ได้ ยุคนี้ถ้าเราไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ถูกหลอกแน่นอน เพราะสิ่งเทียมเท็จเยอะไปหมด ถ้าเรารู้จักพระคริสต์เราจะอยู่เหนือคน เหนือความทุกข์ เหนือความเจ็บปวด