“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…เส้นทางมาราธอน”
คำว่า “มาราธอน” แปลว่า งานยากที่ต้องใช้ความอดทน เป็นส่วนหนึ่งของการพิสูจน์ความอดทนว่าเราจะผ่านอุปสรรคได้หรือไม่ คำว่า มาราธอน มาจากตำนานสงครามกรีก เรื่องราวมีอยู่ว่า มีนักรบชาวกรีกคนหนึ่งวิ่งจากเมืองมาราธอนกลับไปยังกรุงเอเธนส์ โดยไม่หยุด ระยะทางประมาณ 240 กม. และเมื่อมาถึงก็ตะโกนคำว่า เราชนะแล้ว แล้วก็ล้มลงตายทันที แต่บางตำนานก็กล่าวถึงเนื้อหาของการวิ่งมาราธอนของทหารกรีกคนนี้ว่า เขาวิ่งมาเพื่อขอความช่วยเหลือ ขอกองสนับสนุน เพราะในการรบที่เมืองมาราธอนกำลังอ่อนกำลังลง เกรงว่าจะพ่ายแพ้ จึงต้องวิ่งอย่างไม่หยุดเพื่อจะมาขอความช่วยเหลือ อันนี้น่าจะสมเหตุสมผลของการวิ่งไม่หยุด เพราะคือความรอดของทหารที่เหลือที่เมืองมาราธอน เราจะพบว่า อุปสรรคของการวิ่งของทหารกรีกคนนี้คือ ระยะทาง เวลา และลักษณะของภูมิประเทศ ลักษณะของเส้นทางที่ต้องผ่าน เป็นภูเขา ขึ้นๆลงๆ ไม่ใช่ทางราบอย่างเดียว
เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าไปพักกับเพื่อนที่อินโดนีเซีย หนึ่งในกิจกรรมยามเช้าก็คือการออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยาน พื้นที่รอบๆที่พัก เป็นภูเขา ถนนหนทางคือความลาด ความชันของภูเขา ข้าพเจ้าได้คุยกับหนุ่มชาวอินโดนีเซียที่มาจากเมืองหลวง เขาบอกข้าพเจ้าว่า เมืองนี้ (Sentul) เป็นพื้นที่ที่นักจักรยานจากเมืองหลวงจะมาขี่กันที่นี่ในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะมันเป็นพื้นที่ปราบเซียน มีความยากที่ทดสอบกำลังขาของนักขี่ และข้าพเจ้าก็พบว่า มันไม่ง่ายอย่างที่เขาว่า ข้าพเจ้ากลับมาพร้อมกับต้นขาที่เป็นกล้ามเนื้อ และหัวใจที่แทบจะหลุดออกมากองข้างนอก นี่คือเส้นทางมาราธอนของข้าพเจ้าทุกวัน มันไม่มีทางราบให้ขี่ มีแต่ขึ้นๆลงๆ ลาดยาวนานๆ เวลาขี่ไปบนทางลาดยาวก็จะนึกว่า เมื่อไหร่มันจะถึงยอดสักที ยิ่งขี่ ยิ่งช้าลง ช้าลง จนบางครั้งต้องลงจากจักรยาน จูงเอา ขี่ไม่ไหว ขี่ต่อไม่ได้ หมดแรง แต่ก็ต้องข้ามแต่ละเนินไปให้ได้ มิฉะนั้น กลับไม่ถึงบ้านพัก
ในทำนองเดียวกัน ชีวิตของเราทุกคนก็กำลังเป็นเหมือนการเดินทางที่ต้องไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง
ฟิลิปปี 3:14 14 ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ
อ.เปาโลได้เป็นแบบอย่างของการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่มีความเข้าใจน้ำพระทัยและการทรงเรียกของพระเยซูคริสต์ให้เข้ามาอยู่ในเส้นทางเดียวกันกับพระองค์ เพื่อจะไปให้ถึงหลักชัย รับรางวัล ที่รออยู่ตรงหน้า สิ่งที่อ.เปาโลเรียกสำหรับการดำเนินชีวิตบนเส้นทางนี้ คือ คำว่า บากบั่น รากศัพท์ภาษากรีก ใช้คำว่ press แปลว่า กด บีบอัด หรือภาษาเราๆก็คือ กดดันตัวเอง อย่างมีเป้าหมาย ในทิศทางที่พระเยซูคริสต์ทรงเรียกอ.เปาโลให้ติดตามพระองค์ พระเยซูทรงสอนสาวกของพระองค์ว่า เส้นทางที่พระองค์เรียกให้ติดตามพระองค์ ไม่ง่าย พระเยซูใช้คำว่า ทางแคบ และคนส่วนใหญ่ไม่ชอบ จะมีแต่คนส่วนน้อยที่เต็มใจจะเดินในหนทางนี้ และยิ่งเดิน ก็จะมีคนที่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปต่อ เพราะมันคือเส้นทางมาราธอนนั่นเอง
ในเส้นทางมาราธอนแบบฉบับอย่างพระเยซู มันไม่ได้ถูกกำหนดมาโดยพระเจ้า แต่มันคือเส้นทางของแต่ละคนเป็นคนกำหนดให้กับตนเองนั่นเอง เราจะมาดูคำอุปมาที่พระเยซูทรงสอนสาวกของพระองค์ จากหนังสือ
มัทธิว 13:18-23 18 “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงฟังคำอุปมาว่าด้วยผู้หว่านพืชนั้น19 เมื่อผู้ใดได้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่เมล็ดพืชซึ่งหว่านตกริมหนทาง20 และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความปรีดี21 แต่ไม่ฝังลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด22 และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล23 ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”
ในเวลานั้น มีคนติดตามคำสอนของพระเยซูจำนวนมากมาย หลายคนอยากฟังพระเยซูสอน เพราะคำสอนของพระเยซูไม่เหมือนกับครูคนอื่นๆ คำสอนของพระองค์สามารถแทงทะลุจิตใจ เรียกตามภาษาวัยรุ่นก็คือ โดน ภาษาที่ใช้ในยุคนั้น คือแปลบปลาบใจ เป็นคำสอนที่สด ใหม่ ตรงกับสถานการณ์ที่คนฟังกำลังเผชิญอยู่ จนคนในยุคนั้น ต้องบอกกันปากต่อปากให้ไปฟังพระเยซูเทศน์ สอน คนไทยเรามีคำหนึ่งที่ใช้ เวลาฟังใครพูดแล้ว เหมือนแทงใจดำ ความหมาย แทงใจดำ คือ พูดตรงกับความในใจของผู้ฟัง
ในพระคัมภีร์มีคำสองคำ คือคำว่า โลโกส Logos (God’s eternal standard) แปลว่า มาตรฐานนิรันดร์ของพระเจ้า อีกคำ คือคำว่า Rhema ( a word the Word) แปลว่า ถ้อยคำจากพระวจนะ) Dr. Bill Hammon กล่าวว่า การเทศนาคือการประกาศมาตรฐานนิรันดร์ของพระเจ้า (พระวจนะ) แต่การเผยพระวจนะ คือการให้ถ้อยคำจากพระวจนะ (เรมาห์) ทั้งสองคำนี้ คือถ้อยคำของพระเจ้า
พระเยซูได้ประกาศมาตรฐานนิรันดร์ และให้ถ้อยคำจากมาตรฐานนิรันดร์ของพระเจ้า ดังนั้น คำสอนของพระเยซูจึงแตกต่างจากพวกครูสอนศาสนาทั้งหลายในยุคนั้น (ปุโรหิต ธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี)เพราะคำเทศนาของพระเยซูเป็นถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า พระกิตติคุณสี่เล่ม จึงบันทึกคำเทศนาและการทำพันธกิจของพระเยซูเป็นถ้อยคำของพระเจ้า เพราะพระเยซูพูดทุกคน (ศักดิ์สิทธิ์และเป็นจริง)
1เปโตร 4:11ก 11 ถ้าใครจะพูด ก็ให้พูดดังเช่นพูดพระวจนะของพระเจ้า….(2011)
ในหลายๆจังหวะของการสอนของพระเยซู จะพบว่า มีคำอุปมาแทรกอยู่บ่อยๆ คำอุปมา แปลว่า เปรียบเทียบ เพื่อให้คนฟังไม่เข้าใจ ในคำอุปมาเรื่องการหว่านกับเดินสี่ชนิดนี้ก็เช่นกัน จนสาวกต้องถามพระเยซูในภายหลังว่าหมายความว่าอย่างไร
มาระโก 4:10-12 10 เมื่อฝูงคนไปแล้ว คนที่อยู่รอบพระองค์พร้อมกับสาวกสิบสองคน ได้ทูลถามพระองค์ถึงคำอุปมานั้น11 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินของพระเจ้า ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่ฝ่ายคนนอกนั้นบรรดาข้อความเหล่านี้จะแจ้งให้เป็นคำอุปมาทุกอย่าง12 เพื่อว่าเขาจะดูแล้วดูเล่า แต่มองไม่เห็น และฟังแล้วฟังเล่า แต่ไม่เข้าใจ เกลือกว่าเขาจะหันกลับมาหาพระเจ้า และรับการอภัย”
คนมากมายที่มาหาพระเยซู มีหลากหลายความต้องการ บางคนต้องการเพียงแค่ฆ่าเวลา ไม่มีอะไรทำ ไปฟังพระเยซูสอนดีกว่า มันๆคันๆและบางทีโดนๆนิดก็ยังดี บางคนมาเพื่อให้พระเยซูรักษาโรค บางคนอาจกำลังต้องการคำตอบเรื่องหน้าที่การงาน บางคนอาจกำลังอยากได้แฟนก็มาฟังดูว่า คำสอนพระเยซูจะปิ๊งๆไอเดียอะไรได้บ้าง สารพัดผู้คนที่มีวัตถุประสงค์แตกต่างกัน พระเยซูสามารถเทศนาให้กับคนหลากหลายได้รับคำตอบได้ แต่เป้าหมายของพระเยซูจริงๆ คือ การเปิดเผยสิ่งที่เรียกว่า “ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินของพระเจ้า” ซึ่งมีค่ามาก พระเยซูได้เปรียบเทียบคุณค่าแห่งแผ่นดินของพระเจ้าเปรียบเหมือนขุมทรัพย์ หรือไข่มุกที่มีค่ามาก
มัทธิว 13:44-46 44 “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้ได้พบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น45 “อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี 46 และเมื่อได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น
คำว่า ขุมทรัพย์ ในภาษากรีกคำนี้ แปลว่า มั่งคั่งมาก เป็นที่เก็บความมั่งคั่ง คนที่ค้นพบยอมเสียทุกอย่าง เพื่อจะได้มาเป็นเจ้าของขุมทรัพย์นี้ หากเทียบก็อาจเป็นบ่อเพชร บ่อพลอย บ่อน้ำมันในยุคของเรา ที่ขุดไม่มีวันหมด ใช้เท่าไรไม่มีวันหมด คำว่า มีค่ามาก Extremely valuable มีราคาสูงชนิดทุกคนต้องถอย สู้ราคาไม่ไหว ในยุคของเราเข้าใจเรื่องนี้ ของเก่าบางชนิด แค่ภาพวาด ราคาเป็นพันล้านล้าน เขาเรียกว่าของสะสมของคนรวย พระเยซูทรงเปรียบเทียบคุณค่าและราคาของแผ่นดินของพระเจ้า เป็นดั่งขุมทรัพย์ที่มั่งคั่ง และไข่มุกงดงาม ราคาที่คนส่วนใหญ่สู้ราคาไม่ไหว ดังนั้นจึงมีคำอุปมาอีกคำว่า
มัทธิว 7:6 6 “อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดตัวท่านด้วย
ของประเสริฐ รากศัพท์ในที่นี้ แปลว่า บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ปราศจากตำหนิ พระเยซูทรงใช้คู่กับคำว่า ไข่มุก (ซึ่งน่าจะเป็นภาพของไข่มุกราคาแพง) ในคำอุปมาของการเปรียบเทียบกับแผ่นดินสวรรค์ คำอุปมาเรื่องแผ่นดินสวรรค์เป็นความล้ำลึกที่ซ่อนไว้จากคนที่ไม่ได้เห็นคุณค่า หรือคนที่ไม่จริงจังกับการติดตามพระเยซู แต่จะถูกเปิดเผยให้กับคนที่ตั้งใจจริง อุทิศตัวจริง ในการติดตามพระเยซู เป็นสาวก เป็นนักเรียนที่พร้อมจะเรียนรู้จากพระเยซู และนี่คือสิ่งที่พระเยซูทรงตอบสาวกเรื่อคำอุปมาของดินสี่ชนิด
มาระโก 4:11 11 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินของพระเจ้า ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่ฝ่ายคนนอกนั้นบรรดาข้อความเหล่านี้จะแจ้งให้เป็นคำอุปมาทุกอย่าง
และพระเยซูทรงเฉลยคำอุปมานั้นแก่สาวกของพระองค์ เพื่อให้สาวกของพระองค์ สามารถที่จะเดินในทางแคบ ทางมาราธอนอย่างต่อเนื่องได้
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ถ้าเราเดินไปอย่างไร้จุดหมาย ไร้เหตุผล ไร้ทิศทาง เราจะท้อเมื่อเราเจอกับอุปสรรค ความยากลำบาก เราจะมีแต่คำถามว่า ทำไมจะต้องไปต่อ เพื่ออะไร เพื่อใคร ทำไมจะต้องจ่ายราคาแพง ทำไม และทำไม แต่เมื่อเรามีเหตุผลที่มากเพียงพอ เรามีทิศทางที่ชัดเจน เรามีแรงจูงใจที่มีน้ำหนัก เราจะไม่ยอมล้มกระดานง่ายๆ เราจะไม่หนี ไม่ออกจากทางที่เราควรจะเดินไปและระหว่างทางหากเราพบกับปัญหาบางอย่าง เราจะรู้ว่า พระเยซูบอกเราไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ในหนทางนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในเส้นทางนี้บ้าง
1.จะมีคริสเตียนที่สนใจแต่ทางโลก และขาดความเข้าใจ มัทธิว 13:18-19
18 “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงฟังคำอุปมาว่าด้วยผู้หว่านพืชนั้น19 เมื่อผู้ใดได้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่เมล็ดพืชซึ่งหว่านตกริมหนทาง
อุปสรรคที่ทำให้คนไปไม่ถึงแผ่นดินของพระเจ้า (หรือความไพบูลย์ของพระคริสต์สำหรับคริสเตียน) คำว่า ไม่เข้าใจ คือการไม่ยอมที่จะเข้าใจ เราคงเคยเห็นคนที่ไม่ยอมเข้าใจ เพราะเขาไม่สนใจ จึงไม่ได้ให้เวลาที่จะทำความเข้าใจ เป็นโอกาสของสิ่งอื่นที่จะมาดึงความสนใจไปสนใจสิ่งอื่นแทน เป็นความชั่วร้าย ที่พยายามที่จะดึงความสนใจของคนที่ได้ยินถึงความดี สิ่งที่มีค่าในทางธรรม แต่ความไม่สนใจ กลับไปสนใจเรื่องทางโลกมากกว่า ความชั่วร้ายก็เข้ามาทำหน้าที่ของมันโดยพยายามกีดกันมิให้เมล็ดพันธ์ของความดีได้เจริญเติบโต เหมือนกับเราหว่านเมล็ดแล้วนกมาจิกกินเสียก่อนที่มันจะได้เพาะและงอกราก เปรียบเหมือนจิตใจของคนที่สนใจแต่ทางโลก การหว่านเมล็ดแห่งแผ่นดินของพระเจ้ากับคนที่สนใจแต่ทางโลกไม่ได้ผล และคริสเตียนเอาแต่สนใจในทางโลก ก็ไม่ต่างจากคนที่ไม่มีพระเจ้า คริสเตียนที่สนใจแต่ทางโลกก็เป็นคนประเภทที่ห่างไกลจากการที่จะก้าวเดินไปสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ด้วยเช่นกัน คำเทศนา หรือการได้ฟัง ได้ยิน พระวจนะของพระเจ้าสำหรับคนที่สนใจแต่ทางโลก จึงเป็นการเสียของ ไม่ต่างจากคำอุปมาที่ว่า สุนัขหรือสุกรที่เหยียบย่ำไข่มุกที่มีค่า หรือของประเสริฐนั้น เราจึงเห็นว่า พระเจ้าจะไม่ทำกิจของพระองค์ผ่านคริสเตียนที่สนใจแต่ทางโลก การเปิดเผยไม่มี ถ้อยคำของพระเจ้าไม่มี การสำแดงไม่มี เพราะฉะนั้น ไม่ต้องแปลกใจถ้ามีคริสเตียนบางคน ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่มีทิศทาง ในการดำเนินชีวิต เพราะคริสเตียนประเภทนี้ ไม่ได้มองชีวิตคริสเตียนเป็นเส้นทางมาราธอน ไม่ชอบความมีวินัย ไม่ชอบเรื่องจิตวิญญาณ ชอบหนุกหนานๆ ไปวันๆ
2.จะมีคริสเตียนที่ไม่ต่อสู้ มัทธิว 13:20-21
20 และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความปรีดี21 แต่ไม่ฝังลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด
คำว่า หิน สำหรับพระคัมภีร์ มักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับจิตใจ เช่น ใจแข็งกระด้างเหมือนหิน พระเยซูได้ยกภาพเปรียบเทียบตอนนี้ เพื่อให้เห็นว่า ใจที่แข็งกระด้างเหมือนหิน เป็นอุปสรรคต่อการเติบโต ลงรากปักลึกของพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าทำงานในระดับของจิตใจแค่ผิวๆ ความยากลำบากและการข่มเหงต่างๆ ก็คือการต้องต่อสู้กับใจของตนเอง ที่จะตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งโดยธรรมชาติ ทั้งสองเป็นศัตรูกัน
กาลาเทีย 5:17 17 เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำจึงกระทำไม่ได้
คริสเตียนที่ไม่ต่อสู้ ก็มักจะพ่ายแพ้ต่อความต้องการของเนื้อหนัง มีคำไทย ใช้สำหรับความพ่ายแพ้ว่า แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง คือยังไม่ทันจะสู้ แค่ตื่นขึ้นมายังไม่ได้ออกจากที่นอนก็แพ้แล้ว หากเราเชื่อว่าจะแพ้หรือสู้คู่แข่งไม่ได้เราก็จะไม่แสวงหาหนทางต่อสู้ เรียกว่าแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง คริสเตียนที่พ่ายแพ้ต่อความต้องการของเนื้อหนังของตนเอง แพ้แล้วแพ้อีก เพราะยังไม่ต่อสู้จริงๆ ถ้าสู้จริง ท่านจะชนะ จงเป็นคนหนึ่งที่ลดจำนวนคริสเตียนที่ไม่ต่อสู้ในเส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ อาเมน
3.จะมีคริสเตียนที่กังวลและลุ่มหลง มัทธิว 13:22
22 และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล
อุปสรรคขั้นสูงสุดของการเดินในทางเส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ คือการคิดถึงความไพบูลย์ของโลกนี้ พระเยซูจึงทรงตรัสว่า คู่เปรียบเทียบที่ทำให้คริสเตียนต้องลังเลใจในการติดตามพระเจ้า เหมือนกับมีหนามมาปกคลุม ให้เคลื่อน หรือเติบโตต่อไม่ได้ ก็คือ เงินทอง
มัทธิว 6:24 24 “ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เพราะว่าจะชังนายข้างหนึ่ง และจะรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้
มีเงินทองหรือไม่มีเงินทอง ก็ทำให้คิดถึงเงินทอง คำไทยมีสำนวนว่า มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว มีนิดก็กลัวคนจะมาขโมย มีมากก็ยิ่งกลัวจะมีน้อยลง ส่วนคนที่ไม่มี ก็กระวนกระวาย ว่าจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม นั่นคือการความกังวลถึงอนาคต ทำให้สะดุด หยุดที่จะก้าวเดินไปสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ เพราะมัวแต่แสวงหาความเปอร์เฟ็คของโลกนี้ และอีกมุมหนึ่งที่น่าสลดใจ ก็คือ คริสเตียนที่มากทุกอย่างตามที่ต้องการ นิสัยเสียเริ่มเกิดขึ้น เป็นอันตพาลก็มี เพราะเย่อหยิ่ง มีเวลาคิดที่จะทำอย่างอื่นมากกว่าทำมาหากินแล้ว เพราะสบายขึ้น มีคำๆหนึ่งกล่าวว่า วินัยสร้างความมั่งคั่ง และความมั่งคั่งก็ทำลายวินัย พึงระวัง เพราะมีคริสเตียนล้มไม่เป็นท่าเพราะความมั่งคั่งทำลายวินัยของชีวิต โดยเฉพาะวินัยฝ่ายวิญญาณ
4.จะมีคริสเตียนที่จบดี มัทธิว 13:23
23 ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”
Finish well จบดี จะมีคริสเตียนที่จบดี ไปต่ออย่างต่อเนื่อง เสมอต้นเสมอปลาย แม้จะจำนวนน้อย แต่ขอให้เราเป็นคนที่เพิ่มเข้ามาในจำนวนของคนที่จบดี อาเมน พระเยซูได้ยกตัวอย่างดินดี คำว่า ดินดี ไม่ได้หมายความว่า ไม่เคยมีหินมาก่อน
เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าไปเกาหลีใต้ครั้งแรก ไปเข้าโรงเรียนคานาอัน Canaan Farmer school ต้องทำงานเกษตรกร ตอนแรกเขาก็พาไปชมสวนแอปเปิ้ล งามมาก หอมมาก ให้ทำงานเก็บแอปเปิ้ล ต่อมาก็พาไปทำงานและชมการปลูกหัวไชเท้า ลูกโตมาก ยาวเท่าเอวข้าพเจ้า งานต่อไปก็ไปห่อหัวกระหล่ำปลี หัวโตกว่าแตงโมพันธ์ใหญ่ที่สุดของบ้านเราเวลานี้ ไปห่อ เพื่อมิให้น้ำค้างที่กลายเป็นน้ำแข็งมาทำลาย งานสุดท้าย เขาก็พาเราไปที่แห่งหนึ่ง มองไปมีแต่ก้อนหิน แล้วครูที่พาเราไปก็บอกเราว่า ผลการเกษตรที่เราเห็นงดงามที่เราได้ชื่นชม ได้เก็บมันได้กิน ได้ลิ้มรสความอร่อย เมื่อก่อน ที่ดินตรงนั้นก็เหมือนกับที่เราเห็นตรงนี้ งานต่อไป คือการที่เราจะต้องเตรียมที่สำหรับผลที่งามทางการเกษตรรุ่นต่อไป ด้วยการเก็บหินทุกก้อนบนแผ่นดินนี้ ….
นี่คือภาพที่พระเยซูกำลังบอกกับสาวกของพระองค์ถึงความหมายของดินดี คือดินที่มีก้อนหินที่ยังไม่ได้เก็บ และเมื่อเก็บแล้วมันจะกลายเป็นดินดี
ปัญญาจารย์ 3:5 5 มีวาระโยนหินทิ้ง และวาระเก็บรวบรวมหิน…
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องจริงจังกับการมุ่งเป้าหมายจบดี เอาหินออกจากใจของเรา ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในตอนแรกแล้วว่า อุปสรรคบนเส้นทางสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ อยู่ที่ตัวเราเป็นผู้กำหนด และจัดการ มันมาจากตัวเราเองทั้งสิ้น อ.เปาโลได้พบความจริงเรื่องนี้ ท่านจึงกล่าวว่า
1โครินธ์9:27 27 แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้
คำว่า ทุบตี ก็คือการจัดการควบคุม (ต่อสู้) กับตนเอง ให้สามารถที่จะควบคุมใจของตนเองได้ และนี่คือคำพูดของคริสเตียนที่จบดี ที่เป็นต้นแบบให้กับคริสเตียนที่จบดีหลายยุคหลายสมัย พระเยซูคริสต์ทรงมีสาวกที่จบดีมากมาย ขอพระเจ้าทรงนำพี่น้องให้อยู่บนเส้นทางมาราธอนนี้ จนจบดี อาเมน
“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…เส้นทางมาราธอน”
- จะมีคริสเตียนที่สนใจแต่ทางโลก และขาดความเข้าใจ
- จะมีคริสเตียนที่ไม่ต่อสู้
- จะมีคริสเตียนที่กังวลและลุ่มหลง
- จะมีคริสเตียนที่จบดี