“คริสตมาสส่องสว่างให้กับชีวิต”
มีคำพูดหนี่งกล่าวถึง ความมืดในเชิงเปรียบเทียบด้วยคำว่า มืดแปดด้าน แปลว่า หาทางออกไม่ได้ เจอทางตัน แต่ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า คำเปรียบเทียบนี้ มันเว่อร์ ในยุคโบราณอาจใช่ แต่ในยุคของเรา ยุคที่พระคัมภีร์เรียกว่า ยุคพระคุณ คือยุคที่มีคริสตมาสส่องสว่างให้กับชีวิต ไม่มีคำว่า มืดแปดด้านอีกต่อไป ไม่มีคำว่า เจอทางตันอีกต่อไป และไม่มีคำว่า สิ้นหวังอีกต่อไป ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างหนึ่งให้พี่น้องได้เห็นความจริงในยุคของเรา
เรารู้หรือไม่ว่า การจะหาสถานที่ที่มืดสนิท โดยปราศจากแสงสว่างเลย หายากมาก จนมีการต้องใช้คำว่า สถานที่อนุรักษ์ความมืดแห่งชาติ IDP International Darkness Park อุทยานที่มีความมืดมิดแห่งชาติ ทำไมต้องอนุรักษ์สถานที่ที่มืดสนิทเอาไว้ เพราะว่า เพื่อจะได้เห็นแสงสว่างธรรมชาติที่มาจากดวงดาว ดวงจันทร์ แสงสว่างธรรมชาติในความมืดมิดนั้นงดงามอย่างไร โดยเฉพาะทางช้างเผือก คือแกแลกซี่ที่โลกของเราอยู่
เราเคยอยู่ในที่ที่มืดที่สุดของชีวิตไม๊ คนเมืองอย่างเรา คงไม่เคยมีประสบการณ์กับความมืดสนิทที่เป็นธรรมชาติ ที่ที่ไม่มีแสงเมืองรบกวน นักดาราศาสตร์มักจะชอบที่มืดสนิท เพื่อจะมองเห็นดวงดาวอย่างชัดเจน มีที่แห่งหนึ่งชื่อว่า หุบเขามรณะ (Death valley) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “หุบเขาแห่งความตาย” เป็นทะเลทรายอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา บริเวณเขตแดนระหว่างรัฐแคลิฟอร์เนียกับรัฐเนวาดา เป็นจุดที่แห้งแล้งที่สุด ต่ำที่สุดและร้อนที่สุดในอเมริกาเหนือ เคยมีการบันทึกอุณหภูมิของอากาศที่สูงถึง 57 องศาเซลเซียส เขตอนุรักษ์ความมืดของท้องฟ้า ในเขตอุทยาน Death valley ซึ่งมีความยากลำบากและค่อนข้างเสี่ยงพอสมควร ความเป็นที่สุดของสถานที่ ที่มีความมืดที่สุดแห่งหนึ่งของโลกก็ว่าได้ “มืดที่สุดและต่ำที่สุด” สถานที่นี้จะอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 85 เมตร (ซึ่งอย่างที่เราเข้าใจกันดีว่า ยิ่งสูงยิ่งจะมีทัศนวิสัยท้องฟ้าที่ใสเคลียร์…แต่ที่นี่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล) ซึ่งที่นี่มีสภาพท้องฟ้าที่มืดสนิทไร้ซึ่งแสงเมืองรบกวน คิดดูสิว่า สถานที่มืดมิดที่สุดกลายเป็นที่หายาก เข้ายาก เพราะไปที่ไหน ก็มีแต่แสงเมือง
เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นวัยรุ่น ได้เข้าค่ายลูกเสือเนตรนารี มีเกมอันหนึ่งที่เราเล่นกัน คือเกมที่ต้องเดินบนก้นขวดที่ฝังอยู่บนพื้นในที่มืด เรามีไฟฉายกันคนละกระบอก ส่องกันใหญ่ แต่ปรากฏว่า มองไม่เห็น จนคนที่คุมฐานบอกเราว่า ให้ดับไฟฉาย แล้วใช้แสงสว่างธรรมชาติส่องนำทาง เราจึงเห็นก้นขวดที่ฝังไว้กับพื้น เพื่อเราจะเหยียบไปบนก้นขวดนั้นไม่พลาด ในความมืดมืด เราต้องการแสงสว่างนำทาง แต่ไม่ใช่แสงสว่างจากไฟฉายของเรา แต่เป็นแสงธรรมชาติที่ตาของเราจะปรับมองเห็นในความมืดได้ (อย่างน่าประหลาดใจ)
บางที ชีวิตของเราที่ดูเหมือนกำลังอยู่ในความมืด อาจต้องการแสงสว่างนำทางจากสวรรค์ เพียงแค่ส่องให้เรามองเห็นทางที่ใกล้ตัวเรามากที่สุด ไม่ต้องมองไปไกลเกินจากตัวเรา บางคนวิตกกังวลกับอนาคตข้างหน้า จนกลายเป็นความรู้สึกว่าหนทางที่ยาวไกลนี้ ช่างมืดมนเหลือเกิน และไม่สามารถจะมองเห็นความงดงามของชีวิตตนเองในปัจจุบันได้
วันนี้ ข่าวดีคือ คริสตมาสส่องสว่างนำทางชีวิตให้เราทั้งหลายมองเห็นความงดงามของชีวิต คุณค่า ราคาของชีวิตตนเอง และมองเห็นหนทางที่จะก้าวเดินไปอย่างถูกทิศถูกทาง เพื่อจะละความกังวลทั้งหมดไว้กับพระเยซูคริสต์เจ้าแต่เพียงผู้เดียว เรื่องราววันคริสตมาสได้เริ่มต้นในคืนที่มืดมิด (ในยุคโบราณ ไม่ต้องมีเขตอนุรักษ์ความมืด เพราะมองไปทางไหนก็มืดมิดสนิทจนน่ากลัว และในคืนที่มืดมิดนั้นเอง ได้เกิดแสงสว่างนำข่าวดีมาสู่คนที่กำลังอยู่ในความมืด….
ลูกา 2:8-12 8 ในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนา เฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืน9 มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขา และพระสิริของพระเป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขา และเขากลัวนัก10 ฝ่ายทูตองค์นั้นกล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง11 เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือพระคริสตเจ้า มาบังเกิดที่เมืองดาวิด12 นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า”
คนเลื้ยงแกะกำลังทำหน้าที่เฝ้าแกะที่เป็นสิ่งที่มีค่าราคาสำหรับคนในสมัยนั้น ศัตรูของแกะ คือสัตว์ป่า เช่น หมี สิงโต และหมาป่า สัตว์เหล่านี้จะมาในเวลากลางคืน ในความมืดมิด จะมาจู่โจมชนิดไม่ให้รู้ตัวเมื่อใดก็ได้ คนเฝ้าแกะ จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา ในขณะที่คนอื่นนอนหลับไหล แน่นอนว่า ความกลัวของคนเฝ้าแกะ คือการต้องเผชิญกับสัตว์ร้าย และการสูญเสียแกะไป
หากจะเปรียบเทียบกับสภาวะชีวิตของเราทุกคนในปัจจุบัน สิ่งที่เราต้องเฝ้าระวัง และหวงแหน อาจเป็นสุขภาพที่อาจถูกจู่โจมด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วย สิ่งที่เราหวงแหนอาจเป็นหน้าที่การงานโอกาสในธุรกิจที่เราไม่อยากให้ใครมาแย่งชิงไปจากมือเรา สิ่งที่เราหวงแหน อาจเป็นคนที่เรารักที่เราไม่อยากให้สิ่งใดมาพรากพวกเขาไปจากเรา สิ่งที่เราหวงแหนอาจเป็นอะไรก็ได้ที่จิตของเราผูกพันด้วย เรามีความสุขกับการเป็นเจ้าของ ครอบครอง…..
ความมืด คือสัญลักษณ์ของความไม่รู้ (เราไม่รู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น จะเกิดขึ้นเมื่อไร) แต่มีคำหนี่งได้กล่าวว่า Nothing last forever แปลว่า ไม่มีอะไรอยู่กับเราได้อย่างยั่งยืนยาวนาน เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกสูญเสีย เราจะรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในความมืดมิดจนรู้สึกสิ้นหวังที่จะได้คืนกลับมา
แต่ในวันคริสตมาส เกิดเหตุการณ์สำคัญหนึ่ง ..แสงสว่างในคืนวันคริสตมาสได้สาดส่องมายังคนเลี้ยงแกะ …พระสิริของพระเป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขา… พระสิริของพระเจ้า แปลว่า การทรงสถิตของพระเจ้าปรากฏอยู่ท่ามกลางคนเลี้ยงแกะ พระสิริของพระเจ้าทำให้เกิดแสงสว่างล้อมรอบคนเลี้ยงแกะ ทำให้มองเห็นทูตที่นำข่าวดีมา 9 มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขา….
มีคนจำนวนไม่น้อย ที่มักจะพูดประโยคที่ว่า มองไปทางไหนก็มีแต่ข่าวร้าย มองไปทางไหนก็มีแต่สิ่งเลวร้าย ชีวิตมืดมน อาจเป็นเพราะชีวิตของคนๆนั้นขาดแสงสว่างของชีวิตที่จะมองเห็นความงดงามของชีวิตหรือเปล่า
และพระสิริของพระเป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขา รากศัพท์ภาษากรีกคำนี้ แปลว่า รัศมีของพระเจ้าปรากฏเป็นความสว่างที่สว่างจ้ามาก
เมื่อไม่นานมานี้ มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Super full moon ดวงจันทน์ใหญ่โตมาก คนเมืองอย่างเรา ไม่สามารถจะมองเห็นความงดงามจากแสงจันทน์อย่างธรรมชาติได้ เพราะในเมืองมีแต่แสงเทียม ส่องสว่าง จนเราคุ้นเคยกับความสว่างปลอมเหล่านั้น เช่นเดียวกัน ความงดงามของชีวิตคนเรา ถูกบดบังไปหมด กับสิ่งที่เราคิดว่า มันคือของจริง เราคุ้นเคยกับอะไรที่ปรุงแต่งจนเราไม่รู้สึกถึงความงดงาม ความบริสุทธิ์ของชีวิต
จะมีอะไรน่าชื่มชมยินดีเท่ากับการได้มองเห็นความงดงามของชีวิตตัวเอง ได้เห็นชีวิตมีคุณค่า ชีวิตที่มีความหวัง ชีวิตที่มีความสุขได้
ชีวิตที่เป็นคนเลี้ยงแกะในเวลากลางคืน ในขณะที่คนอื่นพักผ่อนนอนหลับ แต่พวกเขาต้องทำหน้าที่ปกป้องแกะ ทำหน้าที่พร้อมที่จะเผชิญกับสัตว์ร้าย เพื่อฝูงแกะ คนเลี้ยงแกะต้องเตรียมตัวเองที่จะรับกับข่าวร้าย เมื่อเกิดปรากฏการณ์ที่เหมือนได้เจอสิ่งที่ผิดปกติ ในความมืดมิด กลับมีแสงสว่างจ้า คนเลี้ยงแกะคงคิดทันทีว่า นอกจากจะต้องเตรียมรับมือกับสัตว์ร้าย และเตรียมใจกับการสูญเสีย ยังต้องมาเจอผีอีกหรือเนี่ย คนไทยมีคำเรียกโชคชะตาที่ซวยซ้ำซวยซ้อนว่า “ผีซ้ำ ด้ำพลอย” มีความหมายว่าเมื่อเกิดปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว แต่ก็มีมีเรื่องราวหรือปัญหาเข้ามาเพิ่มซ้ำเติมให้หนักกว่าเดิมอีกที่มาของสํานวน คำว่า “ด้ำ” เป็นภาษาถิ่นของอีสาน หมายถึง ผีเรือน หรือเทวดาประจำบ้าน สำนวนนี้เปรียบเปรยถึงบุคคลในบ้านที่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ผีบ้านผีเรือน (ด้ำ) กลับพาโชคร้ายมาซ้ำเติม
คนไทยเรียกเทวดา แต่พระคัมภีร์เรียกว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า มาปรากฏในวันคริสตมาสา วันที่พระกุมารเยซูมาประสูติ เพื่อนำข่าวดีมา ดังนั้น จึงมีคำว่า อย่ากลัวเลย นั่นคือ ข่าวดีแน่ๆ ไมใช่ข่าวร้าย
เวลาคนเราพบเจอกับปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติ คนส่วนใหญ่มักคิดลบไว้ก่อน ปลอดภัยสุด การตอบสนองทันทีของคนคิดลบ ก็คือ ความกลัว….. แต่สำหรับวันคริสตมาส สิ่งที่เกิดขึ้นเหนือธรรมชาตินี้ เป็นแสงสว่างจ้าที่ผิดปกตินี้ มาจากพระเจ้า ที่ได้ส่งทูกสวรรค์นำข่าวดีมา ในวันคริสตมาส เป็นแสงสว่างที่มาเพื่อทำลายความมืด ทำลายความกลัว เพื่อส่งข่าวดี ไม่ใช่ข่าวร้าย 10 ฝ่ายทูตองค์นั้นกล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง คริสตมาสส่องสว่างให้กับชีวิต เพื่อให้มีความยินดี ความยินดีอยู่ไหน ความทุกข์ก็จะสลายมลายไป
ข่าวดี ย่อมสยบความกลัวได้ทุกอย่าง ข่าวดีที่ทูตสวรรค์นำมาพร้อมกับแสงสว่างล้อมรอบ(พระสิริของพระเจ้า) ได้พิสูจน์ว่า ไม่ได้ทำร้ายทำอันตรายต่อคนเลี้ยงแกะเลย คนเลี้ยงแกะไม่ได้สูญเสียสิ่งที่ตนเองรัก ไม่ได้สูญเสียสิ่งที่ตนเองหวงแหนสักอย่าง
ข้าพเจ้าอยากเชิญชวนให้เราทุกคน สงบนิ่ง และใช้เวลาใคร่ครวญ และพบกับคริสตมาสส่องสว่างให้กับชีวิตที่แท้จริง อย่าให้คริสตมาสเป็นเพียงงานร่าเริงสนุกสนาน แต่คริสตมาสมีความหมายมากกว่านั้นสำหรับชีวิตของคุณ
ลองสงบลง นิ่งที่จะฟังข่าวดี และที่สำคัญ มีสติที่จะฟังต่อไปว่า เนื้อหาสาระได้ฟังนั้น
11 เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือพระคริสตเจ้า มาบังเกิดที่เมืองดาวิด
รากศัพท์ของคำว่า พระผู้ช่วยให้รอด แปลว่า ผู้พิทักษ์และผู้พิทักษ์ ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองรักษาช่วยให้ปลอดภัย
12 นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า”
ข้อนี้ คือคำแนะนำ ชี้นำในการค้นหาเด็กทารกเพิ่งเกิดใหม่ ซึ่งในเวลานั้น อาจจะมีเด็กหลายคนที่เกิดในคืนดียวกัน แต่ทูตสวรรค์ได้ให้รายละเอียดว่า พระผู้ช่วยให้รอดเป็นเด็กเพิ่งเกิด (ถูกพันด้วยผ้าอ้อม) และที่สำคัญถูกวางไว้ในรางหญ้า (รางสำหรับใส่อาหารสัตว์ที่จะพบได้ในโรงวัวเท่านั้น)
ข่าวดี ในวันคริสตมาส คือแสงสว่างที่สาดส่องให้กับคนที่กำลังตกอยู่ในความกลัวทุกคน
พระเยซูมักจะพูดคำว่า “อย่ากลัวเลย” เพราะพระองค์เสด็จมาเพื่อคนที่กำลังตกอยู่ในความกลัว ความกลัวทำให้มองไม่เห็นทางออก (มืดแปดด้าน) การเสด็จมาของพระเยซูในวันคริสตมาส เพื่อช่วยมนุษย์ทุกคนออกจากความมกลัวทั้งปวง ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังตกอยู่ภายสภาพเหมือนมืดมิด และน่ากลัว จงรู้เถิดว่า พระเยซูทรงเป็นแสงสว่างที่จะส่องให้กับชีวิตของคุณ ให้มองเห็นชีวิตนั้นงดงาม Life is beautiful
ยอห์น 1:4-5 4 พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่
ยอห์น 12:46 เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะมิได้อยู่ในความมืด
ยอห์น 12:35 35 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ความสว่างจะอยู่ไปกับท่านทั้งหลายอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิด เกรงว่าความมืดจะตามมาทันท่าน ผู้ที่เดินอยู่ในความมืด ย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน
หมอดู คนเข้าทรง กำลังกลายเป็นอาชีพหนึ่งที่หากินได้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน เพราะคนไทยมากมายตกอยู่ภายใต้ความกลัวว่า ไม่รู้ว่าว่าตนเองจะไปทางไหน
พระเจ้าทรงห้ามคริสเตียนคนของพระองค์ไปพึ่งพาพวกหมอดู และคนเข้าทรง เพราะคนเหล่านั้น ใช้แสงสว่างเทียมส่องให้คนมองไม่เห็นความงดงามของชีวิต แต่ยิ่งทำให้คนตกอยู่ภายใต้ความกลัวหนักเข้าไปอีก มองชีวิตซวย และมีเคราะห์กรรม ใครที่เคยไปดูหมด มีกี่คนที่ฟังหมอดูคนทรงพูดแล้วสบายใจบ้าง ไม่มี แต่เคราะห์กับเคราะห์ กรรม เจ้ากรรมนายเวร
ขอให้เราทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียนจงตระหนักว่า ชีวิตของทุกคน มีมุมที่สวยงาม ถ้ามองด้วยแสงสว่างของจริง จงออกจากแสงสว่างเทียมที่ทำให้มองเห็นแต่ชีวิตที่น่าสงสาร ชีวิตที่ไม่น่าอยู่ ไม่น่าเป็น
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แสงสว่างแท้ของพระเยซูคริสต์เจ้าจะส่องสว่างให้กับชีวิตให้มองเห็นความงดงามของชีวิตอย่างแท้จริง คุณได้เข้าสู่การพิสูจน์ ให้คริสตมาสส่องสว่างให้กับชีวิต….ของคุณแล้วหรือยัง