“ผู้หว่านและเก็บเกี่ยว”
เมื่อวาน มีเหตุการณ์หมากัดกันในซอยบ้านข้าพเจ้า มีคนจูงหมามาเยี่ยมหมาในบ้านของเพื่อนบ้านข้าพเจ้า แต่หมาอีกตัวจากบ้านอีกหลังวิ่งออกมาจากบ้าน (พันธ์โกลเด้น) เป็นหมาที่เป็นมิตรกับทุกคน ทั้งกับคน กับหมา มันแค่เห่าเสียงดัง แต่มันไม่เคยกัดใคร เหตุการณ์เกิดขึ้น เมื่อคนที่จูงหมาจากซอยอื่นร้องเสียงดังเหมือนตัวเองถูกหมากัด แต่เรื่องราวเป็นว่า หมาตัวของนางไม่ได้เป็นอะไร แต่นางเข้าใจว่า หมาของตัวเอง ถูกหมาในซอยบ้านข้าพเจ้ากัด เพราะมีเลือดเลอะพื้น นางเลยพูดขอให้เจ้าของเจ้าโตโต้พาหมาของเขาไปหาหมอ เจ้าของโตโต้หันมามองข้าพเจ้า แบบงงๆ ว่า นางเป็นอะไร โวยวายๆ แล้วก็สั่งการให้ทำตามที่เขาสั่ง ถ้าไม่ทำ จะไปแจ้งความ ข้าพเจ้าเลยบอกให้เพื่อนบ้านถ่ายรูปทุกอย่างไว้เป็นหลักฐาน ตรวจสอบว่าหมาตัวไหนเลือดออก ปรากฏว่า เจ้าโตโต้เลือดออก และข้าพเจ้าจะขอดูแผลหมาของนาง ปรากฏว่า ไม่มีบาดแผล ไม่มีรอยเลือด
ตอนแรกนางมั่นใจมากว่า เจ้าโตโต้ผิดเต็มประตูแน่ นางบอกว่า หมาของนางเป็นพันธ์ไม่กัด เป็นความเข้าใจผิดถนัด หมาตัวเองไม่มีบาดแผล กลับเป็นหมาคนอื่นมีแผลเหวอะ พอจะขอให้ตรวจสอบ พี่แกเผ่นแนบ นอกจากหน้าแตกแล้วยังต้องคดีความที่สามารถเอาผิดได้….
และยังทำอวดเก่งอีกว่า ซอยบ้านข้าพเจ้า ใครจะมาก็ได้ คนที่อยู่ในซอยนี้ ไม่ใช่เจ้าของซอย เอากับนางสิ ทำตัวยิ่งใหญ่มาก แถมมาว่าข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเกี่ยวอะไรด้วยกับเหตุการณ์นี้ ข้าพเจ้าบอกเขาว่า ข้าพเจ้าเป็นพยาน นางตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จะเป็นพยานได้ยังไง (หัวหมอซะด้วย) ข้าพเจ้าตอบเขาว่า ข้าพเจ้าเป็นพยานเรื่องบาดแผลของหมาสองตัวได้ ว่าหมาตัวไหนมีแผล ก็คือหมาที่ถูกกัด หมาของนางที่นางยืนยันว่า เป็นพันธ์ไม่กัด แต่ทำหมาอีกตัวเลือดสาด ข้าพเจ้าจะเป็นพยานให้ นางเลยเผ่นแนบ จบเรื่องราวของคนจูงหมามากัดหมาคนอื่น
แหมถ้าข้าพเจ้าไม่ใช่ศบ. มีหวังได้เล่นบททางกฏหมายกับนางมากกว่านี้ ….ความเป็นศบ.มันก็ค้ำคอเราจริงๆ ความเป็นศบ.ของข้าพเจ้า แค่พูดเล่นๆกับเพื่อน แต่ความจริง ข้าพเจ้าคิดถึงความเป็นคริสเตียนของข้าพเจ้า ไม่ใช่เพราะตำแหน่ง ศบ.หรอก ไม่ว่าเราจะเป็นใคร มีตำแหน่ง หรือไม่มีตำแหน่ง เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นภรรยา หรือสามี เป็นพี่น้องในคริสตจักร ในฐานะผู้รับใช้ จะเป็นฆารวาส หรือเต็มเวลา จะสวมหมวกใบไหน กี่ใบก็ตาม เราทุกคนไม่ต่างกัน นั่นคือ เราหว่านอะไรไป เราก็จะต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น พระคัมภีร์สอนเราว่า
เอเฟซัส 4:31 จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้าย กับการคิดปองร้ายทุกอย่างอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด
สุภาษิต 12:12-14 12 คนไร้ค่า คือคนชั่วร้าย ที่เที่ยวไปด้วยวาจาคดเคี้ยว 13 ตาของเขาก็ขยิบ เท้าของเขาก็ขยับ นิ้วของเขาก็ชี้ไป 14 ประดิษฐ์ความชั่วร้ายด้วยใจตลบตะแลง หว่านความแตกร้าวอยู่เรื่อยไป
ในสถานการณ์นี้ ข้าพเจ้าใคร่ครวญว่า จะตอบโต้กับความก้าวร้าว หยาบคาย และการตัดสินของคนที่กำลังอวดดี และทำตัวยิ่งใหญ่ตรงหน้าข้าพเจ้าอย่างไร แน่นอน ข้าพเจ้าต้องการช่วยเพื่อนบ้านข้าพเจ้า จนข้าพเจ้าเองถูกหาเรื่องไปด้วย ข้าพเจ้าใช้หลักความจริง ไม่ได้แสดงความโกรธ หรือโมโห ข้าพเจ้ามองเห็นเพื่อนบ้านกำลังตัวสั่น ปากสั่น ข้าพเจ้าไม่อยากให้เขาทะเลาะกัน แต่จะต้องทำให้สงครามที่กำลังจะเริ่ม สงบลงให้ได้อย่างไร เราทุกคน อยู่ในบทบาทที่เรียกว่า “ผู้หว่านและเก็บเกี่ยว”
คริสเตียนที่เป็น “ผู้หว่านและเก็บเกี่ยว” จะต้องแสดงออกบทบาทของการ ไม่หาเรื่อง แต่หาความจริงออกมา
ยากอบ 3:18 ผู้สร้างสันติสุข หว่านอย่างสันติ จึงได้เกี่ยวความชอบธรรม
ถ้าเราหาความจริง เราไม่หาเรื่อง แต่ถ้าเราหาเรื่อง เราจะไม่หาความจริง เราจะสรุปตัดสินคนอื่นอย่างรวดเร็ว และทำให้กลายเป็นเรื่อง
เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เราวิเคราะห์ว่า คำพูดของเราสำคัญมาก ถ้าไม่ระวังคำพูด การพูดจะเป็นการหาเรื่อง ทำให้เกิดเรื่อง ขอบคุณพระเจ้าที่ จบลงด้วยการไม่เกิดเรื่อง จบลงด้วยสันติ เราจึงได้เก็บเกี่ยวความชอบธรรม กลายเป็นอีกฝ่ายหน้าแตก บทเรียนนี้ สอนให้รู้ว่า อย่าพยายามหาว่าใครผิด เพราะเป็นเรื่องของหมาๆ ที่กำลังจะทำให้คนกำลังจะกัดกัน เหมือนหมา
ข้าพเจ้าเคยเห็นคนที่หวังดี แต่เจตนาร้ายมาเยอะ มักจะจบลงด้วยการหว่านความแตกแยก และคนที่ต้องเก็บเกี่ยวผลของมัน บอบช้ำ ไม่น้อย ทำให้คนเข้าใจผิด และขัดแย้งกัน
กาลาเทีย 6:7-9 7 อย่าหลงเลย ท่านจะล้อเล่นกับพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าใครหว่านอะไรลง ก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น8 คนที่หว่านสิ่งที่ตอบสนองเนื้อหนังของตน ก็จะเก็บเกี่ยวความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่คนที่หว่านสิ่งที่ตอบสนองพระวิญญาณ ก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร
เราทุกคน เป็นได้ทั้ง “ผู้หว่านและเก็บเกี่ยว” และจะต้องพบกับความจริง สามประการ เกี่ยวกับตัวเราเอง ประการแรก
1.อาจหลงผิด ลบหลู่พระเจ้า กาลาเทีย 6:7
7 อย่าหลงเลย ท่านจะล้อเล่นกับพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าใครหว่านอะไรลง ก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น
คำว่า อย่าหลงเลย รากศัพท์ภาษากรีก แปลว่า อย่าหลอกตัวเอง คริสเตียนมีโอกาสที่จะหลงผิด คิดผิด ทำผิด พูดผิด เข้าใจตัวเองผิด คำว่า ล้อเล่นกับพระเจ้า คนไทยมีสำนวนว่า อย่าลบหลู่ นอกจากพระเจ้าทรงศักดิ์สิทธิ์แล้ว พระองค์ยังทรงสัพพัญญู ล่วงรู้ทุกสิ่ง ทรงฤทธิ์อำนาจสูงสุด และทรงสามารถไปได้ทุกแห่งหน เราไม่สามารถหนีหรือซ่อนตัวจากพระเจ้าได้ และไม่มีใครจะสามารถต่อต้านพระเจ้าได้
การไม่ใส่ใจ เพิกเฉย มองข้าม ความศักดิ์สิทธิ์และพระลักษณะของพระเจ้าเหล่านี้ สำนวนไทยเรียกว่า ข้ามหัว ไม่เคารพ ไม่ตระหนักว่า พระเจ้ามีตัวตน และทรงอยู่ท่ามกลางตลอดเวลา พระเจ้าไม่ได้หายไปไหน พระองค์อยู่ทุกแห่งหน ไมใช่อยู่เฉพาะในโบสถ์ ในคริสตจักร พระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา จะทำคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร ให้เกรงใจพระเจ้าบ้าง ความจริงที่ควรตระหนักตลอดเวลา ก็คือ คริสเตียนมีโอกาสที่จะหลง….
1.1 หลงผิดด้านการกระทำ
สุภาษิต 5:21 21 เพราะว่าทางของคนก็อยู่ในสายพระเนตรพระเจ้า และพระองค์ทรงเฝ้าดูวิถีทั้งสิ้นของเขา
การเฝ้าดูของพระเจ้า ไม่ใช่การจับผิด แต่เพราะพระเจ้าทรงรู้ว่า มนุษย์ทุกคนมีโอกาสที่จะผิดพลาดทางการกระทำ แม้ว่าเรากำลังเดินในทางของพระเจ้าก็ตาม แต่เราก็มีโอกาสที่จะหลงผิดด้านการกระทำได้ เพราะเราอ่อนแอ เราผิดพลาดได้ ภายใต้กฏฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ทุกคน ทำอะไรไปก็จะต้องรับผลสิ่งที่ตนเองกระทำ ข้าพเจ้าอยากจะให้เราเข้าใจกฏฝ่ายวิญญาณนี้ ที่คนไทยอาจเรียกว่า กฏแห่งกรรม เมื่อเรามาเชื่อพระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์ได้ฉีกกรมธรรม์สิ่งที่ผูกมัดให้เราต้องอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรม
โคโลสี 2:14 14 พระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเราด้วยบัญญัติต่างๆ ซึ่งขัดขวางเรา และได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้นโดยทรงตรึงไว้ที่กางเขน
เมื่อเรารับเชื่อ เราได้พ้นจากกฏแห่งกรรมแล้วอย่างในสำนวนพระคัมภีร์ตอนนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เราทำอะไรแล้วจะไม่ต้องรับผลของการกระทำ การรับเชื่อของเรา ได้เปิดช่องให้พระเจ้าใช้กฏฝ่ายวิญญาณที่เหนือกว่า ตัวอย่าง ของตก แนวดิ่ง กับการโยนของไปไกลกว่าจะที่ของตกแนวดิ่ง การที่วิถีของคริสเตียนอยู่ในการเฝ้าดูของพระเจ้า คือการอยู่ภายใต้การนำของพระเจ้า
2โครินธ์ 12:9 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า
….เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น”….
พระเจ้าทรงเฝ้าดูความอ่อนแอของเราทุกคน เพื่อพระองค์จะทรงให้ฤทธิ์เดชของพระองค์ทำงานเต็มขนาดที่นั่น ความอ่อนแอคือความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
เราทุกคนมีโอกาสหลงผิดด้านการกระทำ แต่จงหันกลับอย่างรวดเร็ว และพึ่งพาพระเจ้า พระองค์จะเปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นอุปกรณ์ เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส อย่าเพิกเฉย มองข้าม อย่าล้อเล่นกับ ความศักดิ์สิทธิ์ ความสัพพัญญู ฤทธิ์เดช ความสามารถของพระเจ้า อย่าหลงผิดด้านการกระทำนาน รีบหันกลับอย่างรวดเร็ว แล้วเราจะไม่ต้องเก็บเกี่ยวผลจากการกระทำของตัวเอง พระเจ้าจะให้แรงพิเศษเหนือกฏแนวดิ่ง กระโดดไปไกล ก้าวหน้า แทนที่จะล้มเหลว ล้มลง สะดุดหยุดนิ่งอยู่กับที่
1.2 หลงผิดด้านคำพูด
โยบ 42:7 7 เมื่อพระเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้แก่โยบแล้ว พระเจ้าตรัสกับเอลีฟัสชาวเทมานว่า “ความพิโรธของเราพลุ่งขึ้นต่อเจ้า และต่อสหายทั้งสองของเจ้า เพราะเจ้ามิได้พูดถึงเราอย่างที่ถูก ดังโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด
เราต้องรับผิดชอบทุกคำพูดของตนเอง ไมใช่ว่า จะพูดอะไรก็ได้ โดยเฉพาะการอ้างว่า มาจากพระเจ้า การอ้างคนของพระเจ้า การพูดแทนพระเจ้า โดยพระเจ้าไม่ได้ใช้ให้พูด พระเจ้าจะโกรธ
ขนาดข้าพเจ้าเองยังโกรธ เวลามีคนมาพูดแทน โดยไม่ได้ใช้ให้พูด พระเจ้าจะโกรธมากยิ่งเท่าใด เมื่อคนพูดอ้างพระเจ้าในการพูด
สุภาษิต 13:17 17 ผู้สื่อสารไม่ดีก็เอาคนจุ่มลงไปในความลำบาก แต่ทูตที่ซื่อสัตย์นำการรักษามาให้
สุภาษิต 25:13 13 หิมะให้ความเย็นในฤดูเกี่ยวอย่างไร ผู้สื่อสารที่ซื่อสัตย์ย่อมทำให้จิตวิญญาณของนายผู้ใช้เขาชุ่มชื่นอย่างนั้น
สุภาษิตตอนนี้กล่าวถึงผู้สื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพ จะทำให้คนฟังรู้สึกแย่ ฟังแล้วป่วย แทนที่จะหายดี อันนี้ ถือว่า เป็นผู้สื่อสารที่ห่วยแตกมาก แต่ผู้สื่อสารที่ดี แม้ในยามที่ร้อนรุ่ม (เหมือนอยู่ในฤดูเกี่ยว หน้าร้อน)แต่ถ้อยคำของผู้ที่พูดทำให้รู้สึกเย็น (เหมือนหิมะ) อันนี้ ผู้ที่เป็นเจ้าของข่าวสารจะแฮปปี้มาก คนเราหลงผิดด้านคำพูด ชนิดเปลี่ยนบรรยากาศความรู้สึกคนฟังชนิด จากสวรรค์กลายเป็นนรกได้ และพระเจ้าจะโกรธคนนั้นที่พูดผิด พระเจ้าโกรธเพื่อให้คนพูดผิดแก้ไขตัวเอง จากตัวอย่างเรื่องโยบ พระเจ้าไม่รับเครื่องบูชาของเพื่อนทั้งสามคนของโยบ ต้องให้โยบที่ถูกกล่าวหา กล่าวโทษเป็นคนถวายเครื่องบูชาให้แทน พระเจ้าจึงจะให้อภัยคนพูดผิด (รุนแรงจริงๆ สำหรับผลของการหลงผิดด้านคำพูด) แต่พระเจ้าก็ยังเปิดโอกาสให้แก้ตัวใหม่ได้ พูดผิด พูดใหม่ คำพูดเป็นสิ่งที่สำคัญ อย่าหลงผิด ไปติดอยู่กับคำว่า การกระทำดังกว่าคำพูดอย่างเดียว โดยไม่ฟังคำพูดที่ถูกต้องเลย
1.3 หลงผิดด้านความคิด
โรม 12:3 3 ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายทุกคนโดยพระคุณ ซึ่งทรงประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุมสมกับขนาดความเชื่อ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่ท่าน
ถ้างั้น คริสเตียนแตกต่างจากคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าได้ยังไง คริสเตียนแตกต่างคือ คริสเตียนรู้ว่า พระเจ้ารู้และจะตัดสินพิพากษาความคิด คำพูดและการกระทำของคนทุกคน ดังนั้น ชีวิตคริสเตียนคือชีวิตที่กำลังสวนกระแสกับโลกนี้ ที่กำลังตามใจความต้องการของเนื้อหนัง วิถีของคนในโลกนี้ ไม่มีความเกรงฟ้าเกรงดิน แต่คริสเตียนจะต้องมีความยำเกรงพระเจ้า ในขณะที่ชาวโลกทำอะไรไม่รู้จักยำเกรงพระเจ้า คริสเตียนจะตระหนักเสมอว่า พระเจ้าทรงศักดิ์สิทธิ์ ทรงอยู่ใกล้ อยู่ทุกที่ที่เราไป ทรงรู้จักใจ ความคิด และการกระทำ ดังนั้น คริสเตียนจะต้องระมัดระวังคำพูด ความคิดและการกระทำ ไม่หลงผิด ในสามด้านนี้ โดยเฉพาะการหลงผิดทางด้านความคิด
ทุกคนเป็นทั้ง ผู้หว่านและเก็บเกี่ยว
2.จะเลือกเนื้อหนังหรือพระวิญญาณ กาลาเทีย 6:8
8 คนที่หว่านสิ่งที่ตอบสนองเนื้อหนังของตน ก็จะเก็บเกี่ยวความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่คนที่หว่านสิ่งที่ตอบสนองพระวิญญาณ ก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น
คริสเตียนทุกคนจำเป็นจะต้องตระหนักว่า ตัวเองอาจหว่านและเก็บเกี่ยวเนื้อหนังหรือตอบสนองต่อพระวิญญาณได้ตลอดเวลา ไม่ใช่สำเร็จแล้ว แต่กำลังมุ่งหน้าก้าวต่อไป ไม่หยุด สะดุด ล้มลง ชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตที่จะต้องเลือก และเลือกตลอดเวลา ว่าจะหว่านเนื้อหนัง หรือตอบสนองพระวิญญาณ และหนีไม่พ้นความจริงว่า หว่านเนื้อหนังก็จะต้องเก็บเกี่ยวเนื้อหนัง เป็นไปไม่ได้ที่จะหว่านเนื้อหนังและเก็บเกี่ยวผลพระวิญญาณ อย่าหลงเลย….อย่าหลอกตัวเอง อย่าเอามาตรฐานตัดสินเนื้อหนังแบบชาวโลก เรื่องบาปหนัก บาปเบา และบาปไม่เป็นไร มาเป็นข้ออ้างว่า ตัวเองชอบธรรมกว่าคนอื่น หรือไม่มีทางที่จะหว่านเนื้อหนัง….
กาลาเทีย 5:19-21 19 การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การลามก20 การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้อีกเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า
จะเห็นว่า พระคัมภีร์จัดระดับบาปเท่ากันหมด ไม่มีบาปหนา บาปน้อย บาปเบา บาปยกเว้นได้ คริสเตียนคือคนที่จะเลือกว่าจะเอาการงานของเนื้อหนัง หรือจะตอบสนองต่อพระวิญญาณ และที่ต้องเลือก คือ สิ่งที่ตอบสนองต่อพระวิญญาณ
กาลาเทีย 5:24-26 24 ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว 25 ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย26 เราอย่าถือตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉาริษยากันเลย
ผู้หว่านและเก็บเกี่ยว หนีไม่พ้น…ความท้อใจ แต่ต้องไม่ท้อถอย
3.ท้อใจได้แต่อย่าท้อถอย กาลาเทีย 6:9
9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร
ในการหว่านสิ่งที่ตอบสนองต่อพระวิญญาณ แน่นอนว่า มักสวนกระแสกับความต้องการของเนื้อหนัง ต้องใช้ความอดทน กำลังใจ และจะถูกทำให้ท้อใจ เพราะผลจากการหว่านสิ่งที่ตอบสนองต่อพระวิญญาณนั้น เกิดผลช้า ต้องรอคอยเวลาของพระเจ้า และหลักการของพระเจ้า มักจะเพื่อทดสอบความอดทน และให้เราได้เก็บเกี่ยวความสุขที่ยั่งยืน
วันนี้ เป็นวันสุดท้ายของปี 2017 ที่เที่ยงคืนวันนี้ ก็จะจบปี และเริ่มต้นปีใหม่ ขอให้เราทุกคน จงหาบทสรุปชีวิตที่ผ่านมาว่า ได้หว่านอะไร กำลังเก็บเกี่ยวอะไร
“ผู้หว่านและเก็บเกี่ยว”
1.อาจหลงผิด ลบหลู่พระเจ้า
2.จะเลือกเนื้อหนังหรือพระวิญญาณ
3.ท้อใจได้แต่อย่าท้อถอย