“นำคนมาถึงพระคริสต์”
(ยอห์น 12:12-41)
ยอห์น 12:32,40 32 เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา”….40 “พระองค์ทรงปิดตาของพวกเขา และทำใจของเขาให้แข็งกระด้างไป เกรงว่าพวกเขาจะเห็นด้วยตา และเข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมา ให้เรารักษาเขาให้หาย”
ข้าพเจ้ามีเพื่อนที่ไม่เป็นคริสเตียนถามข้าพเจ้าว่า ทำไมคริสเตียนไปไหน ต้องประกาศตัวว่าตนเองเป็นคริสเตียน ตัวเขาไม่เห็นต้องประกาศว่า เขานับถือศาสนาอะไร พวกเรารู้ไม๊ว่า ทำไม เราต้องบอกคนอื่นด้วยว่า เราเป็นคริสเตียน? ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า ทำไม คริสเตียนจำนวนไม่น้อย จึงทำอย่างนั้น แต่จากประสบการณ์ของข้าพเจ้าตั้งแต่มาเปลี่ยนเป็นคริสเตียนตั้งแต่ยังเด็ก ข้าพเจ้ารู้สึกอย่างหนึ่งโดยที่ไม่มีใครบอก ไม่มีใครสอน นั่นก็คือ อยากบอกกับทุกคนที่ข้าพเจ้าพบเจอว่า ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียน แม้จะถูกเพื่อนในวัยเดียวกัน ล้อเลียนว่า เชื่อพระเยซู กินน้ำข้าวกับหัวปลาทู ในวัยเด็กนั้น เป็นความไร้เดียงสาของข้าพเจ้าที่ไม่รู้สึกโกรธเพื่อน แต่ยังภูมิใจด้วยว่า ข้าพเจ้าเชื่อพระเยซูคริสต์ และอยากให้คนรู้ว่า ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียน นี่หรือไม่คือ สิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสว่า ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ พระองค์เองจะเป็นผู้ชักนำให้คนนั้นมาถึงพระองค์….
ยอห์น 12:32 32 เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา”
ข้าพเจ้าเคยมีคำถามกับข้อพระคัมภีร์ในบริบทเดียวกันนี้ ในข้อ 40
ยอห์น 12:40 40 “พระองค์ทรงปิดตาของพวกเขา และทำใจของเขาให้แข็งกระด้างไป เกรงว่าพวกเขาจะเห็นด้วยตา และเข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมา ให้เรารักษาเขาให้หาย”
คำว่า พวกเขาที่พระคัมภีร์ตอนนี้ คือใคร หากเราอ่านย้อนขึ้นไป ก็คือบรรดาพวกยิวบางคน ที่ยึดถือธรรมบัญญัติ แต่ไม่เชื่อธรรมบัญญัติทั้งหมด โดยเฉพาะการมาของพระคริสต์ (ผู้ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก)
ยอห์น 12:36,37 36…..เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนั้นแล้วก็ทรงจากไป และทรงซ่อนพระองค์ให้พ้นจากพวกเขา37 ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงทำหมายสำคัญมากมายหลายอย่างให้เขาเห็น พวกเขาก็ยังไม่วางใจในพระองค์
พวกยิวบางคนถึงกับโต้เถียงกับคำของพระเยซูกับคำที่พระองค์ใช้ ….เมื่อพระองค์ถูกยกขึ้น….
ยอห์น 12:34 34 ฝูงชนจึงทูลพระองค์ว่า “เราทราบจากธรรมบัญญัติว่า พระคริสต์จะอยู่เป็นนิตย์ ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น?’ บุตรมนุษย์นั้นคือใคร?”
สำหรับยิวในยุคภายใต้อาณาจักรโรม ทุกคนที่ได้ยินคำว่า ถูกยกขึ้น นั่นหมายถึง ความตายบนไม้กางเขน เมื่อนักโทษถูกตอกตะปูไว้ที่ไม้กางเขนเสร็จ เขาก็จะยกไม้กางเขนให้ตั้งขึ้น เพื่อให้คนที่ถูกตรึงที่กางเขน ห้อยอยู่บนนั้น และตายไปในที่สุด หนังสือยอห์นจึงบันทึกว่า
ยอห์น 12:33 33 พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร
เมื่อพวกฝูงชนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ ต่างมีความหวังว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงสัญญาจะส่งมาช่วยกู้คนยิว หากเราย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ของคนยิวหลายชั่วอายุคน คนยิว หรืออิสราเอลทั้งประเทศ ต่างต้องตกอยู่ภายใต้การล่าอาณานิคมของอาณาจักรแล้วอาณาจักรเล่า จากบาบิโลน มีเดียนเปอร์เชีย กรีก จนมาถึงโรม ดูเหมือนไม่มีอนาคตเลย ภาษาชาวบ้านใช้คำว่า ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้เลย ต้องตกเป็นทาสแล้วทาสเล่า ยากจนแล้ว ก็จนลงไปอีก โรม กดขี่ ขูดรีดอย่างโหดเหี้ยม จากเก็บภาษี เมื่อไม่มีให้ ก็ยึดเครื่องมือทำมาหากิน แล้วก็จับคนในครอบครัว ลูก เมีย หมดตัว จนตัวตาย เรียกว่า รีดเลือดจากปู คือบีบบังคับในสิ่งที่ไม่มีจะให้ นี่คือความรู้สึกของคนยิวในเวลานั้น และเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงมาปรากฏ ทรงทำการอัศจรรย์มากมาย จนถึงการทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาจากความตาย ประชาชนก็กลับมารู้สึกมีความหวังกับพระคัมภีร์ที่สัญญาเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์(ภาษาฮีบรู) หรือพระคริสต์(ภาษากรีก) ที่แปลว่า ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม (เลือกไว้ให้เป็นผู้กอบกู้ ชนชาติอิสราเอล) ตามคำทำนายของผู้พยากรณ์ (ผู้เผยพระวจนะ) คนยิวมากมายก็ติดตามพระเยซูคริสต์ ว่าพระองค์จะทำอะไรต่อจากนี้ แต่พอพระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า พระองค์จะต้องตายอย่างไร
ยอห์น 12:32 32 เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว….
พวกยิวตอนนั้นรู้สึกไม่ดี เมื่อฟังแล้วก็จับประเด็นเพียงแค่ ต้องตายอย่างเดียว ก็แปลความว่า ตอนจบ พระคริสต์จะต้องตาย โดยไม่ได้ดูในประโยคที่พระเยซูตรัสต่อว่า ….เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา” เป็นประโยคที่เป็นอนาคต แปลว่า หลังจากพระองค์ตายบนไม้กางเขนแล้ว พระองค์ยังทำบทบาทต่อไป ซึ่งคนตายจะทำไม่ได้ แปลว่า พระองค์ตายแล้วพระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมา เป็นพระเมสสิยาห์ หรือพระคริสต์ที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย
เพราะพระองค์มีภารกิจต่อจากนั้น คือ … ….เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา” (ด้วยพระองค์)
รากศัพท์คำกรีกที่พระเยซูคริสต์ทรงใช้ในประโยคนี้ คำว่า ชักนำ และคำว่า ทุกคน กับคำว่า มาหาเรา
สามคำนี้ มีความหมาย ชักนำ แปลว่า เลือก (ลาก) คำว่า ทุกคน แปลว่า ทุกคนที่ถูกเลือก(ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เด็กหรือคนหนุ่มสาว คนแก่คนเฒ่า) ถูกเลือกได้โดยไม่มีเงื่อนไข คนเหล่านี้ จะมาหาเรา แปลว่า จะอยู่เคียงข้างกับพระองค์ พระองค์อยู่กับเขา อยู่ท่ามกลางพวกเขา
และนี่คือบุคคลิกลักษณะของคริสเตียนที่ประกาศว่า พวกเขาเป็นคริสเตียน บอกไม่ได้ว่าทำไม ต้องประกาศว่าพวกเขาคือคริสเตียน อาจเพราะนี่คืองานของพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทำหลังจากพระองค์ฟื้นขึ้นมาจากความตาย
….ชักนำทุกคนให้มาหาเรา (ทุกคนที่พระองค์เลือก ทุกคนที่รู้สึกว่าพระองค์อยู่ท่ามกลางเขา ทุกคนที่รู้สึกไม่มีเงื่อนไขในการติดตามพระองค์)
นำคนมาถึงพระคริสต์ คือวิถีชีวิตของคริสเตียน แต่ไม่ใช่คริสเตียนทุกคนที่จะนำคนมาถึงพระคริสต์ หากคริสเตียนคนนั้น ยังยึดติดอยู่กับอะไรบางอย่าง เหมือนอย่างพวกยิวบางคนในยุคของพระเยซูคริสต์ ที่ยึดติดกับธรรมบัญญัติบางข้อ ข้อไหนที่ตนเองรู้สึกว่า ไม่เป็นอย่างที่ตนเองคาดหวัง ก็จะรู้สึกไม่ดี ไม่เชื่อ ไม่วางใจ และไม่อยากจะเชื่อต่อไป คริสเตียนไม่น้อย ก็ดำเนินชีวิตด้วยความรู้สึกไม่ต่างจากพวกยิวในสมัยพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน
นำคนมาถึงพระคริสต์ ที่เรามักเข้าใจว่า คือการไปเชิญชวนคนให้มาเชื่อพระเยซู เปลี่ยนเป็นศาสนาคริสต์ แต่นำคนมาถึงพระคริสต์ คือ การประกาศตัวว่าตนเองคือคริสเตียนที่พระเยซูได้ชักนำให้มาหาพระองค์ และนี่คือคำที่พระเยซูใช้กับสาวกก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์
กิจการ 1:8 8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”
การได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยกับสาวก คือ ผลจากการชักนำคนให้ติดตามพระเยซูคริสต์ พระองค์ตรัสว่า
ยอห์น 15:16 16 ท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราเลือกพวกท่านและแต่งตั้งท่านให้ไปเกิดผลและเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อพวกท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน
ก่อนหน้านี้ พระเยซูคริสต์ได้สัญญาในการประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับผู้เชื่อที่ติดตามพระองค์
ยอห์น 14:15-17 15 “ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา16 เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป17 คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ พวกท่านรู้จักพระองค์เพราะพระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน
นำคนมาถึงพระคริสต์ คือ งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สำแดงผลของพระองค์ผ่านชีวิตของทุกคนที่เชื่อในพระองค์ และในยุคของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำหน้าที่สอนให้ผู้ที่เชื่อได้รู้จักพระเยซูคริสต์ ใกล้ชิดกับพระองค์ เรียนรู้คำสอนของพระองค์ เพื่อจะประกาศพระองค์ด้วยชีวิตของคนๆนั้น เป็นพระเยซูคริสต์น้อยๆที่คนจะมาหาได้ แท้จริงพระเยซูคริสต์ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากเราเลย
ยอห์น 14:18 18 “เราจะไม่ละทิ้งท่านทั้งหลายไว้ให้เปล่าเปลี่ยว เราจะมาหาท่าน
นำคนมาหาพระคริสต์ เกิดขึ้นจากประสบการณ์ส่วนตัวของคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ พระเยซูคริสต์สัญญาไว้แล้วว่า พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเราให้เปล่าเปลี่ยว พระองค์มาหาเรา พระองค์เป็นผู้ชักนำเราด้วยพระองค์เอง
มีคำพูดหนี่งกล่าวว่า เราไม่สามารถให้ในสิ่งที่เราไม่มี ถ้าเราไม่มีประสบการณ์กับการมาหาพระเยซู แล้วเราจะนำคนมาหาพระองค์ได้อย่างไร
บทเรียนสำหรับเราในวันนี้ ได้แก่ (จากคำพยากรณ์ของอิสยาห์) …นำคนมาถึงพระคริสต์
1.เดินต่อไป แม้แสงสว่างจะน้อยนิด
ยอห์น 12: 40ก,35 40 “พระองค์ทรงปิดตาของพวกเขา และทำใจของเขาให้แข็งกระด้างไป…35 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ความสว่างจะอยู่ไปกับท่านทั้งหลายอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิด เกรงว่าความมืดจะตามมาทันท่าน ผู้ที่เดินอยู่ในความมืด ย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน
ความหมายของพระเยซูคริสต์ในตอนนี้ คือ กำลังบอกกับมนุษย์ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คริสเตียน ที่มีพระคัมภีร์ ที่พยากรณ์อนาคตของโลกนี้ได้อย่างแม่นยำ เราไม่รู้ว่าอนาคตของเราจะเป็นอย่างไร และคนมากมายก็ไม่รู้ จากเหตุการณ์ ของโรคระบาด เวลานี้ บรรดาหมอๆทั้งหลาย รวมทั้งพวกหมอดูกำลังพยายามทำนายอนาคตของโลก ของคนส่วนตัว ใครอยากรู้ก็จะเข้าไปดูว่าพวกเขาทำนายไว้อย่างไร โลกกำลังต้องการคนนำทาง (ไกด์) มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ไกด์จะไม่นำเราไปในทางที่ไกด์ไม่เคยไป พระเยซูคริสต์ทรงตรัสถึงคนตาบอดนำทางคนตาบอด จะพากันตกลงไปในหลุมด้วยกัน แปลว่า จะมีคนที่ทำตัวเป็นเหมือนไกด์นำทางคนอื่น แต่ตัวเองไม่เคยไปในเส้นทางนั้น และไม่รู้ว่า กำลังไปทางไหน
ยอห์น 12: 40ก,35 40 “พระองค์ทรงปิดตาของพวกเขา และทำใจของเขาให้แข็งกระด้างไป…35 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ความสว่างจะอยู่ไปกับท่านทั้งหลายอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิด เกรงว่าความมืดจะตามมาทันท่าน ผู้ที่เดินอยู่ในความมืด ย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน
สถานการณ์ของโลก และของสังคมรอบตัวเราเวลานี้ มีคนที่เชื่อส่วนตัว และคนที่ไม่มีความเชื่อ เยอะแยะเต็มไปหมด ต่างคนต่างเลือกตามใจของตนเอง และกระแสเหล่านี้ ส่งอิทธิพลต่อคริสเตียนจำนวนไม่น้อย ด้วยเช่นกัน คำถามก็คือว่า เรากำลังถูกชักนำ หรือกำลังจะนำใครไปในทางไหน
นำคนมาถึงพระคริสต์ คือคำถามด้วยเช่นกันว่า เรากำลังนำคนมาถึงพระคริสต์ทำไม และจะสำแดงชีวิต นำคนมาถึงพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร การประกาศว่า เราเป็นคริสเตียนมีความหมายกับคนที่กำลังว้าวุ่นวายใจและสับสนว่า จะเลือกใครเป็นคนนำทางชีวิตก้าวต่อไปของพวกเขาอย่างไร
ดูเหมือนคำตรัสของพระเยซูคริสต์ตอนนี้ กำลังพูดกับคริสเตียนในยุคนี้ เวลานี้ว่า
…เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิด เกรงว่าความมืดจะตามมาทันท่าน….
แปลว่า จงเลือกเดินในทางสว่างที่เรายึดมั่นอยู่ อย่าให้ความมืดตามทัน นั่นคือ อย่าเป็นเหมือนอย่างคนที่อยู่ในความมืด คือ
…ผู้ที่เดินอยู่ในความมืด ย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน
นำคนมาถึงพระคริสต์ คือการดำเนินชีวิตอย่างคนที่รู้ว่า จะไปทางไหน การเดินตามพระคริสต์ คือทิศทางของคริสเตียน เรารู้ว่า เรากำลังทำอะไร อยู่ อยู่เพื่ออะไร และกำลังจะไปไหน นั่นคือตามการนำของพระเยซู แม้จะสวนทางกับกระแสของโลกนี้ก็ตาม
2.จงวางใจในความสว่าง เพื่อจะได้เป็นลูกแห่งความสว่าง
ยอห์น 12: 40ข,36 40… เกรงว่าพวกเขาจะเห็นด้วยตา และเข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมา ให้เรารักษาเขาให้หาย”….36 เมื่อท่านทั้งหลายมีความสว่าง ก็จงวางใจในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นลูกแห่งความสว่าง”
ลูกของความสว่าง จะวางใจในความสว่าง
เมื่อหลายเดือนก่อน ข้าพเจ้าได้มีประสบการณ์กับการผ่าตัดตาต้อกระจก(ข้างหนึ่ง) กำลังจะรับการผ่าตัดอีกข้างหนึ่งในอีกสี่เดือนข้างหน้า แต่สิ่งที่ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าเปลี่ยนหลังจากผ่าตัดตาข้างหนึ่ง คือมีความแตกต่างเกิดขึ้น ข้างที่รับการผ่าตัดให้หายจากตามัว มองทุกอย่างเป็นสีขาว ใส แต่อีกข้างที่ยังไม่ได้รับการผ่าตัด มองทุกอย่างเป็นสีเหลือง มัว เมื่อข้าพเจ้าฟื้นตัวใหม่ๆ สิ่งหนึ่งคือความตื่นเต้น และอยากจะรีบผ่าอีกข้างจะได้เหมือนกัน บทเรียนที่ข้าพเจ้าได้รับคือ สิ่งของที่ข้าพเจ้าเคยมองว่า เก่า กลับเป็นใหม่ ที่เคยมองว่า สกปรก กลับสะอาด เพราะด้วยสายตาใหม่ ทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นสิ่งของในบ้านตัวเอง เป็นของใหม่ ที่เคยคิดจะทิ้ง ก็ไม่ทิ้ง ที่เคยคิดว่า มันเก่า แต่มันยังใหม่อยู่
ชีวิตของเราทุกคน อาจมีสายตามองตัวเอง ในพระคริสต์ ไม่ได้รับการเปลี่ยนใหม่ อาจเพราะสายตาของเรายังมัวอยู่หรือเปล่า
นำคนมาถึงพระคริสต์ เริ่มต้นที่ตัวเรา พระเจ้าได้ทรงกำหนดพระเยซูคริสต์เป็นผู้เดียวที่จะรักษาตาฝ่ายวิญญาณของเราให้หาย พระองค์ได้ปิดบังตาของทุกคนไว้ ไม่มีใครจะอ้างได้ว่า เขามองเห็น ค้นพบได้ด้วยตัวเอง ทุกคนต้องพึ่งพาพระเยซูคริสต์เจ้าแต่เพียงผู้เดียว
กิจการ 4:12 12 ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า”
จงวางใจในพระเยซูคริสต์ผู้เป็นแสงสว่าง และดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง
การเป็นลูกของความสว่าง คือ ผลลัพธ์ของการรับการชักนำจากพระเยซูคริสต์ในวิถีการดำเนินชีวิตของการเป็นคริสเตียน ไม่ใช่ปล่อยให้ใครเข้ามาแทรกแซง ชักนำในเส้นทางการดำเนินชีวิตของเราได้
วันนี้ ให้เราถามตัวเราเองว่า เรากำลังถูกอะไรชักนำชีวิตของเราให้เป๋ออกไปจากทางของความสว่างหรือเปล่า
และเรากำลัง ….นำคนมาถึงพระคริสต์ หรือพาคนอื่นเป๋ไป…..ด้วยการประกาศว่าเราเป็นคริสเตียน เพียงแค่เปลี่ยนศาสนา?
นำคนมาถึงพระคริสต์
1.เดินต่อไป แม้แสงสว่างจะน้อยนิด
2.จงวางใจในความสว่าง เพื่อจะได้เป็นลูกแห่งความสว่าง