“ตามพระเยซูคริสต์….ไม่ถูกทิ้ง”
ยอห์น 21:1-25
ในยุคก่อนหน้านี้ มีคำว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก แต่ในยุคนี้ กลายเป็นคำว่า ปลาเร็วกินปลาช้า แปลว่า อะไร ปลาเร็ว คือคนที่ปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีคำถามของคนที่สอนเรื่องการตลาดได้ถามนักเรียนของเขาว่า คุณคิดว่า โควิด19 ทำให้ทุกอย่างช้าลงหรือเร็วขึ้น คำตอบจากนักเรียนของเขาก็คือ เร็วขึ้น เพราะโควิด19 เป็นตัวเร่ง ให้ทุกอย่างที่พร้อมอยู่แล้วเร็วขึ้น ได้แก่ เทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะอินเตเอร์เน็ต ระบบAI และสิ่งที่กำลังจะถูกดิสรับชั่น คือทำให้หายไปจากวงจรธุรกิจต่างๆ แต่สิ่งที่ทำให้ช้า คือ คน ที่ยังไม่ชิน ไม่คุ้น และยังไม่ปรับตัว นักการตลาดคนนี้ ขายความรู้เรื่องนี้ของเขาได้อย่างดี สวนทางกับสถานการณ์ที่กำลังตกต่ำ คนที่ตามคำสอนของเขาก็กำลังพุ่งขึ้นทางยอดขายยอดบริการ ยอมจ่ายราคาแพงในการที่จะเรียนวิชาการตลาดนี้ ทั้งหมดนี้ คือภาพของการที่จะเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่กำลังทำให้ธุรกิจมากมายตาย….ปลาช้า ปลาที่ไม่ปรับตัว กำลังจะตาย เพราะกิจการไปต่อไม่ได้ ต้องออกจากงาน ถูกลดเงินเดือน หรือขายของไม่ได้ ลงทุนไปมากมาย ทุนหายกำไรหด มีคนกระซิบบอกว่า พนักงานองค์กรใหญ่แห่งหนึ่งฆ่าตัวตายหลายคน แต่ไม่เป็นข่าว เพราะพิษของโควิด19 ทำให้ต้องถูกเลิกจ้าง ขาดรายได้ฉับพลัน ปรับตัวไม่ทัน หรือไม่ทันปรับตัว คิดได้อย่างเดียว ตายๆๆๆๆๆ แต่…เรารู้หรือไม่ว่า ความจริงแล้ว หากหยุดคิดสักนิด ให้เวลากับตัวเองสักหน่อย ปรับตัว ก็จะอยู่รอดต่อไปได้ อย่าคิดสั้น …. อย่าคิดแต่คำว่า ถูกทิ้ง ๆๆๆๆๆ เพราะไวไม่เท่าพวกปลาไวทั้งหลาย หัวก็ไม่ไว คิดก็ไม่ทัน จะวิ่งตามพวกที่เป็นปลาไวได้อย่างไร
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ถ้าคุณอยากไปเร็ว ไปคนเดียว แต่ถ้าคุณอยากไปได้ไกล ไปด้วยกัน นั่นหมายความว่า ค่านิยมของปลาไวกินปลาช้า ใช้ได้เพียงแค่ระยะสั้นๆ หรือไปได้แค่ไว แต่จะไกลหรือไม่ ต้องไปกันเป็นหมู่ แม้โควิดจะทำให้เกิดการเปลี่ยนคำว่า รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย กลายเป็น รวมกันตายหมู่ แยกกันรอดตาย โควิด19 ได้สร้างวิธีคิดของคนเชิงเอาตัวรอด เปลี่ยนไปตรงกันข้าม นี่คือ ดิสรัปชั่น คือวิธีคิดเก่าถูกวิธีคิดยุคโควิด19 ทำลายไป แต่ว่า วิธีคิดใหม่นี้ จะนำเราไปได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ หลักของการไปด้วยกันถูกทำลายให้กลายเป็นทิ้งกันได้ไว หรือแยกกันแล้วรอด เราคิดว่า มันใช่ไม๊? เรากำลังตามกระแส ที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่บีบให้เราทุกคนต้องเอาตัวรอด เท่านั้นหรือ? พระคัมภีร์ยังสอนเรารับมือกับสถานการณ์วันนี้ได้อีกหรือไม่ เรามาดูกัน…
ยอห์น 21:1-3 1 ต่อมาพระเยซูได้ทรงสำแดงพระองค์แก่เหล่าสาวกอีกครั้งหนึ่ง ที่ทะเลทิเบเรียส พระองค์ทรงสำแดงพระองค์อย่างนี้2 คือ ซีโมนเปโตร โธมัสที่เรียกว่าแฝด นาธานาเอลชาวบ้านคานาแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองของเศเบดี และสาวกของพระองค์อีกสองคนกำลังอยู่ด้วยกัน3 ซีโมนเปโตรบอกเขาว่า “ข้าจะไปจับปลา” เขาทั้งหลายจึงพูดกับท่านว่า “เราจะไปด้วย” แล้วพวกเขาก็ออกไปลงเรือ แต่คืนนั้นเขาจับปลาไม่ได้เลย
บันทึกหนังสือพระกิตติคุณยอห์นได้กล่าวถึง การปรากฏตัวของพระเยซูคริสต์หลังจากพระองค์ฟื้นขึ้นมาจากความตาย ให้แก่สาวกแต่ละกลุ่ม และนี่เป็นครั้งที่สามที่ทรงปรากฏกับสาวกที่อดีตเคยเป็นชาวประมง (ที่ได้ทิ้งอาชีพนี้ไปนานสามปีครึ่ง) ติดตามพระเยซูคริสต์ ทำพันธกิจ สงเคราะห์ช่วยคนอิสราเอลตามแคว้นต่างๆ เป็นผู้ช่วยของพระอาจารย์ เรียนรู้ กินอยู่อย่างวิถีของพระเยซูคริสต์ คือ ค่ำไหนนอนนั่น ไปไหน ก็กินอาหารตามที่หาได้ ไม่ต้องใช้เงิน อยู่ด้วยความเชื่อ และยังเลี้ยงคนห้าพันคน เจ็ดพันคน ด้วยอาหารของเด็กเล็กๆที่มีเพียงขนมปังห้าก้อน ปลาเล็กๆสองตัว สาวกชาวประมงเหล่านี้ได้รับคำสอนจากพระเยซูว่า พระองค์จะทำให้พวกเขาเป็นผู้จับคนดั่งจับปลา อาจหมายถึง การอยู่รอดได้ด้วยการอยู่กับคน ไม่ใช่อยู่กับปลา ทะเลสาปทิเบเรียส(หรือทะเลสาปกาลิลี) มักเป็นจุดนัดพบที่พระเยซูมักจะนัดหมายกับเหล่าสาวก ในตอนนี้ สาวกชาวประมงเจ็ดคน คงกลับมายังบ้านเรือนของตนเอง เป็นไปได้ว่า สาวกที่เหลืออีกสี่คน (ไม่รวมยูดาส อิสคาริโอท ที่ตายไปแล้ว) สาวกที่ไม่ได้อยู่ในตอนนี้ด้วย น่าจะกลับไปบ้านเรือนของตนเองด้วยเช่นกัน อย่างเช่นมัทธิว ยากอบ น้องพระเยซู และยูดาส (ที่ไม่ได้มีนามสกุลอิสคาริโอท)และซีโมน
จะเรียกว่า ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป สาวกชาวประมงเจ็ดคน คงจะไปรอคอย ณ จุดที่เคยนัดพบกับพระเยซู เมื่อไม่พบพระเยซู ท้องก็หิว เปโตร จึงเริ่มต้นออกไอเดียว่า ดีกว่ารอคอยแล้วท้องหิว ออกไปจับปลาดีกว่า คนที่เหลือ ก็เห็นด้วย งั้น ก็ไปจับปลา แทนการจับคนละกัน ทั้งหมดจึงลงเรือไปด้วยกัน จับปลาทั้งคืน ไม่ได้ปลา จนรุ่งเช้า กลางคืนที่เป็นเวลาที่ปลาจะออกมาหากิน ยังจับไม่ได้ สว่างแล้ว ปลากลับบ้านนอนหมดแล้ว งั้นก็กลับ จึงนำเรือเข้าฝั่ง
ยอห์น 21:4-5 4 ครั้นรุ่งเช้า พระเยซูประทับยืนอยู่ที่ฝั่ง แต่เหล่าสาวกไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู5 พระเยซูตรัสถามเขาว่า “ลูกเอ๋ย มีปลาบ้างหรือเปล่า” เขาตอบว่า “ไม่มี”
เรือใกล้ฝั่ง พระเยซูทรงมารอยังจุดที่เหล่าสาวกเคยพบกับพระเยซู(จุดนัดพบ) พวกสาวกไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู เพราะพวกเขายืนอยู่กันคนที่กับพระเยซู พระองค์อยู่บนฝั่ง (จุดนัดพบ) แต่สาวกยืนอยู่บนเรือ (เครื่องมือทำมาหากิน เพื่อปากท้อง) พระเยซูทรงแสดงความห่วงใยด้วยคำถามว่า
5 พระเยซูตรัสถามเขาว่า “ลูกเอ๋ย มีปลาบ้างหรือเปล่า” เขาตอบว่า “ไม่มี”
คำว่า มีปลาบ้างหรือเปล่า สำนวนกรีก แปลว่า เช้านี้ มีอาหารพอจะกินหรือยัง? เหมือนคนจีนเวลาเจอกัน จะถามว่า มีอะไรกินหรือยัง? คนไทยก็จะถามว่า กินข้าวมาหรือยัง เป็นการแสดงความห่วงใย คนสนิทกัน ถ้ายังไม่กิน ก็จะบอกตรงๆ แต่คนที่ไม่สนิทกัน ก็จะบอกว่า ยังไม่หิว ทั้งๆที่ยังไม่ได้กิน ไม่อยากจะรบกวน หรือเป็นการไม่อยากให้รู้ว่า ไม่มีอะไรจะกิน วันนี้ เราหิว เพราะไม่มีอะไรจะกิน แต่ไม่อยากให้ใครรู้ว่า เราไม่มี….ไม๊
สาวกของพระเยซูตอบว่า ไม่มี ทั้งๆที่ไม่รู้ว่า เป็นพระเยซูที่พวกเขาสนิทด้วย แต่สาวกตอบเพราะ ไม่มีจริงๆ พวกเขาอาจตีความหมายว่า พระเยซูกำลังจะขออาหาร(ปลาที่จับมาได้) ดูไกลๆเหมือนคนที่รอจะขออาหารจากพวกเขา ใครจะคิดว่า คนที่ไม่รู้จัก ไม่มักคุ้น จะมาพร้อมกับอาหารที่เตรียมไว้สำหรับพวกเขา คำถามของพระเยซูคริสต์จึงได้รับคำตอบว่า ไม่มี ซึ่งอาจแปลว่า จับปลามาไม่ได้ทั้งคืน หรืออาจแปลว่า ไม่มีจะปลาจะแบ่งให้ และอาจหมายถึง ไปเถิด อย่ามารอเรือเข้าฝั่งเลย ไม่มีจริงๆ พวกเขาคงไม่คิดว่า คนที่อยู่บนฝั่งจะแนะนำให้คนที่อยู่บนเรือจับปลา….
ยอห์น 21:6 6 พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือเถิดแล้วจะได้ปลาบ้าง” เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาเป็นอันมาก จนลากอวนขึ้นไม่ได้
คำแนะนำสไตล์นี้ มีแต่พระอาจารย์ที่เคยพูดแบบนี้มาแล้ว ในอดีต … เมื่อครั้งที่เปโตรและยอห์นพบกับพระเยซูครั้งแรก ตอนที่พระองค์ขอยืนเรือของชาวประมงสองคนนี้ เพื่อใช้เป็นธรรมมาสต์เทศนาสั่งสอนประชาชน เมื่อพระองค์จบการใช้งาน พระองค์ก็ตอบแทนเปโตรและยอห์นด้วยการให้คำแนะนำให้พวกเขาออกไปจับปลาอีกครั้ง….
ลูกา 5:4-6 4 เมื่อพระองค์ตรัสสอนเสร็จแล้ว จึงตรัสแก่ซีโมนว่า “จงถอยออกไปที่น้ำลึก หย่อนอวนลงจับปลา”5 ซีโมนทูลตอบว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งหลายทอดอวนคืนยังรุ่งไม่ได้อะไรเลย แต่ข้าพระองค์จะหย่อนอวนลงตามพระดำรัสของพระองค์” 6 เมื่อเขาหย่อนลงแล้วก็ล้อมปลาไว้เป็นอันมาก จนอวนของเขากำลังปริ
ตามพระเยซูคริสต์…ไม่ถูกทิ้ง พระเยซูคริสต์หลังจากฟื้นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ไม่ได้ทิ้งสาวกให้เผชิญกับชะตากรรมโดดเดี่ยว อย่างที่พระองค์ต้องเผชิญกับการถูกทิ้งจากสาวกทั้งหมด ที่่ต่างหนีเอาตัวรอด เปโตร ที่เคยพูดว่า จะไม่ทิ้งพระเยซู ไปไหนไปด้วย พร้อมจะตายกับพระองค์ เอาเข้าจริงๆ เปโตรปฏิเสธพระเยซูติดต่อกันสามครั้ง ก่อนไก่ขัน และเสียงไก่ขัน ได้เตือนให้เปโตรจำได้ว่า พระเยซูเคยเตือนเขาแล้วว่า สิ่งที่เขาพูดกับพระเยซู เขาจะทำไม่ได้ อย่างที่ตนเองพูด
ตามพระเยซูคริสต์….ไม่ถูกทิ้ง แม้คนจะทิ้งพระเยซู แต่พระองค์ไม่ทิ้งพวกเขา แม้สาวกจะได้ยินว่า พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย ทรงปรากฏกับสาวกบางคน ในสาวกเจ็ดคน หนึ่งในนั้น คือโธมัส ที่เรียกว่า แฝด ได้มีประสบการณ์พบกับการปรากฏของพระเยซู และได้เอามือแยงที่ฝ่ามือและสีข้างของพระองค์มาแล้ว โธมัสน่าจะเป็นคนหนึ่งที่หนุนใจคนอื่นๆ อย่างเปโตรที่ยังไม่ได้พบกับการปรากฏของพระเยซู ได้ยินแต่ว่า พระเยซูมาปรากฏตัวแล้ว เปโตรอาจจะคิดว่า เขาได้ปฏิเสธพระเยซู ถึงสามครั้ง เขาคงจะไม่สมควรได้พบกับการปรากฏของพระองค์ และเขาคือคนที่แสดงความรู้สึกหมดความอดทนที่จะรอคอย ไปจับปลาดีกว่า
สถานการณ์โควิด19 อาจทำให้เราหลายคน หยุดการที่จะประกาศ เป็นพยาน ให้คนพบกับพระเยซู เวลานี้ ทุกคนต่างสนใจแต่เรื่องเอาตัวรอด เรื่องปากท้อง พระเยซูคงหายไปจากจุดนัดพบที่พระองค์เคยมาแล้ว…. แต่ความจริงพระองค์ไม่ได้หายไปไหนเลย พระองค์กำลังรอคอยที่จะพบกับเรา ขอให้เราสำรวจจุดที่เรากำลังยืนอยู่ เป็นที่เดียวกันกับที่พระองค์ยืนอยู่หรือไม่ พระองค์กำลังถามเราเรื่องการอยู่รอดของเรา แต่เรากำลังมองว่า พระองค์จะมาเอาอะไรจากเราอีกหรือ พระองค์กำลังเป็นห่วงเรา แต่เรากำลังไล่พระองค์ไปด้วยการตอบว่า ไม่มี…
คำแนะนำของพระเยซูคริสต์ยังทันสมัย ทันเวลาสำหรับเราหรือไม่ ในขณะที่โควิด19 เป็นตัวเร่งให้ทุกคนต้องไว ต้องเป็นปลาเร็ว เพื่อจะกินปลาช้า เรากำลังดำเนินชีวิตด้วยสันชาตญาณของการเอาตัวรอด ไม่สนใจใคร นอกจากเรื่องทำมาหากิน ต่างคนต่างอยู่ ทิ้งการอยุ่ร่วมกันไป หรืออย่างคน ที่มีความเป็นสังคม ที่มีความใส่ใจต่อคน
เมื่อสาวกทำตามคำแนะนำของพระเยซูคริสต์
ยอห์น 21:7 7 สาวกคนที่พระเยซูทรงรักบอกเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” เมื่อเปโตรได้ยินว่า เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็หยิบเสื้อมาสวมเพราะตัวเปล่าอยู่ แล้วก็กระโดดลงทะเล
สาวกคนที่พระเยซูทรงรัก คือสำนวนการเขียนหนังสือของยอห์น และคนในยุคนั้นที่จะไม่ลงชื่อของตนเอง ยอห์น ไวที่จะสังเกตได้ว่า นี่คือคำแนะนำของพระอาจารย์ เขาระลึกได้ถึงอดีตครั้งที่เขารับการทรงเรียกจากพระเยซูให้ติดตามพระองค์ไป ยอห์นบอกเปโตรทันที ว่า นี่คือ พระอาจารย์ และเมื่อเปโตรได้ยินจากยอห์น เปโตรตอบสนองต่อคำของยอห์น ไม่ใช่ต่อการอัศจรรย์เรื่องปลามาติดอวนจำนวนมากมาย เปโตรทิ้งเรือ เพื่อไปหาพระเยซู ที่ทรงยืนอยู่ที่ฝั่น เปโตรเปลี่ยนจุดยืนของตนเองทันที เขารีบว่ายน้ำเข้าฝั่ง ไปหาพระเยซู เขาไม่กลัวจมน้ำ เหมือนครั้งที่เปโตรเคยร้องขอพระเยซูช่วย เขาไม่ให้จมน้ำ (ตอนที่เปโตรขอพระเยซูทำให้เขาเดินบนน้ำได้ แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็จม เพราะความกลัวพายุ) เปโตรว่ายน้ำเก่ง อย่างชาวประมง และบันทึกของยอห์นได้อธิบายว่า เรือห่างจากฝั่งแค่ร้อยเมตร สบายมากที่จะว่ายน้ำเข้าฝั่งอย่างชาวประมงที่อยู่กับน้ำมาตั้งแต่เด็ก
นักดำน้ำลึก จะได้ใบประกาศรับรองว่า สอบผ่าน หนึ่งในบททดสอบนั้น คือ ต้องว่ายน้ำได้ระยะ 200 เมตร ในทะเล ไม่ง่ายเลย แต่สำหรับชาวประมงอย่างเปโตร เขาทำได้ ไม่กลัวน้ำ ยิ่งเป้าหมายของเขาคือฝั่ง ที่มีพระเยซูคริสต์ทรงยืนอยู่
เราอาจมีคำถามว่า ทำไม พระเยซูต้องมาปรากฏกับสาวกในเวลาที่พวกเขาไปอยู่บนเรือ ทำไมไม่มาปรากฏก่อนหน้านี้ ขณะที่พวกเขาอยู่บนฝั่ง ที่เคยเป็นจุดนัดพบกันมาก่อน ข้าพเจ้าวิเคราะห์ว่า เพื่อการทดสอบเปโตร ว่า เขายังรักพระเยซูอยู่หรือไม่ และเพื่อเยียวยา ความรู้สึกของเปโตรที่ผิดพลาดในการทิ้งพระเยซู ด้วยการที่พระองค์ไม่ตอบสนองการถูกทิ้งด้วยการทิ้งตอบ แต่ทรงมาหาสาวก และให้คำมั่นคือให้พวกเขาตามพระองค์ต่อไป นั่นแปลว่า พระองค์ไม่ทิ้งพวกเขา และอยู่ด้วยตลอดเส้นทางการเดินไปด้วยกัน พระเยซูทรงแสดงการไม่ทิ้งเหล่าสาวกด้วยการจัดเตรียมการเลี้ยงดูให้
ยอห์น 21:9-13 9 เมื่อเขาขึ้นมาบนฝั่งเขาก็เห็นถ่านติดไฟอยู่ มีปลาวางอยู่ข้างบน และมีขนมปัง10 พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เอาปลาที่ได้เมื่อกี้นี้มาบ้าง”11 ซีโมนเปโตรจึงลงไปในเรือแล้วลากอวนขึ้นฝั่ง อวนติดปลาใหญ่เต็ม มีหนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว ถึงมากอย่างนั้นอวนก็ไม่ขาด12 พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “มารับประทานอาหารกันเถิด” พวกสาวกไม่มีใครกล้าถามพระองค์ว่า “ท่านคือใคร” เพราะเขารู้อยู่ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า13 พระเยซูทรงเข้ามาหยิบขนมปังแจกให้เขา และทรงหยิบปลาแจกด้วย
ตามพระเยซูคริสต์…ไม่ถูกทิ้ง มีการเลี้ยงดูของพระองค์มาตอบสนองความหิว แต่สาวกต้องเอาปลาที่จับมาได้จากคำแนะนำมาสมทบเพื่อให้อิ่ม นั่นคือการตามพระเยซูคริสต์ ที่จะไม่รู้สึกว่า ถูกทิ้ง มีส่วนที่พระองค์ทำ และส่วนที่สาวกออกแรงด้วย
ถ้าเราอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย รอคอยแต่ว่า ให้พระเจ้าทำ ตอบคำอธิษฐาน เมื่อเราพบกับความเงียบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราจะรู้สึกเหมือนถูกทิ้ง แต่หากเราทำส่วนของเรา เราจะเป็นส่วนที่เราไม่ได้ทำ ที่พระเจ้าทรงทำ เราจะแยกความแตกต่างออกว่า พระเจ้ากำลังทำกิจของพระองค์ ซึ่งเกินจากความจำกัดของเรา
ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่า จะได้ทำพันธกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิที่พังงา ด้วยการบินไปกลับทุกอาทิตย์เป็นเวลายาวนานสองสามปีติดต่อกัน บินปีละ 100 กว่าเที่ยว เริ่มต้นจากการที่ข้าพเจ้าได้ไปยืนบนเขาหลัก แล้วมองลงมาที่บางเนียง พบกับภาพความเสียหายอย่างหนักเนื่องจากสึนามิ มุมมองนี้ เราคงได้เคยดูในภาพยนต์เรื่องสึนามิที่ประเทศไทย เวลานั้น ข้าพเจ้าน้ำตาร่วง ฝรั่งผู้ชายอีกคน ก็น้ำตาร่วง มันเสียหายขนาดนี้เชียวหรือ แล้วเพื่อนที่เป็นชาวอเมริกัน ที่อยู่อเมริกาถามข้าพเจ้าว่า จะช่วยได้อย่างไร ข้าพเจ้าเพียงแต่บอกเขาตามจินตนาการของตัวเองว่า ถ้าเป็นฉัน ฉันจะบินทุกอาทิตย์มาช่วยที่นี่ และมาพร้อมกับอุปกรณ์เครื่องมือที่เรียกว่า Mobile office คือ อยู่ที่ไหน ที่นั่น เป็นที่นั่งทำงานได้ และแผนการช่วย มี 1 2 3 4 5 6 7 ปรากฏว่า เพื่อนชาวอเมริกันคนนั้น ตอบข้าพเจ้ามาว่า คุณจะได้ตามที่คุณเขียนมา ความรู้สึกแรกของข้าพเจ้าคิดว่า เอาแล้ว หาเรื่องเข้าตัวเอง เพราะว่า ข้าพเจ้ามีงานที่ทำประจำที่กรุงเทพ จะไปทำงานอย่างนี้ที่พังงา ได้อย่างไร แต่กาลเวลาได้พิสูจน์ว่ามันเกิดขึ้นเป็นจริง และข้าพเจ้า ได้รับคำตอบว่า จุดที่ข้าพเจ้ายืน คือที่ที่เดียวกันกับที่พระเยซูทรงยืน นั่นคือ พระองค์กำลังร้องไห้สงสารเมือง
ตามพระเยซูคริสต์…ไม่ถูกทิ้ง คือที่ที่เรากำลังยืนกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูทรงถามเปโตรว่า เจ้ารักเราหรือถึงสามครั้ง เปโตรตอบพระเยซูสามครั้ง ว่ารักพระเยซู แต่ละครั้ง เปโตรตอบด้วยความเจ็บปวด จากความผิดพลาดที่เปโตรได้ทิ้งพระเยซูไป เปโตรไม่อยากให้พระเยซูย้ำความผิดพลาดเรื่องนี้เลย เปโตรมองความผิดพลาดของตัวเองเป็นความเจ็บปวด พระองค์ปรากฏกับเปโตรในเวลานี้ เพื่อเยียวยาเปโตรให้หยุดเจ็บปวดกับอดีตที่ผ่านมา และมองไปข้างหน้า ที่เปโตรได้ผ่านการทดสอบที่คนมากมายหรือเปโตรเองเรียกมันว่า ความล้มเหลว แต่มันคือสิ่งที่อยู่ในความสำเร็จตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ที่ว่า
ยอห์น 12:24-26 24 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก25 ผู้ใดที่รักชีวิตของตนก็ต้องเสียชีวิต และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ ก็จะธำรงชีวิตนั้นไว้นิรันดร์26 ถ้าผู้ใดจะรับใช้เรา ผู้นั้นก็ต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะทรงประทานเกียรติแก่ผู้นั้น
เราทั้งหลายอาจเป็นเหมือนเปโตรที่ได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ในรูปแบบของการทำบาปโดยเฉพาะบาปที่คนมากมายมองว่าไม่น่าให้อภัย บาปที่คนมากมายตราบาปไว้ติดตัวคนในสังคม แต่พระเยซูไม่เคยทอดทิ้งคนบาปเลย พระองค์ยังคงอยู่ใกล้ เพื่อจะเรียกและนำคนบาปให้กลับใจใหม่ หันกลับมายืนในจุดที่จะพบกับพระองค์ได้ เพื่อจะเดินไปกับพระองค์ เหมือนกับเปโตรที่ไม่น่าจะได้กลับมาอยู่ในจุดยืนเดียวกันกับพระเยซู และได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า…..
ยอห์น 21:18-19 18 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า เมื่อเจ้ายังหนุ่มเจ้าคาดเอวของเจ้าเอง และเดินไปไหนๆ ตามที่เจ้าปรารถนา แต่เมื่อเจ้าแก่แล้ว เจ้าจะเหยียดมือของเจ้าออก และคนอื่นจะคาดเอวเจ้า และพาเจ้าไปที่ที่เจ้าไม่ปรารถนาจะไป”19 (ที่พระองค์ตรัสอย่างนั้น เพื่อแสดงว่าเปโตรจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการตายอย่างไร) ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงสั่งเปโตรว่า “จงตามเรามาเถิด”
ตามพระเยซูคริสต์…ไม่ถูกทิ้ง ในชีวิตที่ทิ้งพระเยซูของเปโตรที่พระเยซูคริสต์ทรงยืนยันอีกครั้งว่า “จงตามเรามาเถิด” พระเยซูไม่ทิ้งเปโตร และทรงยืนยันกับเราทั้งหลายในวันนี้ว่า ไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไร พระองค์ไม่ทิ้งเรา
คนมากมายในยุคนี้ กลัวการถูกทิ้ง ด้วยการทิ้งคนอื่นก่อน และก็เป็นเหมือนเชื้อที่ส่งต่อๆให้ทำตามกัน คือ ทิ้งกันและกันไป แต่เราซึ่งเป็นคริสเตียน เรากำลังรับคำสอน และต้นแบบของพระเยซูคริสต์ คือ ไม่ทิ้งกันและกัน จะด้วยเหตุอะไรก็ตาม เราจะยังไปด้วยกัน อยู่ได้ในสถานการณ์นี้ และไปได้ไกล อย่างยั่งยืน อาเมน
ตามพระเยซูคริสต์…ไม่ถูกทิ้ง ไม่ทิ้งกัน