“ตามพระเยซูคริสต์…มีเพียงพอเสมอ”
ยอห์น 6:1-15
อยากจะเกริ่มคำเทศนาตอนนี้ ด้วยคำที่คนในยุคของเรากำลังติดตาม นั่นคือ คำว่า ตามกระแส แปลว่า คนส่วนใหญ่กำลังทำอะไร คิดอะไร ตอบสนองอย่างไร กับสถานการณ์ต่างๆที่เผชิญเหมือนกัน สถานการณ์โรคระบาดโควิด19 ส่งผลกระทบต่อคนทั่วโลก กระแสหนึ่งที่มาแรง เนื่องจาก ลูกค้าลด รายได้หด ก็คือ กระแสของการจัดการกับคนที่อยู่ภายใต้การดำเนินธุรกิจต่างๆ บางกระแสก็เอาทีมงานออก บางกระแสก็พยายามรักษาทีมงานเอาไว้ ด้วยเงินทุนที่มีอยู่ แต่ก็มีคำที่พ่วงท้ายมาว่า อยู่ได้แค่เดือนเดียว หรืออีกไม่กี่เดือน นั่นคือ การส่งสัญญาณว่า ไม่พอแน่ ถ้าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น มาถึงตอนนี้ ก็ต้องใช้ความสามารถกันสุดฝีมือว่า ใครจะรับมือได้ดีได้อย่างไร
มีคำพูดหนี่งกล่าวว่า โควิด 19 ทำให้เกิดแต่ผลเสีย แต่บางคนก็พูดตรงกันข้าม โควิด 19 ทำให้เกิดผลพลอยได้
สังเกตว่า ในช่วงนี้ เราจะได้พบ ได้รับ ได้มีประสบการณ์ กับคุณภาพของอาหาร การบริการ ชั้นเยี่ยม รวดเร็ว สมราคา หรือเกินราคา หรือถูกชนิดที่เรียกว่า ของดีราคาถูก มีที่ไหน เลิกใช้ไปได้เลย ข้าพเจ้าเป็นคนชอบทำงานช่าง เครื่องมือช่างดีๆออกมาปล่อยในตลาดออนไลน์ ชนิด ไม่ถึงพันก็ซื้อได้ และระบบAI มันจดจำประมวลผลว่าเราชอบอะไร รู้ใจ นำเสนอมาอย่างชนิดโดนๆ ถ้าไม่บังคับใจ มีหวังเงินหมดกระเป๋า…
นี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ผลผลพลอยได้จากโควิด นอกจากจะทำให้เราได้ของดีราคาถูกแล้ว ยังทำให้เกิดคนประเภท ทำงานเก่ง และมีศักยภาพสูง ที่เรียกว่า มนุษย์ Hi po (High potential) ซึ่งมีหนังสือเล่มหนึ่ง Talent Genius เขียนโดย อดีตซีอีโอบริษัท Headhunterข้ามชาติ ผู้มีประสบการณ์ในการคัดสรรและสัมภาษณ์ผู้บริหารมากว่า 10,000 คน ให้กับองค์กรชั้นนำทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ประสบการณ์ 20 ปีทำให้ซีอีโอคนนี้รู้ว่า “ลักษณะคนทำงานแบบไหนที่จะก้าวหน้าและเป็นที่ต้องการขององค์กร และจะพัฒนาแบบไหนที่สามารถแปลงกายสู่การเป็น “ยอดมนุษย์ Hi-Po” ที่มีศักยภาพสูง (High Potential)ได้” และเขาได้สรุปสามคุณลักษณะที่เป็นที่ต้องการขององค์กรได้แก่
1.Good Attitude มีทัศนคติที่ดี มีความคิดเชิงบวก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทั้งต่อเรื่องชีวิตและการทำงาน
2.Resilience สามารถพลิกฟื้นสู่จุดสมดุล ถ้าล้มลงก็ลุกขึ้นได้ด้วยความยืดหยุ่น สามารถทำงานได้ดีแม้ในภาวะไม่แน่นอนอย่างในสถานการณ์ที่มีผลกระทบหลายด้าน
3.Grit ความทรหดอดทนและเพียรพยายามมีความมุ่งมั่นในเป้าหมาย มีความชอบในสิ่งที่ทำและต้องการทำงานให้สำเร็จ
แต่เรารู้หรือไม่ว่า สามคุณลักษณะนี้ พระคัมภีร์ใช้สอน และชี้นำให้กับคริสเตียนทุกยุคทุกสมัยเป็นมานานกว่าสองพันปีแล้ว และต้นแบบก็คือ ชีวิตที่ติดตามพระเยซูคริสต์ ของสาวกที่บุกเบิกคริสตจักรจนสำเร็จที่เรียกว่ Church father คือบิดาแห่งคริสตจักร การบันทึกของหนังสือพระกิตติคุณสี่เล่ม เกิดขึ้น เพื่อให้คริสตจักรรุ่นต่อๆไปได้ศึกษาวิถีชีวิตใหม่ ที่พระเยซูคริสต์เจ้าทรงนำเข้ามาให้กับโลกนี้ (ไม่ต้องรอโควิดหรือเศรษฐกิจมาบีบคั้นให้ต้องคัดสรรมนุษย์ Hi Po) พระคัมภีร์มีศัพท์เรียกผู้ที่ตามพระเยซูคริสต์ว่า มนุษย์ฝ่ายวิญญาณ คือ มนุษย์ที่วิจัยสิ่งสารพัดได้ โดยเฉพาะการวินิจฉัยว่า อะไรดี อะไรเป็นน้ำพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม
วันนี้ ข้าพเจ้าอยากจะนำเราทั้งหลายมาเรียนบทเรียนหนึ่ง ในขณะที่สาวกใช้ชีวิตติดตามพระเยซูคริสต์ พวกเขาได้เรียนรู้ทัศนคติที่ดี มีความคิดเชิงบวก สามารถพลิกฟื้นสู่จุดสมดุล และมีความทรหดอดทน และเพียรพยายามมีความมุ่งมั่นในเป้าหมาย สำเร็จ และพระคัมภีรืได้เรียกผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์ด้วยคุณลักษณะนี้ว่า คนฝ่ายวิญญาณ
1โครินธ์ 2:12,15 12 เราทั้งหลายไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่เรา….15 แต่คนฝ่ายจิตวิญญาณวินิจฉัยสิ่งสารพัดได้ ทว่าไม่มีใครวินิจฉัยเขาได้
เรื่องราวในวิดีโอตอนนี้ อยู่ในยอห์น 6:1-15 พระเยซูทรงเลี้ยงห้าพันคน หนังสือพระกิตติคุณสี่เล่มบันทึกเรื่องนี้เหมือนกัน แต่แตกต่างกันในรายละเอียดบางอย่าง วันนี้ คำเทศนาจะใช้หนังสือยอห์นเป็นหลัก และมีพระกิตติคุณเล่มอื่นประกอบ
ยอห์น 6:1-7 1 หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จข้ามทะเลสาบกาลิลีหรือที่เรียกว่าทะเลทิเบเรียส2 มหาชนก็ตามพระองค์ไป เพราะพวกเขาเห็นหมายสำคัญต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำต่อบรรดาคนป่วย3 พระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขาและประทับอยู่กับพวกสาวกของพระองค์4 ขณะนั้นใกล้จะถึงปัสกาซึ่งเป็นเทศกาลของพวกยิว5 พระเยซูเงยพระพักตร์ขึ้นและทอดพระเนตรเห็นมหาชนพากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงตรัสกับฟีลิปว่า “พวกเราจะซื้ออาหารให้คนเหล่านี้กินได้ที่ไหน?”6 พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อจะทดสอบฟีลิป เพราะพระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่าพระองค์จะทรงทำอย่างไร7 ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า “สองร้อยเดนาริอัน ก็ยังไม่พอซื้ออาหารให้พวกเขากินกันคนละเล็กละน้อย”
ในเหตุการณ์ตอนนี้ ที่พระกิตติคุณอีกสามเล่มได้บันทึกอย่างเดียวกัน แต่มีรายละเอียดต่างจากยอห์นก็คือ มีการบันทึกเวลา และการบทสนทนาจากสาวกคนอื่นๆด้วย หนังสือมาระโกบันทึกว่า
มาระโก6:31 31 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “มาเถิด จงปลีกตัวออกมาหาที่สงบเพื่อหยุดพักสักหน่อยหนึ่ง” เพราะว่ามีคนไปมามากมายจนไม่มีเวลาแม้แต่จะรับประทานอาหาร
แปลว่า พระเยซูกับสาวก มีอาหารสำหรับกลุ่มของตนเองแล้ว และเนื่องจากคนจำนวนมากติดตามพระเยซู ทำให้ต้องทำงานจนไม่มีเวลาได้พักหรือแม้แต่จะกินอาหารที่เตรียมมาเลย ทีมงานของพระเยซูคริสต์มีอาหาร และไม่ใช่แค่อาหาร มีเงินด้วย พระกิตติคุณสี่เล่มได้บันทึกถึงคำว่า เงินสองร้อยเดนาริอัน ที่จะซื้อสำหรับอาหารเลี้ยงคนเฉพาะผู้ชาย ยังไม่นับผู้หญิง และเด็ก ซึ่งปกติจะมีมากกว่าผู้ชายเป็นสองเท่า แต่เรารู้หรือไม่ว่า เงินสองร้อยเดนาริอัน เป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลย บางคอมเมนทารี่อธิบายว่า คำว่า สองร้อยเดนาริอัน เป็นจำนวนเงินที่มักจะเอามาเทียบปรับชายที่ทำผิดต่อหญิงโสด หรือหญิงม่าย แต่คอมเมนทารี่ที่ข้าพเจ้าเลือกมาเพื่อตีความตอนนี้ อธิบายว่า คือเงินในกระเป๋าของพันธกิจพระเยซู ณ เวลานั้น ที่สาวกเก็บรวบรวมไว้กระเป๋าเดียว มีถึง สองร้อยเดนาริอัน พันธกิจของพระเยซูไม่ได้ขัดสนเลย น่าจะได้จากการบริจาค ขณะทำงานพันธกิจ กับผู้คนมากมาย และน่าจะเป็นที่มาเมื่อพระเยซูทรงถามฟิลิปด้วยประโยคที่ว่า
ยอห์น 6:5-7 5 พระเยซูเงยพระพักตร์ขึ้นและทอดพระเนตรเห็นมหาชนพากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงตรัสกับฟีลิปว่า “พวกเราจะซื้ออาหารให้คนเหล่านี้กินได้ที่ไหน?” 6 พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อจะลองใจฟีลิป เพราะพระองค์ทรงทราบแล้วว่า พระองค์จะทรงกระทำประการใด7 ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า “สองร้อยเดนาริอัน ก็ยังไม่พอซื้ออาหารให้พวกเขากินกันคนละเล็กละน้อย”
คำว่า ลองใจ ที่ยอห์นบันทึกตอนนี้ ใช้คำกรีก แปลว่า ทดสอบ ตรวจสอบ ไม่ใช่การล่อให้ทำบาป แสดงให้เห็นว่า พระเยซูทรงกำลังทำให้ความเชื่อของฟิลิปเข้มแข็งขึ้น ฟิลิปตอบคำถามของพระเยซูจากความรู้เรื่องจำนวนเงินที่เขารู้ว่า มีอยู่ในกระเป๋าของพันธกิจเท่าไหร่ในเวลานั้น และเงินนั้นก็ใช้ซื้ออาหารสำหรับทีมกับพระเยซูเอง พระเยซูกำลังจะใช้เงินนี้ให้หมดไปเลยหรือ? นั่นคือ สิ่งที่ฟิลิปถามพระเยซู มันไม่มีประโยชน์ที่จะทำอย่างนั้น ฟิลิปอาจจะหมายถึงว่า แล้วพวกเขากับพระเยซูจะกินอะไรในมื้อข้างหน้าล่ะ ถ้าใช้เงินนี้เลี้ยงคนจำนวนมากขนาดนี้ เรามาดูว่า พระกิตติคุณเล่มอื่นๆสามเล่มบันทึกตอนนี้อย่างไร?และน่าสังเกตว่า ทั้งสามเล่มบันทึกอย่างเดียวกัน
มัทธิว 14:15 15 เมื่อเวลาเย็นแล้ว บรรดาสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดาร และบัดนี้ก็เย็นลงมากแล้ว ขอพระองค์โปรดให้ฝูงชนไปเสียเถิด เพื่อพวกเขาจะไปซื้ออาหารรับประทานตามหมู่บ้าน”
มาระโก 6:35-36 35 เมื่อเวลาผ่านไปเกือบจะค่ำแล้ว พวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดาร และตอนนี้เวลาก็เย็นมากแล้ว36 ขอพระองค์ทรงให้ประชาชนไปเถิด พวกเขาจะได้ไปหาซื้ออาหารรับประทานตามชนบทและหมู่บ้านที่อยู่แถบนี้”
ลูกา 9:12 12 เมื่อกำลังจะใกล้ค่ำ สาวกสิบสองคนมาทูลพระองค์ว่า “ขอส่งฝูงชนไปตามหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่แถวนี้เพื่อหาที่พักและอาหาร เพราะที่ที่เราอยู่นี้เป็นที่เปลี่ยว”
คำพูดอย่างเดียวกัน คือ ส่งพวกเขากลับไปหาที่พักและอาหารเอง แปลว่า อะไร สาวกไม่มีความคิดที่จะเลี้ยงคนมากมายเลย ตรงกันข้าม คือให้ประชาชนไปหากินกันเอาเอง แล้วแต่ว่าเขาจะหาได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของสาวก งานที่สาวกทำ คือ พันธกิจรักษาโรค ขับผี สั่งสอนเทศนา ให้คำปรึกษา พอจบ เราจะพัก เราจะกินล่ะ
สังเกตว่า คนที่ติดตามพระเยซู ไม่ได้อยู่ในเส้นทางกลับบ้านตัวเอง หรือห่างไกลจากบ้าน หรืออาจไม่มีบ้าน ไม่มีอาหาร และกำลังหิว สิ่งที่พระกิตติคุณสี่เล่มบันทึกเหมือนกันอีกก็คือ พวกเขามีขนมปังห้าก้อน ปลาสองตัว แต่ที่แตกต่างก็คือ ยอห์นบันทึกว่า ขนมปังห้าก้อน ปลาสองตัวนี้ มาจากเด็กคนหนึ่ง แสดงว่า ในท่ามกลางคนที่ติดตามพระเยซูเวลานั้น ไม่มีใครมีอาหารพอที่จะแบ่งปันให้กับคนอื่นได้เลย หรือมีเงิน ก็ไม่มีที่จะขายอาหาร
เราคงเคยมีประสบการณ์ว่า มีเงิน แต่ไม่มีอาหารให้ซื้อ ตอนน้ำท่วมใหญ่เมื่อประมาณเกือบสิบปีที่แล้ว แม้แต่ในร้านสะดวกซื้อก็ไม่มีอาหารขาย เรา คริสตจักรที่อยู่ในสมาพันธ์คริสตจักรฝั่งธนบุรี ใช้คริสตจักรใจสมานเพชรเกษม 11 ทำอาหารไปแจกคนมากมาย ทั้งๆที่เราไม่มีเงิน แต่มีคนบริจาคเข้ามามากมายจากทั่วสารทิศของกรุงเทพ เพราะฝั่งธนบุรีโดนหนักที่สุด บ้านพักคนชราบางแคของหน่วยงานของรัฐพาคนอพยพออกไปจากที่น้ำท่วมได้ส่วนหนึ่ง ส่วนคนไข้ติดเตียงไปไม่ได้ รวมคนดูแลสองร้อยคน ขอความช่วยเหลือมาที่เราให้ทำอาหารสองร้อยชุดให้เขาสองอาทิตย์ หลังจากนั้น ผอ.บ้านพักคนชราได้ทำจดหมายของคุณมายังเรา ไม่น่าเชื่อว่า เราจะทำเรื่องสงเคราะห์ให้กับสถานสงเคราะห์มืออาชีพอย่างบ้านพันคนชราได้
ตามพระเยซูคริสต์…มีเพียงพอเสมอ พระเยซูได้นำร่องเรื่องนี้ ในการเลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อน ปลาสองตัวอาหารสำหรับเด็ก ที่สำหรับผู้ใหญ่คนหนึ่งกิน ก็ไม่พอแน่นอน พระเยซูทรงสอนสาวกให้มีทัศนคติบวก (มีความเชื่อ) พลิกฟื้นสู่จุดสมดุล และเพียรพยายามให้สำเร็จอย่างไร ให้เรามาดูต่อ… คำที่ดูเหมือนตัดบท สำนวนชาวบ้านในยุคของเราก็คือ ส่งแขก ก็คือ ไม่มีอะไรจะเลี้ยงดูล่ะ หรือคำว่า ไม่พอ แต่พระเยซูทรงตอบว่าอะไร
ยอห์น 6:10 10 พระเยซูตรัสว่า “ให้คนทั้งปวงนั่งลงเถิด” ที่นั่นมีหญ้ามาก คนเหล่านั้นจึงนั่งลง นับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน
แปลว่า อย่าไล่คนเหล่านี้ไป ให้รอคอย ด้วยการนั่งลง พัก ในที่ที่นั่งได้ คือมีหญ้ามาก และก็เกิดการเชื่อฟัง ผู้คนเหล่านี้ต่างรู้ว่า ต้องมีอะไรแน่ๆ ถึงได้สั่งให้นั่งลง และในการนั่งนั้น น่าจะให้มีการนับจำนวนคนด้วย ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ และเป็นไปได้ อาจมีคำถามว่า นับทำไม นั่งทำไม สาวกน่าจะตอบว่า จะมีการแจกอาหาร จะมีคนคิดอย่างนี้ไม๊ เป็นไปได้ยังไง คนตั้งเยอะแยะขนาดนี้ จะเลี้ยงจริงอ่ะ ใครจะได้ก่อน ใครจะได้หลัง เราคิดว่า จะชุลมุนไม๊ แต่สังเกตว่า ไม่มีการชุลมุนแย่งกันมารับอาหาร อาจเพราะ ไม่เห็นอาหาร ไม่เห็นว่าจะมีอะไรแจก นั่งก็นั่งละกัน สิ่งที่ทุกคนจ้องมอง รวมทั้งสาวกสิบสองคน ก็คือ พระเยซูคริสต์ พระองค์กำลังทำยังไง กับอาหารที่มีไม่พอสำหรับคนจำนวนมากขนาดนี้
ขั้นตอนของการเลี้ยงคนห้าพันคนของพระเยซูคือ ให้จัดระเบียบคน ให้นั่งเป็นกลุ่ม นับจำนวนความต้องการ และให้มีการเชื่อฟัง และความเชื่อที่จะได้กิน (ข้าพเจ้าตีความอย่างนี้) ต้องมีความเชื่อว่าจะได้กิน ใครอยากกิน นั่ง และจับกลุ่มกัน
ลูกา9:14 14 เพราะมีผู้ชายอยู่ที่นั่นประมาณห้าพันคน พระองค์จึงสั่งพวกสาวกของพระองค์ว่า “จงให้พวกเขานั่งลงเป็นหมู่ๆ หมู่ละประมาณห้าสิบคน”
มาระโก 6:39-40 39 พระองค์จึงตรัสสั่งพวกเขาให้จัดคนทั้งหลายนั่งรวมกันที่หญ้าสดเป็นหมู่ๆ40 ประชาชนก็นั่งรวมกันเป็นหมู่ๆ หมู่ละร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง
และนี่คือวิธีการที่ทำให้รู้ว่า มีคนอยู่ในเหตุการณ์เลี้ยงห้าพันคนได้อย่างไร และผลพลอยได้ ก็คือ เกิดการสามัคคีธรรมกัน คุยกัน กินข้าวด้วยกัน รู้จักกัน โดยปกติ วิถีของคนยิว จะไม่กินข้าวร่วมกันกับคนแปลกหน้า คนที่แตกต่าง คนที่แยกตัวเอง หรือถูกแยกออกโดยสังคม งานนี้ เพื่อปากท้อง ต้องนั่งด้วยกัน เราคิดว่า ในหมู่มหาชนครั้งนี้ จะมีคนลักษณะไหนรวมอยู่ด้วยบ้าง และนี่คือภาพของคริสตจักรในเวลาต่อมา
วันนี้ คุณว่า พระเยซูทรงใช้วิธีการเดียวกันนี้ในการเลี้ยงคริสตจักรของพระองค์อย่างไร และนี่คือ nature ของคริสตจักร คือ จับกลุ่มกันเป็นเครือข่าย นั่งลงด้วยกัน อยู่ด้วยกัน คำว่า นั่ง ที่พระกิตติคุณทั้งสี่เล่มใช้ ในภาษากรีก อานาพีบโต แปลว่า นั่งเอนกายลง ฉบับคิงส์เจมส์แปลว่า นั่งลงเพื่อจะกิน
คริสตจักรนั่งเอนกายลงด้วยกัน มีกิจกรรมสร้างสัมพันธ์หลักๆก็คือ กิน นอกจากอาหารฝ่ายร่างกายแล้ว เรายังมีศัพท์เรียกอาหารฝ่ายจิตวิญาณ (ทั้งจิตใจ และวิญญาณ) คือการนมัสการร่วมกัน ฟังคำเทศนา คำสอนด้วยกัน และมีกลุ่มเซลล์ของแต่ละกลุ่ม เพื่อแบ่งปันสิ่งที่ได้รับประสบการณ์กับพระเยซูคริสต์ต่อกันและกัน ใครจะทำบทบาทอย่างสาวกที่รับขนมปังจากพระเยซูคริสต์โดยตรง หรือใครจะรับต่อจากสาวกอีกทอดหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือ ความต่อเนื่อง ในการส่งต่อ และการรับ ขนมปังนั้น จึงไม่สะดุด หยุดการส่งต่อ
ยอห์น 6:11 11 แล้วพระเยซูก็ทรงหยิบขนมปังนั้น เมื่อโมทนาพระคุณแล้ว ก็ทรงแจกแก่บรรดาคนที่นั่งอยู่นั้น และให้ปลาด้วยตามที่เขาปรารถนา
คำว่า ตามที่เขาปรารถนา แปลว่า ได้กินอิ่ม จับกลุ่มกัน กินด้วยกัน อิ่มทุกคน ไม่ใช่ยื้อแย่ง ยิ่งยื้อแย่งก็จะไม่พอ แต่นั่งด้วยกัน แบ่งปันกัน อิ่มกันทุกคน เป็นภาพของคริสตจักร ขนมปังยังไหลมาเรื่อยๆ จากมือของพระเยซูคริสต์ ผ่านมือของสาวก ไปถึงกลุ่มต่างๆที่นั่งรอคอย ด้วยความเชื่อฟัง ในสถานการณ์ที่มีเงินก็หาซื้ออาหารไม่ได้
เรายังโชคดีที่อยู่ในประเทศไทยที่มีแหล่งผลิตอาหาร เราเลยไม่คุ้นกับคำว่า ขาดแคลน หรือหาอาหารไม่ได้ แต่เราก็เคยมีประสบการณ์น้ำท่วมใหญ่มาแล้ว และได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงทำผ่านคริสตจักรของเรา เรามีอาหาร เพราะคนเอาอาหารมาให้เราแจกให้กับคนอื่น เราไม่มีเรือ แต่มีคนเอาเรือมาให้เราใช้ เราไม่มีรถ แต่มีคนเอารถยกล้อสูงลุยน้ำท่วมมาให้เราใช้ เพราะอะไร เพราะเราจับกลุ่มกัน เป็นสมาพันธ์คริสตจักรฝั่งธนบุรี เราใช้เวลาอธิษฐานด้วยกันทุกเดือน เป็นเวลาสิบกว่าปี วันนี้โควิดทำให้เราไม่ได้เจอกัน แต่ก็ยังอธิษฐานเผื่อกันและกัน นี่คือคริสตจักรสากลที่เราร่วมอยู่ด้วย ส่วนคริสตจักรท้องถิ่น คือใจสมานเพชรเกษม 11 เราก็จับกลุ่มกัน เพื่อเป็นคริสตจักรท้องถิ่น การเลี้ยงดูของพระเยซูคริสต์ยังคงไหลมา ผ่านคริสตจักร เรามีสงเคราะห์ แม้คริสตจักรจะปิด สงเคราะห์ที่คริสตจักรช่วยเหลือคนยังดำเนินต่อเนื่อง กับสมาชิกของคริสตจักรเอง กับองค์กร และคนที่อยู่ในคอนเนกชั่นกับคริสตจักร วันนี้ เรายังอยู่ได้ อย่างอัศจรรย์ เหลือเชื่อ และเราได้เห็นขนมปังห้าก้อน ปลาสองตัว จริงๆ และเหลือเก็บอย่างที่สาวกรุ่นแรกได้มีประสบการณ์เรื่องนี้
ยอห์น 6:12-13 12 เมื่อเขาทั้งหลายกินอิ่มแล้วพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น”13 เขาจึงเก็บเศษขนมบารลีห้าก้อนซึ่งเหลือจากที่คนทั้งหลายได้กินแล้วนั้นใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม
ตามพระเยซูคริสต์…มีเพียงพอเสมอ (จนเหลือเก็บ) ตราบใดที่ยังติดตามพระเยซูคริสต์อย่างต่อเนื่อง และเสมอต้นเสมอปลาย อย่าเป็นเหมือนอย่างในตอนท้ายของเรื่องราวนี้ ที่ประชาชน ได้กินอิ่ม ในประสบการณ์อัศจรรย์ของพระเยซูเลี้ยงห้าพันคน แล้วตอบสนองต่อพระองค์…
ยอห์น 6:14-15 14 เมื่อคนทั้งหลายได้เห็นหมายสำคัญซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ เขาก็พูดกันว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะนั้นที่ทรงกำหนดให้มาในโลก”15 เมื่อพระเยซู ทรงทราบว่าเขาทั้งหลายจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เสด็จไปที่ภูเขาอีกแต่ลำพัง
พระเยซูทรงสอนสาวกของพระองค์โดยเฉพาะฟิลิปเรื่องการให้งบประมาณเป็นตัวจำกัดพันธกิจที่จะทำ นั่นคือ การมีทัศนคติเชิงลบ และการไม่ปรับความเชื่อให้สมดุลกับความเป็นพระเจ้าของพระเยซู สุดท้าย อาจละความพยายามที่จะไปสู่ความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายที่พระเยซูทรงต้องการให้เป็น (ด้วยความคิดว่ามันยากเกิน เหลือเชื่อ) และสาวกอาจจะจบลงด้วยความรู้สึกอย่างเดียวกันกับพวกประชาชน คือ มุ่งแต่เรื่องปากท้อง หมายเอาพระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์ เพื่อจะรับการเลี้ยงดูอย่างเดียว แต่ไม่เติบโต พัฒนาในการเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ High potential มีศักยภาพสูงในฝ่ายจิตวิญญาณ
สามปีที่สาวกใช้ชีวิตกับพระเยซู และพระเยซูทรงใช้ชีวิตกับพวกเขา พระเยซูคริสต์ทรงเตือนสาวกของพระองค์ ด้วยบทเรียนของการเลี้ยงคนห้าพันคน และไม่ใช่การเลี้ยงเพียงแค่ครั้งเดียว แต่สาวก็ยังไม่เข้าใจว่า พระเยซูกำลังสอนพวกเขาให้เป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ Hi Po
มัทธิว 16:5-12 5 เมื่อข้ามฟากไปแล้ว สาวกของพระองค์ลืมเอาขนมปังไปด้วย6 เมื่อพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงสังเกตและระวังเชื้อของพวกฟาริสี และพวกสะดูสีให้ดี”7 พวกสาวกจึงพูดกันว่า “เพราะเราไม่ได้เอาขนมปังมา”8 พระเยซูทรงทราบจึงตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “พวกท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริงๆ ทำไมพวกท่านถึงพูดกันเรื่องไม่มีขนมปัง?9 ท่านยังไม่เข้าใจหรือ? พวกท่านจำไม่ได้หรือเรื่องขนมปังห้าก้อนกับคนห้าพันคนนั้น พวกท่านเก็บที่เหลือได้กี่ตะกร้า?10 หรือเรื่องขนมปังเจ็ดก้อนกับคนสี่พันคนนั้น ท่านเก็บที่เหลือได้กี่กระบุง?11 ทำไมถึงไม่เข้าใจว่า เราไม่ได้พูดกับท่านทั้งหลายเรื่องขนมปัง แต่ให้ระวังเชื้อของพวกฟาริสีและพวกสะดูสีให้ดี?”12 พวกสาวกจึงเข้าใจว่า พระองค์ไม่ได้ตรัสสั่งเขาทั้งหลายให้ระวังเชื้อ แต่ให้ระวังคำสอนของพวกฟาริสีและพวกสะดูสี
พระเยซูทรงตรัสถึงเรื่องราวการเลี้ยงห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อน หรือสี่พันคนด้วยขนมปังเจ็ดก้อน กับสาวก ทำให้เรารู้ว่า พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์เรื่องนี้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง และสาวกก็ยังไม่ยอมเรียนรู้เรื่องทัศนคติบวก การปรับความเชื่อให้สมดุลกับพระเยซู และการอดทนไปสู่ความสำเร็จ (Attitude Resilience and Grit)
ตามพระเยซูคริสต์….มีเพียงพอเสมอ ไม่ใช่แค่เรื่องแก้ปัญหาปากท้อง แต่จะมองทะลุทุกเรื่องมีทางออก ทางแก้ไข เสมอ ไม่จนหนทาง แม้จะจนปัญญา แต่ก็ยังมีพระปัญญาและฤทธิ์เดชอันไม่จำกัดของพระเยซูคริสต์อยู่ด้วยเสมอ เพื่อคริสตจักรจะเข้มแข็ง ไม่ใช่เหยื่อของสถานการณ์ Victim หรือ เป็นเพียงผู้รอดชีวิตเท่านั้น Survivor แต่เป็น Thriver ที่แปลว่า เจริญงอกงาม หรือคำที่นักจิตวิทยาใช้ก็คือคำว่า Resilience ที่หมายถึง ยืดหยุ่น ปรับสมดุลได้เสมอ ไม่ตกขอบหรือpanic จิตตก ขอพระเจ้าช่วยให้เราทุกคน มีความเข้าใจเรื่อง
ตามพระเยซูคริสต์…มีเพียงพอเสมอ