“เป็นผู้ปรนนิบัติแบบ ไดโคนอสและดูลอส”
ภาษาอังกฤษมีคำหนึ่ง คือคำว่า Service mind แปลว่า หัวใจบริการ คนที่มีหัวใจบริการ ไปไหน เขาจะทำหน้าที่บริการคนทุกระดับประทับใจ เขาจะไม่เป็นคนชอบชี้นิ้วสั่งคนอื่น แต่จะเป็นคนที่ใส่ใจ ทำด้วยความรู้สึกชื่นชมยินดี มีความสุขที่ได้ปรนนิบัติ เราชอบคนที่มีหัวใจบริการ เพราะเขาจะเป็นคนที่คล่องตัว คล่องแคล่ว ไม่ต้องรอให้สั่งก็ขยับ ซึ่งตรงกันข้ามกับคำที่เราสร้างประโยคบรรยายคนที่ตรงกันข้ามกับพวกหัวใจบริการ พวกนี้นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นกิน แต่คนที่มีหัวใจบริการ ขยับตลอดเวลา ไม่มีนิ่ง น้าของข้าพเจ้าใช้สำนวนเรียกคนที่นิ่งและขยับตามคำสั่ง ว่า เป็นเหมือนลูกฟุตบอล ต้องเตะถึงจะขยับ คือต้องสั่ง จึงจะทำ แต่คนที่มีหัวใจบริการ จะมีลักษณะอย่างเดียวกับผู้ปรนนิบัติที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึง คือไดโคนอส พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสถึงจุดมุ่งหมายการเสด็จมาบังเกิดในโลกนี้ของพระองค์อย่างนี้ว่า มัทธิว 20:28 28 อย่างที่บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก” พระเยซูทรงใช้คำว่า ปรนนิบัติในประโยคนี้ มาจากรากศัพท์ภาษากรีกคำว่า ไดโคนอส Diakonos แปลว่า ผู้ต้อนรับ ผู้รับใช้ เป้าหมายปลายทางของพระเยซูในการเป็นผู้ปรนนิบัติ นั้นถึงขนาดมอบชีวิตให้เป็นค่าไถ่ชีวิตของคนที่พระองค์ทรงปรนนิบัติ พระเยซูได้อธิบายการเสียสละชีวิตเพื่อคนจำนวนมากในฐานะที่พิเศษ ยอห์น 15:13-15 13 ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน14 ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามที่เราสั่งท่าน ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา15 เราจะไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว ฐานะที่เกิดขึ้นคือความเป็นมิตรสหาย จะเห็นว่า พระเยซูทรงปรนนิบัติคนทั้งปวงอย่างมิตรสหาย
เราเคยสังเกตเพื่อนปรนนิบัติเพื่อนไม๊ ฐานะเท่ากัน ไม่มีใครต่ำกว่าใคร เต็มใจทำให้เพื่อน เพื่อนรับการปรนนิบัติจากเพื่อน พระเยซูได้ตรัสถึงภาพฐานะของบ่าวกับนายในตอนหนึ่งว่า ลูกา 12:37 37 บ่าวซึ่งนายมาพบกำลังคอยเฝ้าอยู่ก็เป็นสุข เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายนั้นจะคาดเอวไว้และให้บ่าวเหล่านั้นเอนกายลง และท่านจะมาเดินโต๊ะ เป็นภาวะที่แปลก แทนที่นายจะรับการปรนนิบัติจากบ่าวที่รอคอย แต่นายกลับให้บ่าวนั่งเอนกาย แล้วนายคาดเอวปรนนิบัติบ่าวแทน พระเยซูกำลังบอกว่า ฐานะของบ่าวได้เปลี่ยนไป การรอคอยของคริสเตียนที่รอคอยพระเยซูและทำตามที่พระองค์สั่ง ฐานะของคริสเตียนคนนั้นเปลี่ยนไปเป็นมิตรสหายของพระเยซู พระเยซูทรงปรนนิบัติคริสเตียนคนนั้นอย่างมิตรสหาย การรอคอยอย่างผู้รับปรนนิบัติทำให้ฐานะเปลี่ยนเป็นมิตรสหายของพระเยซู คนที่มีหัวใจบริการจะได้รับการบริการจากพระเยซู อย่างเพื่อน 14 ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามที่เราสั่งท่าน ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา คุณลักษณะหนึ่งในการที่เราจะไปถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์ ก็คือ เป็นผู้ปรนนิบัติ คำถามก็คือว่า เราจะเป็นผู้ปรนนิบัติได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่หนังสือเอเฟซัสบทที่สี่นี้ได้กล่าวถึง ของประทานห้าอย่างที่มีไว้สำหรับเตรียมธรรมิกชนเพื่อการรับใช้ และเสริมสร้างพระกายพระคริสต์ วันนี้ยังจะไม่กล่าวถึงของประทานห้าอย่างนี้ แต่จะกล่าวถึงธรรมิกชนที่จะรับการเตรียมผ่านของประทานห้าอย่าง คำว่า “ธรรมิกชน” แปลว่า ผู้ที่ปราศจากที่ติ คำว่า “เตรียม” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Perfecting รากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า การตกแต่งให้ครบบริบูรณ์ คนมากมายในโลกนี้ พยายามที่จะตกแต่งชีวิตของตนเองเพื่อจะเป็นคนที่มีอิทธิพล และจะใช้อิทธิพลนั้นเป็นอำนาจ หรือเป็นผู้นำเหนือคนอื่น มัทธิว 20:25-27 25 พระเยซูทรงเรียกเขาทั้งหลายมาตรัสว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่าผู้ครองของคนต่างชาติ ย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ใช้อำนาจบังคับ26 แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย27 ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของพวกท่าน คำตรัสของพระเยซูในตอนนี้เกิดขึ้นหลังจาก มารดาของยากอบและยอห์นมาพูดกับพระเยซูว่า ถ้าพระเยซูได้เป็นใหญ่เมื่อไหร่ ขอให้ลูกชายของนางทั้งสองคนได้นั่งข้างขวาข้างซ้ายของพระเยซู สำนวนของคนโบราณพูดประโยคนี้หมายความถึงการได้มีตำแหน่งสูง การมีอำนาจ เพราะเหล่าสาวกของพระเยซูในเวลานั้น ยังไม่เข้าใจในการติดตามพระเยซู เขามองเห็นคนมากมายนิยมชมชอบพระเยซู และพระเยซูก็ดังมาก คนยิวต่างแห่กันตามคำสอนของพระเยซู พระเยซูมีฤทธิ์อำนาจ รักษาโรค ขับผี และเมื่อพระองค์สอน พระองค์สามารถตรีงคนให้ฟังพระองค์ได้ ดังนั้น เหล่าสาวกที่ติดตามพระเยซู โดยเฉพาะสาวกสิบสองคน ก็ฝันหวานว่า พระเยซูน่าจะเป็นผู้นำคนยิวให้หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของอาณาจักโรมได้ สาวกจึงคาดหวังความเป็นนายคน การมีตำแหน่ง การเป็นใหญ่ เป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับ แต่พระเยซูทรงตอบตรงกันข้ามว่า พระองค์ไม่ได้มาเพื่อปกครอง ชี้นิ้ว แต่มาเพื่อปรนนิบัติ คือเป็นไดโคนอส และเมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลังจากนั้นสามวัน ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย สาวกเริ่มเข้าใจ ปะติปะต่อสิ่งที่พระเยซูทรงสอน และเป็นแบบอย่างเรื่องการปรนนิบัติ อ.เปาโลจึงได้เขียนหนังสือเอเฟซัสบทที่สี่นี้ ว่า ความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์คือการเป็นผู้ปรนนิบัติเต็มตัว ผู้ปรนนิบัติที่สวยงาม สมบูรณ์โดยปราศจากเงื่อนไขของการปรนนิบัติ ด้วยแรงจูงใจของการปรนนิบัตินั้นมาจากธรรมชาติของการเป็นผู้ปรนนิบัติอย่างแท้จริง พระคัมภีร์ใช้คำว่า ไม่ใช่น้ำใจอย่างทาส โรม 8:15-17 15 เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า ให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา” คือพระบิดา16 พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณจิตของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า17 และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย จะแตกต่างกันตรงไหน ถ้าเป็นทาสที่ต้องปรนนิบัติ กับไม่ได้เป็นทาส แต่ต้องการปรนนิบัติ นี่คือสิ่งที่พระเยซูทรงใช้คำว่า ทาสสมัครของคนทั้งปวง มัทธิว 20:27 27 ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของพวกท่าน คำว่า ทาสสมัครตรงนี้ คือ คำว่า ดูลอส Doulos รากศัพท์ภาษากรีกแปลว่าทาสรับใช้จริงๆ แต่เป็นทาสที่อุทิศตัวด้วยความเต็มใจ มีเสรีภาพที่จะเลือก และเลือกที่จะเป็นผู้รับใช้ และเป็นผู้รับใช้ตลอดไป ไม่ใช่ไม่พอใจก็จะออกจากการเป็นผู้รับใช้ ลาออก หยุดเป็นผู้รับใช้ ในพระคัมภีร์มีตอนหนึ่งกล่าวว่า ผู้รับใช้ต้องไม่เป็นคนชอบทะเลาะ
เราได้เห็นคนในสังคมของเรา เวลาของขึ้น (โกรธ) ก็จะมีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ขอถอดหัวโขนออกหน่อย ขอเอาตำแหน่งออกชั่วคราว ขอลงไปต่อย ไปมีเรื่องกับฆราวาสก็มี
หากเรามองไปรอบๆตัวเรา เราจะพบการคาดหวังผู้ปรนนิบัติอย่างทาสสมัคร คือเต็มใจปรนนิบัติ แต่สิ่งที่พบกลับตรงกันข้าม คือการแสดงออกของการปรนนิบัติที่ไม่เต็มใจ ฝืนใจ อย่างเช่น ความเป็นสามีภรรยา น่าจะมีชีวิตของการปรนนิบัติต่อกันและกันด้วยความเต็มใจ แต่กลับไม่ใช่ ตอนรักกันยังไม่แต่งงานกัน ทั้งสองฝ่ายต่างมีความคิดว่า ถ้าฉันได้อยู่กับเธอ ฉันยินดีเป็นทาสสมัครของเธอไปจนตัวตาย แต่เมื่อได้อยู่กินด้วยกันจริงๆ กลับมีความรู้สึกว่า เมื่อไหร่อีกฝ่ายจะตายไปเร็วๆสักที หรือไม่ก็ต่างคนต่างอยู่ คือไม่ต้องมาปรนนิบัติ และไม่ต้องคาดหวังการปรนนิบัติจากกันและกัน หรือไม่ก็หย่าร้างกันไป นี่คือสภาพสังคมในปัจจุบันที่เกิดขึ้นอย่างมาก จะหาคู่ชีวิตที่ยินดีเป็นทาสสมัครน้อยลงไปเรื่อยๆ อยู่กันอย่างน้ำใจอย่างทาส คือทำตามหน้าที่ อยู่ด้วยความฝืนใจ
ลูกบางคนอยากลาออกจากความเป็นลูก เพราะถูกบีบบังคับให้ต้องปรนนิบัติพ่อแม่ด้วยน้ำใจอย่างทาส คนในครอบครัว คนในที่ทำงาน ในองค์กรต่างๆ ต่างก็ถูกกดดันให้ทำหน้าที่ด้วยน้ำใจอย่างทาส น้อยนักที่จะสมัครใจ อย่างเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสายการบินหนึ่งที่ต้องงดเที่ยวบินจำนวนมาก ก็เพราะมีการซื้อตัวนักบิน ค่าตอบแทนคือสิ่งกำหนดของการย้ายที่ทำงาน มีการประท้วงเกิดขึ้น เพราะคนทำงานไม่ได้ทำงานให้องค์กรด้วยใจสมัคร แต่ด้วยค่าตอบแทนเป็นตัวตั้ง ผู้บริหารไม่ได้ใจของพนักงาน แถมยังโทษเป็นความผิดของพนักงานอีก เป็นต้น นี่คือสภาพของสังคมที่กำลังถดถอย
แท้จริงพระเยซูคริสต์ทรงเสด็จมาก็เพื่อเป็นทางออกในการแก้ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ ตั้งแต่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ความสัมพันธ์กับตนเอง และกับพระเจ้า ทั้งหมด คือ น้ำใจอย่างทาส ที่ทำให้ตกอยู่ภายใต้ความกลัว เราจะพบว่า พระเยซูมักจะใช้คำว่า “อย่ากลัวเลย” ความกลัว เป็นส่วนสำคัญของการทำให้มีน้ำใจอย่างทาส ทำให้ชีวิตของมนุษย์ขาดแคลน และไปไม่ถึงความครบบริบูรณ์
พระเยซูคริสต์จึงตรัสว่า ยอห์น 10:10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์ ภาษากรีกคำว่า ครบบริบูรณ์ตรงนี้ มีความหมายว่า มีอย่างมากมายไม่ขาดแคลน Abundantly ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มี มีที่จะให้ และยิ่งให้ก็ยิ่งมีมาก ไม่ว่าจะให้เวลา ให้เงินทอง ให้อาหาร ให้ความใส่ใจ ให้อะไรๆก็ตามเพื่อจะแบ่งปันให้กับคนที่ไม่มี ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ไม่กลัวที่จะให้ โดยเฉพาะให้การปรนนิบัติ ผู้ปรนนิบัติ ไดโคนอส และดูลอส (ทาสสมัคร) ไม่กลัวเสียศักดิ์ศรี ไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นทาส ไม่รู้สึกว่าตนเองต้อยต่ำ เพราะนี่คือน้ำใจใหม่ คือน้ำใจของพระคริสต์ ฟิลิปปี 2:5-11 5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์6 ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ 7 แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน9 เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์10 เพื่อเพราะพระนามนั้นทุกเข่า ในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบ พระเยซู11 และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า นี่แหล่ะคือความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์ที่ทรงต้องการให้สาวกของพระองค์มีส่วนในศักดิ์ศรีที่แท้จริง เป็นศักดิ์ศรีที่ถาวรนิรันดร์ สง่างาม และได้รับการยกขึ้นและยอมรับจากบุคคลที่สามารถยกเราขึ้นได้อย่างแท้จริง มิใช่เป็นเพียงการยกยอปอปั้นที่มนุษย์สร้างสรรปั้นแต่ง
เอเฟซัส 4:11-16 11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง15 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์16 คือเนื่อง จากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆ ข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว เริ่มต้นที่เราฟังเทศนาเรื่องนี้ จากหัวข้อ แรก คือเติบโดด้วยความรัก ไม่เป็นเด็กอีกต่อไ ป และมีใจเดียว วันนี้ เป็นผู้รับใช้ แบบไดโคนอส และดูลอส
1.ไดโคนอสผู้มีหัวใจบริการจัดการกับหัวใจตนเอง เอเฟซัส 4:12ก
12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้…
หากคริสตจักรมีไดโคนอส ผู้มีหัวใจบริการ ทำด้วยหัวใจ ไม่ใช่แค่หัวสมอง ทำด้วยธรรมชาติใหม่ที่เกิดจากพระวิญญาณของพระเจ้า คริสตจักรจะเป็นแบบอย่างของการเป็นผู้รับใช้ที่มีหัวใจบริการแก่คนรอบข้าง
สำหรับคริสเตียน ที่เป็นผู้รับใช้ ไดโคนอส คริสตจักรจึงต้องมีของประทานห้าอย่างเพื่อจะอบรมและสอนเรา เตรียมเราให้เป็นธรรมิกชนเพื่อการรับใช้ ประเด็นในวันนี้ คือการที่เราจะไปถึงการเป็นผู้รับใช้ไดโคนอส ผู้มีหัวใจบริการ อย่างที่พระเยซูคริสต์เจ้าทรงคาดหวังให้เราเป็น เราต้องจัดการกับหัวใจของเราก่อน ถ้าใจของเรายังติดอยู่กับความคาดหวังการรับการปรนนิบัติจากผู้อื่น เราจะมองตนเองสูงกว่าคนอื่น เป็นความเย่อหยิ่ง และไม่มีทางที่เราจะเป็นผู้รับใช้ไดโคนอส ได้ ยากอบ 4:6 6 แต่พระองค์ก็ได้ทรงประทานพระคุณเพิ่มขึ้นอีก เหตุฉะนั้น พระคัมภีร์จึงกล่าวว่า พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ทรงประทานพระคุณแก่คนที่ใจถ่อม ใจที่ต้องจัดการ คือใจที่เย่อหยิ่ง หากไม่จัดการ พระเจ้าจะจัดให้ นั่นคือการต่อสู้ที่มาจากพระเจ้า แต่ใจที่ถ่อม จะได้รับพระคุณจากพระเจ้า พระคุณหมายถึง การได้รับสิ่งที่ไม่น่าจะได้รับ ไม่ควรจะได้รับ เพราะฐานะ หรือความจำกัด แต่พระเจ้าจะเป็นผู้จัดเตรียมให้กับผู้ที่มีใจถ่อม ผู้รับใช้ไดโคนอส ผู้มีหัวใจบริการ จัดการกับหัวใจของตนเอง พระคุณของพระเจ้าจะตามทันคนๆนั้นเสมอ และคำว่า Perfecting หรือ “การถูกเตรียม” จะกลายเป็นปฏิกิริยาต่อเนื่องที่เกิดขึ้นกับคนที่จัดการกับหัวใจตนเอง ในขณะที่รับพระคุณของพระเจ้าไม่รับเปล่าๆอีกต่อไป แต่คนที่ใจถ่อมจะปรนนิบัติ และปรนนิบัติ จนสามารถเป็นที่สังเกตุมองเห็นได้อย่างชัดเจนในท่ามกลางคนรอบข้าง เขาจะเป็นพระพร ไม่ใช่พระเพลิง เพราะการปรนนิบัติของคนที่มีใจถ่อม จะไว จะคล่องตัว จะเคลื่อนที่เร็ว และชำนาญมากขึ้น นี่คือคำอธิบายของคำว่า เชี่ยวชาญในการดี
2.ดูลอส ผู้รับใช้ที่มีน้ำใจอย่างทาสสมัครตลอดไป เอเฟซัส 4:12ข
….เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น
คำว่า เสริมสร้างให้จำเริญขึ้น มีความหมายทางบวกอย่างเดียว ไม่เป็นสองด้าน ไม่มีด้านลบ นั่นคือ การปรนนิบัติของดูลอสจะไม่มีการบ่น ไม่มีความขมขื่น ไม่มีการจดจำความผิดความบกพร่องของคนอื่น ไม่เก็บเอามานินทาว่าร้าย ไม่เปรียบเทียบ คนอื่นทำน้อยกว่าตน ไม่บั่นทอนโจมตีคนที่ไม่ทำ ไม่กลัวที่จะต้องทำคนเดียว ไม่อึดอัด เพราะน้ำใจทาสสมัครอยู่ในดูลอส ไม่ถอดใจ ไม่ถอนตัว นี่คือสิ่งที่ทุกครอบครัวของคนไทยกำลังต้องการ นี่คือสิ่งที่สามีภรรยา พ่อแม่ลูก พี่น้องกำลังต้องการ และนี่คือสิ่งที่สมาชิกคริสตจักรใจสมานเพชรเกษม 11 และผู้รับใช้เต็มเวลา ผู้นำทุกคนต้องการ
เรามักจะเห็นการบ่นเกิดขึ้นง่ายๆ และแรงๆ ในคนใกล้ชิด ในครอบครัวเดียวกัน เพราะเป็นที่ที่บ่มเพาะน้ำใจอย่างทาสได้ง่ายที่สุด แต่ก็เป็นที่ๆที่จะบ่มเพาะน้ำใจอย่างทาสสมัครได้ง่ายด้วยเช่นกัน จงหันกลับไปสำรวจตนเองว่า กำลังบ่มเพาะน้ำใจอย่างไหนในชีวิตของตนเอง โรม 8:15-16 15 เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า ให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา” คือพระบิดา16 พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณจิตของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า เราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว จงดำเนินชีวิตให้สมกับเป็นบุตรของพระเจ้า สิ่งที่เราต้องทำ ยังไงก็ต้องทำ แต่หลายคนทำด้วยความขมขื่นใจและบ่น ดังนั้น สิ่งที่ทำไปจึงตกต่ำลงและ ด้อยคุณค่าไป เพราะคำบ่น และความขมขื่นใจ เช่นเดียวกับเรื่องแรงจูงใจในการปรนนิบัติที่ไม่ได้มาจากความรัก ก็ไร้ค่า เปล่าประโยชน์ในสายพระเนตรของพระเจ้า 1โครินธ์ 13:1-3 1 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง2 แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ และเข้าใจในความล้ำลึกทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย3 แม้ข้าพเจ้าจะสละของสารพัดหรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่
การงานของใครทนไฟได้ คือการงานแบบไหน ข้าพเจ้ายังอยากจะย้ำความเข้าใจนี้ก็คือ การงานที่มีแรงจูงใจตามที่พระเจ้าทรงคาดหวัง และพระเยซูก็ทรงตรัสเรื่องการปรนนิบัติด้วย น้ำใจอย่างทาสสมัคร ไม่ใช่ทำอย่างขอไปที แต่ด้วยความเต็มใจ และตลอดไป รางวัลที่คนๆนั้นจะได้รับคือการยกขึ้นที่มาจากพระเจ้าและนี่คือคำตอบของการแก้ปัญหามากมายในครอบครัว ที่ทำงาน ที่คริสตจักร เพราะทุกคนต่างมีมุมมองของการปรนนิบัติที่เปลี่ยนไป และนี่คือการสวนกับกระแสของโลกนี้อย่างแท้จริง
ขอให้เรามุ่งหน้าที่จะ เตรียมชีวิตตนเองเป็นผู้รับใช้อย่างไดโคนอสและดูลอสผู้มีน้ำใจอย่างทาสสมัคร
“เป็นผู้ปรนนิบัติแบบ ไดโคนอสและดูลอส”
1.ไดโคนอส ผู้มีหัวใจบริการจัดการกับหัวใจตนเอง
2.ดูลอส ผู้รับใช้ที่มีน้ำใจอย่างทาสสมัครตลอดไป